ครูน้ำตาลนั้นเป็นหญิงสาวที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก เลยทำให้วิ่งช้าและรั้งท้าย ก็อปลินตัวหนึ่งที่วิ่งมาทันก็กระโดดจับขาครูสาวเอาไว้จนล้มลง และพยายามจะใช้ท่อนไม้ฟาดเธอ แต่ครูสาวก็ยื้อแย่งท่อนไม้เอาไว้สุดกำลัง ด้านหลังของครูสาวนั้นก็ยังมีเหล่าก็อปลินตามมาอีกมาก
ชีฟเปิดประตูรั้วแล้วผลักน้องสาว
"เข้าบ้านอีฟ"
"แต่ครูน้ำตาล"
ชีฟตะคอกสุดเสียง
"เข้าบ้านไป!"
อีฟที่ถูกพี่ชายตะคอกใส่ก็น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะยืนร้องไห้อยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน
ชีฟนั้นไม่มีสกิลสำหรับต่อสู้เลย พื้นถนนใหญ่ก็เป็นยางมะตอยไม่สามารถใช้พรวนดินได้ ถึงเขาจะเป็นกังฟู แต่ก็อปลินนั้นมีจำนวนเกือบครึ่งร้อย ยังไงเขาก็สู้ไม่ไหว
ชีฟมองอีฟที่ไม่ยอมเข้าบ้าน ก็ได้แต่ลองเปิดเมนูขึ้นมาแล้วมองหาสกิลที่พอจะใช้ได้
"หนามอสรพิษ"
ชีฟจ้องมองดูเมล็ดพันธุ์กรอบสีฟ้ามันมีพิษร้ายถึงตาย แต่จะใช้ยังไงในเมื่อมันเป็นเถาวัลย์ที่มีหนามแหลมทั้งต้น ชีฟค้นหาอย่างอื่นต่อก่อนจะไปสะดุดตาเข้ากับเมล็ดพันธุ์ที่เขาคุ้นเคย
ชีฟวิ่งไปใช้ท่อนไม้ฟาดใส่ก็อปลินที่ยื้อแย่งท่อนไม้อยู่กับครูสาวจนมันปลิวกระเด็นไปหาพวกของมันที่พึ่งจะวิ่งมาถึง
ชีฟแกะผลไม้ที่คล้ายคลึงกับลูกมะขามแต่มีขนมากมายออกมาจากเสื้อ ก่อนจะขว้างใส่ฝูงก็อปลินตรงหน้า ก็อปลินตัวหนึ่งที่โดนมันเข้าก็ทำท่าเกาไปทั้งตัว ทำให้ตัวอื่นระแวงและพากันถอยหนี ชีฟยังมีเจ้าสิ่งนี้ติดตัวอีกหลายลูก เขาแกะออกมาจากเสื้อของตัวเองก่อนจะระดมขว้างใส่ฝูงก็อปลินจนหมด
ครูสาวที่ถูกชีฟพยุงให้ลุกขึ้นมองฝูงก็อปลินอย่างสงสัย พวกมันพากันหวาดกลัวและถอยห่างจากเจ้าตัวที่โดนขว้างใส่
"มันคืออะไรน่ะ"
ชีฟช่วยประคองครูสาวขึ้นมาแล้วตอบ
"หมามุ่ยครับ ไปกันเถอะ"
ครูสาวมองชีฟแล้วยิ้ม อีกฝ่ายมีไอเดียการเอาตัวรอดที่ดีไม่ใช่น้อย ก่อนที่เธอจะสัมผัสถึงความคันที่หน้าอกข้างขวา
"เอ่อ ฉุกละหุกแบบนี้จะเผลอจับก็ไม่ว่านะ แต่หมามุ่ยมัน"
ชีฟมองมือของตัวเองที่เต็มไปด้วยหมามุ่ย ตอนนี้มันได้เผลอไปจับหน้าอกของครูสาวแบบเต็มกำมือโดยไม่ได้ตั้งใจ
"อุ่ย"
ชีฟรีบขยับมือต่ำลงมาตรงเอว ก่อนจะพากันวิ่ง
ทั้งสามคนพากันวิ่งเข้าไปในตัวบ้านที่แม่ของพวกเขากำลังเปิดประตูรอพวกเขาอยู่ ชีฟนั้นอยู่รั้งท้ายและโปรยเมล็ดพันธุ์หนามอสรพิษไปรอบ ๆ ตัวบ้าน แล้วเร่งโตพวกมัน หนามอสรพิษเป็นพื้นไม้เลื้อยที่มีลักษณะเหมือนกับเถาวัลย์ เติบโตขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่การโตของพวกมันนั้นไม่มีอะไรให้เกาะให้เลื้อย ทำให้พวกมันกองกันไปกองกันมาจนกลางเป็นดงหนามอสรพิษที่ล้อมบ้านของชีฟเอาไว้อย่างแน่นหนา
