webnovel

ความผิดหวัง

ณ มุมหนึ่งของเชียงใหม่ ภาพของสาวน้อยหน้าใสที่กำลังนั่งใจลอยอยู่ที่ม้าหินริมแม่น้ำบริเวณข้างโรงจอดรถ ทำเอาชาวโรงงานที่บังเอิญเดินผ่านไปมาแปลกใจ วันนี้หล่อนมานั่งทำอะไรคนเดียวอยู่ตรงนี้ ยามปกติหล่อนมักจะไปไหนมาไหนเป็นกลุ่มกับเพื่อนสาวคนอื่นๆมิใช่หรือ

เอื้องคำกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปัณณ์พูดกับหล่อน ก่อนที่เขาจะกลับกรุงเทพไปหลังปีใหม่

"เราขอเวลาไม่กี่เดือนนะเอื้อง เอื้องรอเราได้มั้ย"

เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าเอามือของสาวน้อยมากุมไว้ เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์สาวชาวเหนือคนนี้มาก

"ถ้าเราเรียนจบเมื่อไหร่ เราจะขึ้นมาหางานทำที่เชียงใหม่ทันที" ปัณณ์พยายามให้คำมั่นสัญญากับสาวน้อยในดวงใจของเขา

"อ้ายปัณณ์จะปิ๊กมาทำงานที่โฮงงานนี้ก่อเจ้า" สาวน้อยรู้สึกมีความหวังที่รักครั้งแรกของหล่อนกำลังจะเป็นจริง หล่อนเองก็ชอบชายหนุ่มเอามากๆ เขาหล่อและเขาก็ดีกับหล่อนเสมอต้นเสมอปลาย

หากคำถามนี้ของเอื้องคำทำเอาคนตรงหน้าชะงักไป ปัณณ์รู้สึกเป็นห่วงคนตรงหน้าจับใจ หรือเขาควรจะบอกความจริงกับหล่อนออกไปดี ความรักบวกกับความหลงใหลในตัวคนน่ารักคนนี้ทำให้เขารู้สึกลังเล แต่เขาก็ได้สัญญากับสิปรางค์เอาไว้แล้วว่าเขาจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับที่สุด

"เอื้อง เราอยากบอกอะไรเอื้องสักอย่าง แต่เอื้องต้องสัญญานะว่าจะเก็บเป็นความลับ เอื้องห้ามไปบอกใคร"

และในที่สุดปัณณ์ก็พูดออกไป เด็กหนุ่มคิดว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อคนที่เขารัก ผิดหรือที่เขาเป็นห่วงอนาคตของเอื้องคำ เขาไม่อยากให้หล่อนตกงานโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วก็อยากให้เอื้องคำได้มั่นใจว่าเขาเห็นเอื้องคำเป็นคนพิเศษกว่าใครๆ คนรักกันก็ย่อมไม่มีอะไรปิดบังกันไม่ใช่หรือ

เอาน่า แค่บอกเอื้องคำคนเดียวคงไม่เป็นไร…

"เอื้องต้องรีบดูงานที่ใหม่เอาไว้นะ โรงงานนี้อาจจะต้องถูกปิด ทุกคนอาจจะต้องตกงาน"

"ตกงาน!"

เอื้องคำรับฟังคำบอกเล่าของคนรักหนุ่มด้วยอาการกลัวจับใจ อ้ายปัณณ์ไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ เขาเป็นญาติกับคุณสิปรางค์ เขาต้องรู้เรื่องดี

ตายแล้ว! หล่อนจะต้องหางานใหม่หรือนี่ เด็กสาวจบมอสามอย่างหล่อนจะไปหางานดีๆกว่านี้ได้จากที่ไหนกัน หล่อนไม่อยากไปนั่งล้างจานตามร้านอาหาร ไม่อยากไปยืนเป็นลูกจ้างขายของตามร้านค้า หล่อนชอบงานที่นี่ คุณวิชิตนายจ้างของหล่อนใจดีมาก และป้าๆในโรงงานก็ใจดีกันทุกคน

เฮาจะยะจะไดดี บ่อยากตกงานเลย สงสัยจะต้องไปถามป้าฟองจะดีกว่า…

ณ มุมหนึ่งของกรุงเทพ สิปรางค์ยังคงนั่งอึ้งทอดถอนใจหมดอาลัยอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ข้างๆหล่อนเป็นคุณวิชิตซึ่งก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน

หล่อนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!

