หลังจากที่ได้บอกชื่อตน เมดูซ่าก็ก้มหัวขอร้องโอเอซิสทั้งน้ำตาว่าเธอสำนึกผิดแล้วและขอให้ปล่อยเธอไป โอเอซิสมองการกระทำตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันหน้าไปถามชีฟ
"เอ่อ เจ้ารู้มั้ยว่านางทำแบบนั้นทำไม"
ชีฟมองแล้วก็ส่ายหัว
"ผมฟังภาษาของเธอไม่ออก"
โอเอซิสชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาแล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ เพียงครู่เดียวชีฟก็ฟังออกว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร
"ได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถอะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะไม่ทำร้ายใครอีกแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปด้วยเถอะ"
เมดูซ่ายังคงร้องไห้อ้อนวอนชายหนุ่มทั้งสอง
ชีฟพยายามนึกถึงตำนานเก่า ๆ ที่เขาเคยได้ฟังเกี่ยวกับเมดูซ่า หลายตำนานต่างกล่าวเอาไว้ว่านางคือปีศาจที่ชั่วร้าย ที่ชอบไล่สาปเหล่าบุรุษผู้แข็งแกร่งให้กลายเป็นหิน แต่ในหลาย ๆ ตำนานเหล่านั้น ก็ได้กล่าวถึงเรื่องต้นกำเนิดของเมดูซ่าเอาไว้ด้วย แต่ก็เป็นเรื่องเล่าที่คลุมเครือจนปะติดปะต่อกันได้ยาก
เมื่อนึกไปนึกมา ชีฟก็นึกถึงเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเมดูซ่าขึ้นมาได้
"เคยมีตำนานกล่าวเอาไว้ว่าเธอเคยโดนเทพโพไซดอนบังคับขืนใจอย่างทารุณ"
โอเอซิสที่ได้ฟังก็นิ่งคิดครู่หนึ่ง
"ข้ามิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันกับเทพโพไซดอนอะไรนั่น เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้า"
เมดูซ่าหยุดร้องไห้ แล้วค่อย ๆ เงยหน้ามองชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้า บุรุษทั้งสองนั้นมีใบหน้าที่เธอไม่คุ้นเคย ทั้งไม่ใช่คนรู้จัก และไม่ใช่คนที่เคยทำร้ายเธอ
"เพคะท่านมหาเทพ"
"ไม่ต้องนอบน้อมขนาดนั้น แล้วไอ้คำว่าเพคงเพคะอะไรนี่ก็ด้วย เรียกข้าว่าท่านเทพและพูดคุยกับข้าแบบปกติก็พอ"
โอเอซิสพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นกันเอง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่สงบลง โอเอซิสก็เริ่มเอ่ยถามต่อ
"พอจะเล่าให้ข้าฟังได้มั้ย ว่าทำไมอัศวินของข้าถึงไปเจอเจ้าในสภาพที่เหลือแต่ศีรษะและโดนผูกติดไว้กับโล่เก่า ๆ ใบหนึ่ง"
เมดูซ่าชั่งใจเล็กน้อย ด้วยสิ่งที่นางพบเจอมาโดยตลอด ทำให้ยากเหลือเกินที่นางจะไว้ใจใคร
"เอ่อ ข้า...."