ชีฟที่เข้ามาภายในตัวบ้านรีบแจ้งให้ทุกคนปิดหน้าต่างและประตูทุกบาน พร้อมกับกำชับว่าห้ามออกไปโดนหนามข้างนอกเด็ดขาด
ก็อปลินตัวอื่น ๆ ที่สังเกตอยู่สักพักก็เริ่มรู้แล้วว่าหมามุ่ยที่พวกมันโดน มีฤทธิ์ทำให้แค่คันคาย พวกมันที่เหลือจึงพากันหลีกเลี่ยงและวิ่งตรงมายังบ้านของชีฟ แต่เพียงแค่พวกมันสัมผัสโดนหนามแม้จะแค่เฉี่ยว พวกมันก็พากันดิ้นทุรนทุรายลงไปกับพื้นพร้อมกับมีน้ำลายฟูมปาก ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองนาที พวกมันก็เสียชีวิต
หนามอสรพิษทำงานได้อย่างดีเยี่ยม มันสังหารก็อปลินทุกตัวที่สัมผัสโดนมันเข้า ชีฟและครูสาวที่อยู่ด้านในก็พากันเอาของแข็งมาขูดหมามุ่ยออกจากตัว ก่อนจะตามด้วยล้างตัวแล้วทายาแก้คัน
ชีฟที่พึ่งฉาบยาแก้คันมาทั้งตัวก็เดินขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านก่อนจะเห็นครูน้ำตาลยืนมองบ้านข้าง ๆ ผ่านรูหน้าต่างที่แง้มไว้เล็กน้อย
ภาพที่เห็นทำให้ครูน้ำตาลรู้สึกเศร้าสลดกับภาพตรงหน้า ที่หน้าประตูบ้านหญิงวัยกลางคนกำลังถูกพวกก็อปลินลุมทุบด้วยท่อนไม้จนร่างกายแหลกเละไม่มีชิ้นดี
"โหดร้ายมาก"
ชีฟที่ยืนมองอยู่ด้านหลังแม้จะไม่ชอบอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้สึกเสียใจที่ลืมช่วยอีกฝ่ายไปเลย
ก็อปลินจำนวนมากพากันมาล้อมบ้านของชีฟเอาไว้ แต่พอเห็นว่าพวกมันไม่สามารถฝ่าดงหนามอสรพิษเข้าไปได้ พวกที่เหลือก็พากันวิ่งไปโจมตีบ้านหลังอื่นต่อ
ตอนนี้ทั้งสี่คนได้แต่พากันนั่งกินขนมขบเขี้ยวและน้ำหวานน้ำอัดลมกันอยู่หน้าจอทีวีกลางบ้าน โชคดีที่ของส่วนใหญ่ยัดใส่ตะกร้าจักรยานของอีฟ ทำให้พวกเขายังเหลือของเล็กน้อยไว้กินกันในช่วงปีใหม่ และคุณไพรินแม่ของอีฟและชีฟ ก็มีของคาวมากมายกักตุนไว้ในตู้เย็น พวกเขาจึงมีกับข้าวแสนอร่อยไว้กิน เพื่อรอให้มีคนมาจัดการกับก็อปลินที่เหลือ
ในโทรทัศน์ทีวียังคงรายงานสถานการณ์การโจมตีของก็อปลินอย่างไม่หยุดไม่หย่อน นักรบสกิลจำนวนมากที่เป็นนักศึกษารุ่นแรก ๆ ที่เรียนจบ ก็พากันไปยังจุดต่าง ๆ ทีได้รับรายงานและไล่จัดการพวกก็อปลิน
เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าอาจจะเกิดขึ้น แม้ตราเวทย์จะทรงพลังแค่ไหน แต่มันก็ย่อมจะมีช่องโหว่ พวกปีศาจได้อาศัยช่องโหว่นี้ในการเปิดมิติขนาดเล็ก และส่งพวกก็อปลินเข้ามาจู่โจมมนุษย์เพื่อหยั่งเชิง ก็อปลินเป็นเผ่าพันธุ์ที่ขยายจำนวนได้รวดเร็ว พวกมันจึงเหมาะที่สุดที่จะใช้เป็นเบี้ยในการก่อกวนหรือหยั่งเชิงศัตรูที่แข็งแกร่ง
วันรุ่งขึ้นครูน้ำตาลก็ขอยกเลิกคอสการเรียนการสอนและขอตัวกลับบ้าน แต่หลังจากที่ชีฟสลายหนามไปจนหมด ก็พบว่ายางรถของครูน้ำตาลนั้นโดนหนามทิ่มจนยางรั่วทั้งสี่ล้อ นั่นทำให้ครูน้ำตาลต้องค้างอยู่บ้านของชีฟต่อไปเพื่อรอช่างมาซ่อม