ไม่เพียงแต่เสียใจที่ความพยายามครั้งนี้ล้มเหลว แต่หญิงสาวกำลังโกรธคนทุกคนที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องประชุมไป คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากบรรดาบุคคลระดับผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายก่อนหน้านี้นั้นทำให้หล่อนผิดหวังอย่างมากมาย

"คุณจะไปสนใจอะไรกับชาวบ้านระดับนั้น เราให้เท่าไหน เขาก็พอใจเท่านั้นแหละ"

"เราก็ชดเชยให้เค้าครบถ้วนตามกฎหมายแรงงานแล้วไง เราไม่ผิด"

"เดี๋ยวชาวบ้านเค้าก็ไปหางานรับจ้างกันไปวันๆก็ได้ อยู่ต่างจังหวัดสบายจะตายไป ใช้ชีวิตแบบพอเพียงก็พอ"

"สมัยนี้เค้าก็ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนทั้งนั้น"

"พวกคนที่ไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง มันก็ไปไม่รอดหรอก"

"โรงงานเราไม่ใช่โรงทานนะ จะเก็บเอาไว้คอยอุ้มทุกคนไม่ไหวหรอก"

"…"

คำพูดพวกนั้น ครั้งหนึ่งมันก็เคยออกมาจากปากของหล่อนเอง แต่มาวันนี้สิปรางค์กลับรู้สึกชิงชังและขยะแขยงมัน

"มันก็ต้องเป็นไปตามมตินั่นล่ะครับ" คุณวิชิตพยายามที่จะปลอบใจหญิงสาว

ผู้สูงวัยรู้สึกเห็นใจในความพยายามของหลานสาวของเพื่อนรักคนนี้ เขาเห็นหล่อนทำงานหนักมาตลอดในระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา รายงานที่หญิงสาวส่งให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนได้อ่านก็นับว่าเป็นรายงานที่สมบูรณ์แบบมาก และในห้องประชุมวันนี้หล่อนก็กล่าวถึงที่มาที่ไปในการจะแก้ไขปรับปรุงโรงงานและผลสรุปได้อย่างดีเยี่ยม

แต่มติของที่ประชุมก็เป็นไปตามทิศทางที่วิชิตได้คาดไว้ตั้งแต่ต้น ในการทำธุรกิจกำไรต้องมาก่อนเสมอ หากมีหนทางใดที่เป็นโอกาสที่ดีกว่ารออยู่ ก็ควรจะเลือกหนทางนั้นเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า

"ขอบคุณปรางมากนะสำหรับวันนี้ แต่พี่ก็คงช่วยปรางได้แค่นี้ จากนี้ไปเราคงต้องเริ่มเตรียมการเคลียร์โรงงานให้เรียบร้อยภายในเดือนหน้า"

ปกป้องเอ่ยกับน้องสาวคนสนิทเมื่อกลับเข้ามาห้องประชุมอีกครั้ง หลังจากที่ชายหนุ่มเป็นผู้ออกไปส่งผู้ถือหุ้นคนอื่นๆแทนบิดา เขารู้สึกสงสารสิปรางค์ไม่ใช่น้อยขณะเห็นหล่อนหน้าซีด หลังจากที่ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ยืนยันให้ปิดโรงงานที่เชียงใหม่ตามแผนเดิม แต่มันก็เป็นแค่เรื่องของธุรกิจ หญิงสาวควรจะทำใจและก้าวต่อไปได้แล้ว

"คุณวิชิตคงต้องเป็นผู้แจ้งพนักงานในเร็วๆนี้นะครับ เราต้องแจ้งเค้าล่วงหน้าหนึ่งเดือนตามกฎหมายแรงงาน ปรางไม่ต้องอยู่จนถึงวันสุดท้ายก็ได้นะ จะกลับมากรุงเทพก่อนก็ได้ ที่นี่ก็มีงานรออยู่อีกเยอะ"