โอเอซิสผู้ใจร้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้งก็หยิบยื่นข้อเสนอ
"ถ้าเจ้าไม่สะดวกจะเล่าออกมา ก็ส่งมือมาให้ข้า ข้าสามารถดูจากความทรงจำของเจ้าได้"
เมดูซ่ากุมมือตัวเองไว้
"ข้าเล่าได้ค่ะ ท่านเทพ"
----------อดีต
ณ วิหารริมทะเลแห่งหนึ่ง แสงสีทองยามเย็นสาดส่องให้เห็นหญิงสาวชาวกรีกผู้มีรูปโฉมอันงดงามกำลังนำดอกไม้ไปจัดวางหน้าแท่นบูชาขององค์เทพีอะธีน่า
ตู้ม! น้ำทะเลกระเซ็นเสียงดัง ยามเมื่อมีชายผู้หนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นมาจากใต้น้ำ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมและร่างกายแข็งแกร่งกำยำ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาสตรีนางหนึ่ง สตรีที่เขาได้ยินข่าวลือมาว่านางคือสตรีผู้งดงามหาใครเทียบ ด้วยข่าวลือนี้ทำให้ผู้เป็นถึงเทพโพไซดอนอย่างเขาต้องออกแรงตามหา
มองหาอยู่ครู่หนึ่งโพไซดอนก็พบกับสตรีที่หมายปองในที่สุด สองเท้าย่างก้าวขึ้นไปบนวิหาร ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังอันน่าหลงใหลตรงหน้า
หญิงสาวเมื่อรู้สึกว่ามีเงาบางอย่างมาอยู่ข้างหลัง เธอจึงเลิกจัดดอกไม้แล้วหันกลับไปมอง
โพไซดอนส่งยิ้มให้กับความงามตรงหน้า
"โอ้ว แม่เมธิส เจ้าช่างงดงามสมคำร่ำลือเสียจริง จงมาเป็นของข้าเสียเถอะ"
ไม่พูดเปล่า หนุ่มกล้ามใหญ่ก็ตรงเข้าไปคว้าหญิงสาวผู้มีร่างอันบอบบางมาไว้ในอ้อมกอด
เมธิสดิ้นขัดขืนสุดใจ
"ได้โปรดเถอะท่าน ข้าคือสาวกของเทพีอะธีน่า ข้ามิอาจเสียพรหมจรรย์ให้ใครได้"
โพไซดอนใช่หาเชื่อฟังคำพูดของสตรีตรงหน้าไม่ มืออันใหญ่โตจับหญิงสาวนอนลงบนแท่นบูชา นิ้วอันหยาบกร้านฉีกกระชากเสื้อผ้าอย่างหื่นกระหาย ไม่ว่าสตรีตรงหน้าจะอ้อนวอนร้องขอเพียงใด จะมีน้ำตาออกมามากขนาดไหน ก็มิอาจร้องขอความสงสารหรือหยุดการกระทำของชายตรงหน้าได้เลย
เมื่อสุขสมดังใจ เรือนร่างอันงดงามที่เคยหลงใหล ก็กลายเป็นเพียงร่างเนื้อที่น่าเบื่อหน่าย หนุ่มร่างกำยำกลับลงทะเลและจากไป ทิ้งให้อิสตรีนอนจมอยู่กับคราบน้ำตาและความบอบช้ำที่มิอาจลบเรือน
กลางค่ำคืนดึกดื่น แม้จะยังคงมีลมหายใจ แต่จิตใจที่บอบช้ำก็เจ็บสาหัสเกินกว่าที่จะลุกไหว เมธิสยังคงนอนนิ่งอยู่บนวิหารที่เดิมไม่ไปไหน สายตาก็เอาแต่จ้องมองรูปปั้นของเทพีอะธีน่าอย่างอ้อนวอน ในใจของเธอตอนนี้มีแต่ความสำนึกผิด เพราะเธอพึ่งจะทำผิดกฎของการเป็นสาวกแห่งเทพที่เธอนับถือ
วูม แสงสีทองพุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่วิหารริมทะเลที่ซึ่งมีสตรีนางหนึ่งนอนอยู่บนแท่นบูชาด้วยความบอบช้ำ
เทพีผู้มีรูปโฉมอันงดงามที่มาพร้อมกับหอกและโล่ปรากฏตัวต่อหน้าเมธิส เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เมธิสรีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าก้มหัวให้กับอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว
"องค์เทพีอะธีน่า"
อะธีน่า ชี้หอกอันแหลมคมไปที่สตรีตรงหน้า
"เจ้ากล้าดียังไงถึงมาเสพสมกับบุรุษเพศในสถานที่ของข้า"
เมธิสร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว และพยายามอธิบายเรื่องราว
"ข้าไม่ได้ตั้งใจ ชายผู้นั้นมีร่างกายกำยำ ข้ามิอาจสู้แรงของเขาได้"
อะธีน่าตวาดกลับด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยว
"นี่เจ้ากล้ากล่าวหาว่าโพไซดอนขืนใจเจ้าอย่างนั้นรึ"
เมธิสเงยหน้ามองเทพีตรงหน้า คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เธอถึงกับพูดอะไรไม่ออก
"ขะ ข้า..."