ตกเย็นลูกหลานของป้าข้างบ้านก็พากันมารับศพป้า พวกนั้นพากันก่นด่าและสาปแช่งชีฟที่ไม่ช่วยแม่ของพวกเขา ก่อนจะพากันประกาศขายบ้านของตัวเองแล้วย้ายข้าวของออกไป
อีกหนึ่งวันต่อมาชีฟคิดวิธีใหม่ที่จะปกป้องบ้านของตัวเอง นั่นคือปลูกต้นไผ่ให้โตเป็นแนวยาวล้อมรอบรั้วบ้านของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ปลูกหนามอสรพิษให้และเลื้อยขึ้นไปตามต้นไผ่ ส่วนรั้วที่ติดกับบ้านข้าง ๆ นั้นชีฟก็ปลูกไผ่ไว้ด้านในของรั้วแทน ส่วนบริเวณหน้าประตูชีฟทำให้ไผ่โค้งเข้าหากันจนกลายเป็นซุ้มประตู และตัดไผ่สองท่อนมาเกี่ยวเถาวัลย์หนามเอาไว้แล้ววางระเกะระกะไว้บนถนนทางเข้า เมื่อจะออกจากบ้านก็ยกไม้ไผ่ออก เมื่อกลับเข้ามาก็ยกมาปิดไว้เหมือนเดิม เป็นการป้องกันแบบง่าย ๆ ที่ได้ผลดี
สองวันต่อมาครูน้ำตาลก็จากไปในตอนเช้าเนื่องจากช่างมาปะยางให้แล้ว พอตกเย็นพวกก็อปลินก็บุกโจมตีอีกระลอก คราวนี้ทั้งสามคนก็แค่นั่งรับประทานอาหารกันอยู่เฉย ๆ รอพวกนักรบสกิลมาจัดการ
ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารอยู่หลังบ้านพร้อมกับบรรยากาศที่มีเสียงดังป๊อกแป๊กไม่หยุด เสียงเหล่านี้คือเสียงของก้อนหินที่พวกก็อปลินพากันขว้างใส่ แต่ไม้ไผ่ที่หนาและแข็งแรงนั้นก็สามารถป้องกันหินแข็งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การโจมตีระลอกนี้ก็เหมือนกับทุกครั้ง พอเช้าตรู่ของอีกวัน พวกมันก็โดนนักรบสกิลจัดการจนหมด แต่ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่เก็บศพนั้นมาเคลียศพของก็อปลิน ชีฟก็ต้องสลายหนามอสรพิษทิ้งเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่
แต่หลังจากเจ้าหน้าที่เก็บศพจนหมดในช่วงบ่าย ชีฟก็มีอันต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถเบนซ์ที่คุ้นตาขับมาหาพวกเขา เจ้าของรถก็คือครูน้ำตาลนั่นเอง
พ่อแม่ของครูน้ำตาลนั้นทำงานอยู่รัฐอินเดีย การปกป้องประชาชนของที่นั่นไม่ค่อยจะมีคุณภาพเสียเท่าไหร่ พอกลับมาอยู่รัฐไทยก็เจอสภาพแย่ ๆ พอกัน นั่นทำให้ครูน้ำตาลที่นึกถึงการป้องกันของชีฟเสนอกับพ่อแม่ว่า มีคนคนหนึ่งที่หน้าจะปกป้องพวกเขาได้ดี
สุดท้ายทั้งสามคนจึงพากันมาซื้อบ้านข้าง ๆ ของชีฟ แล้วย้ายเข้ามาอยู่ ซึ่งเมื่อบ้านทั้งสองหลังรวมกัน ก็จะกลายเป็นบ้านที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาทันที ชีฟจึงปรับรูปแบบการป้องกันแบบใหม่ โดยกำแพงไม้ไผ่ก็ให้ล้อมรั้วบ้านของพวกเขาตามเดิม ดีกว่าเดิมตรงที่ไม่ต้องมาล้อมตรงกำแพงระหว่างบ้านทั้งสองหลังอีก ส่วนทุ่งนาที่ล้อมบ้านพวกเขาทั้งสองหลังเอาไว้ชีฟก็กระจายหนามอสรพิษไว้ทั่วไปหมด แล้วทำรั้วไม้ไผ่เล็ก ๆ กั้นไว้อีกชั้น จากนั้นก็ติดป้ายไว้ด้วยว่า หนามมีพิษอันตรายถึงชีวิตห้ามโดนเด็ดขาด