"สตรีสารเลวที่เที่ยวล่อลวงบุรุษเพศไปทั่วอย่างเจ้า ข้าขอสาปให้เจ้ามีหน้าตาน่าเกลียด หากบุรุษใดสบตาเจ้า มันผู้นั้นจะต้องกลายเป็นหินชั่วกับชั่วกัลป์"
แสงสีทองจากหอกพุ่งตรงเข้าใส่เมธิส ร่างกายที่เคยงดงามค่อย ๆ บิดเบี้ยวและเปลี่ยนรูปร่าง เมธิสกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและทรมาน แต่เทพีตรงหน้ากลับไม่มีวี่แววว่าจะปรานีเธอเลยแม้แต่น้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น องค์เทพีได้กลายเป็นแสงสีทองจากไป ทิ้งไว้เพียงสตรีอันแสนน่าเกลียดนอนสลบอยู่บนวิหาร แสงทองยามเช้าปลุกให้เมธิสตื่นขึ้น เธอไม่รู้สึกถึงขาของเธออีกแล้ว และร่างกายของเธอก็รู้สึกแปลกไป เมธิสคลานอย่างเชื่องช้าไปที่ริมทะเล ก่อนจะใช้ผืนน้ำแทนกระจกเงาส่องดูรูปร่างของตัวเอง
"หน้าของข้า ไม่ ไม่ ไม่"
หญิงสาวกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง เส้นผมเป็นงู ผิวหนังเป็นเกล็ด และขาที่กลายเป็นหาง สิ่งนี้ทำให้เธอกลายเป็นปีศาจที่แสนจะน่าเกลียด
เสียงพูดคุยของผู้คนดังขึ้น หญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังวิหารแห่งนี้ เมธิสที่เห็นดังนั้นจึงรีบใช้หางของตนเลื้อยหนีไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
ณ บ้านหลังหนึ่ง
ขุนนางชายผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน พร้อมกับทหารมากมายที่หอบเอาทองคำมาเป็นจำนวนมาก
"โอ้ว แม่เมธิสผู้เลอโฉม ข้าผู้นี้ปรารถนาที่จะเยินโฉมอันงดงามของเจ้าสักครั้ง ได้โปรดปรากฏกายให้ข้าเห็นด้วยเถิด"
เสียงของเมธิสดังตอบกลับมาจากภายในบ้าน
"ตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะพบเจอใครทั้งนั้น ได้โปรดกลับไปเถิด"
ขุนนางหันไปสั่งทหารของตน
"เปิดประตูสิ"
ทหารเดินเข้ามาพร้อมกับขวานอันใหญ่ ก่อนจะพังประตูจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เมธิสที่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปหลบซ่อนในห้องนอนของตน แล้วนำผ้าผืนบาง ๆ มาคลุมตัวเองไว้ด้วยความหวาดกลัว
ขุนนางเดินหาไปทั่วบ้าน ก่อนจะเจอหญิงสาวที่เอาผ้าคลุมตัวเองอยู่มุมห้อง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขุนนางก็ตรงดิ่งไปดึงผ้าบาง ๆ ออก เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าขุนนางก็ตกใจเป็นอย่างมาก ขุนนางร้องเรียกทหารของตนสุดเสียง
"ปะ ปะ ปีศาจ ทหาร!!!"
เมธิสตกใจและรีบหันไปห้ามอีกฝ่าย
"อย่านะ!"
แต่เมื่อทั้งสองสบตากัน ร่างกายของขุนนางก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหิน ทหารที่ได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง
"ทะ ท่านขุนนาง"
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าทหารคนนั้นก็ตะโกนทันที
"นางปีศาจฆ่าท่านขุนนาง นางปีศาจฆ่าท่านขุนนาง"
เมธิสกระโจนออกไปนอกหน้าต่าง แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเหล่าทหารและชาวบ้าน ต่างพากันไล่ล่าปีศาจที่พวกเขาให้ชื่อว่าเมดูซ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เมดูซ่านั้นก็แค่สาวน้อยคนหนึ่งที่อยากจะมีชีวิต เธอจึงต่อสู้และสาปใครก็ตามที่หมายเอาชีวิตเธอให้กลายเป็นหิน ก่อนจะหลบหนีและเปลี่ยนที่ซ่อนไปเรื่อย
จวบจนกระทั่งชายผู้มีนามว่าเพอร์ซีอุสที่มาพร้อมกับอาวุธของอะธีน่ามาพบเจอเข้า เพอร์ซีอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ก่อนจะนำไปถวายให้กับอะธีน่า ซึ่งอะธีน่าก็ได้นำศีรษะของเมดูซ่าไปผูกติดไว้กับโล่ของนาง