เท่านี้บ้านใหม่ของครูน้ำตาลและบ้านของชีฟก็สามารถป้องกันก็อปลินตัวเล็กได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หนึ่งเดือนต่อมา
ในหนึ่งเดือนมานี้ พวกก็อปลินจะพากันโผล่มาแค่อาทิตย์ละหนึ่งถึงสองครั้ง และพื้นที่ที่พวกมันชอบโผล่ออกมานั้นก็มักจะเป็นหมู่บ้านในเขตชนบท ซึ่งทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ถึงแม้หลายบ้านจะมีห้องใต้ดินเพื่อหลบซ่อน แต่พวกเขาก็ยังได้รับความเสียหายจากการทำลายข้าวของของพวกก็อปลินอยู่ดี
ในบ้านหลังหนึ่ง สองครอบครัวพากันมานั่งล้อมวงรับประทานอาหารเย็นอยู่ที่ครัวหลังบ้านของครูน้ำตาล ด้วยที่ว่ามันกว้างกว่าบ้านของชีฟเยอะมาก แถมมีทีวีจอใหญ่ให้ดูด้วย
ทั้งหมดนั่งรับประทานอาหารไปด้วยดูทีวีไปด้วยอย่างมีความสุข แม้เสียป๊อกแป๊กจากการขว้างปาของพวกก็อปลินจะรบกวนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมากมายนัก
วันนี้ข่าวในทีวีเป็นข่าวสด ที่นักข่าวพากันไปดักรอผู้บังคับบัญชาสูงสุด (ผบ.สส.) ของนักรบสกิลแห่งรัฐไทยอยู่หน้าตึกสำนักงาน
เมื่อผบ.ร่างท้วมเดินออกมา นักข่าวก็พากันกรูเข้าไปหา แต่ถูกนักรบสกิลในชุดทหารยืนกั้นเอาไว้ นักข่าวคนหนึ่งตะโกนถาม
"ท่านผบ.คะ นี่ก็ผ่านกันมาตั้งเดือนนึงแล้ว หลาย ๆ รัฐสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างดี แต่ทำไมรัฐของเรายังมีรายงานผู้เสียชีวิตอยู่เลย ไม่ทราบว่าท่านผบ.คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้คะ"
"ไม่รู้ไม่รู้ไม่รู้ ไปถามเลขาผมนู่น"
เมื่อเจอคำถามที่ตอบได้ยาก ผบ.ก็สะบัดหน้าเดินหนีไปขึ้นรถที่เตรียมไว้อย่างรวดเร็ว นักข่าวที่เห็นเลขาสาวหน้าตาดีกำลังตามออกมา ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที เลขาสาวที่โดนโยนขรี้ เอ้ย โยนงานมาให้ก็ต้องทำใจตอบออกมา
"เอ่อ ตอนนี้ทางเราได้พยายามควบคุมสถานการณ์อย่างเต็มที่ และจัดสรรกำลังอย่างเหมาะสม เพราะฉะนั้น ขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจได้เลยว่า พวกคุณจะได้รับความปลอดภัยจากเราแน่นอน ขอตัวก่อนนะคะ"
พูดจบเลขาสาวก็รีบหนีไปขึ้นรถอีกคน
ทางด้านสองครอบครัวที่ดูข่าวอยู่ก็พากันมองไปรอบ ๆ ที่มีแต่ต้นไผ่และเสียงกระทบดังป๊อกแป๊ก ทั้งหมดพากันก้มหน้ามองจานแล้วส่ายหัวอย่างเอือมระอาให้กับคำว่าปลอดภัยที่ได้ยิน นี่ถ้าพวกเขาไม่มีสกิลของชีฟ คงจะไม่รอดกันแน่ ๆ ชีฟเขี้ยวข้าวเสร็จก็พึมพำออกมา
"ปลอดภัยพ่อง"
อีฟที่นั่งข้าง ๆ ตีพี่ชายหนึ่งที
"หยาบคาย"