หน้าที่ของสิปรางค์ใกล้จบแล้ว ญาติผู้น้องของเขาควรจะกลับมาช่วยงานเขาที่กรุงเทพเสียที…

"ตอนที่ตาป้องบอกว่าปรางพยายามจะช่วยโรงงานเอาไว้ ลุงเองก็ยังแปลกใจเลยนะลูก" บิดาของปกป้องหันมาหาหลานสาว

"ทำไมหนูเกิดเปลี่ยนใจล่ะลูก ทีแรกหนูเองก็เห็นด้วยกับการปิดโรงงานนี่นา"

ปราณอยากจะถามคำถามนี้มานานแล้ว เขายังไม่มีโอกาสได้คุยกับหญิงสาวเลยตั้งแต่สิปรางค์ไปเชียงใหม่ หลังจากนั้นปกป้องก็มาเล่าให้ฟังถึงความพยายามของหล่อนในการจะช่วยกู้ชีวิตโรงงานที่แม่ริม

วันนี้เขาได้เห็นความตั้งใจของหลานสาวคนนี้ในห้องประชุม หล่อนทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจปนประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิปรางค์จะเป็นฝ่ายที่จะยืนอยู่ตรงข้ามกับฝั่งผู้ถือหุ้น

อะไรกันที่ทำให้หญิงสาวกล้าที่จะเปลี่ยนใจ?

สิปรางค์ก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างคุณลุงที่หล่อนสนิทสนมมาด้วยแต่เด็ก เบื้องหน้าของคนทั้งคู่เป็นหน้าต่างกระจกภาพวิวมุมกว้างของกรุงเทพมหานครจากตึกทำงานชั้นที่ยี่สิบ หล่อนมองการเบียดเสียดยัดเยียดกันของตึกสูงระฟ้าและรถราบนท้องถนนแล้วพลันก็คิดถึงเชียงใหม่จับใจ

"คงเป็นเพราะเพลงสาวเชียงใหม่ที่คุณลุงเป็นคนเล่นกีตาร์และร้องให้ปรางฟังตั้งแต่เด็กมั้งคะ"

ปราณหันมายิ้มให้กับหลานสาวซึ่งเขารักเหมือนลูกสาวแท้ๆ ชายสูงวัยคิดว่าเขาเข้าใจคำพูดของหญิงสาวดี ไอ้หลานคนนี้มันเหมือนลุงของมันแฮะ

"รวมไปถึงอากาศดีๆที่บนดอยด้วยหรือเปล่าลูก"

คำถามนี้ของผู้เป็นลุงทำเอาหญิงสาวยิ้มอย่างแห้งแล้ง ทำไมคุณลุงช่างอ่านใจหล่อนออก อาการหลงรักจังหวัดเชียงใหม่และคนเชียงใหม่ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาทำเอาหล่อนปวดแปลบในใจ

รักที่ไม่มีวันจะสมหวัง…

หญิงสาวนั่งเหม่อมองปล่อยให้เสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือกรีดร้องดังอยู่เช่นนั้น สิปรางค์ไม่คิดจะรับสายของชายหนุ่ม วันนี้หล่อนทำใจคุยกับเขาไม่ได้จริงๆ

หล่อนจะมีหน้าไปคุยกับเขาได้อย่างไรกัน…

วินไม่เคยเซ้าซี้ถามว่าหล่อนมาทำอะไรที่กรุงเทพ หรือจะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่ หรือแม้กระทั่งหล่อนไปทำอะไรที่เชียงใหม่ตั้งแต่แรก ชายหนุ่มคงรู้ว่ามะปรางของเขาไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามพวกนี้นัก

นับตั้งแต่หญิงสาวมาถึงกรุงเทพ วินโทรมาถึงหล่อนตรงเวลาก่อนนอนทุกคืน และเขาก็มักจะเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้หล่อนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่จะกำชับให้คนตัวเล็กพักผ่อนเยอะๆ ให้ทานอาหารให้ตรงเวลา

สิปรางค์รู้สึกคิดถึงคนตัวสูงคนนั้นจับใจ…

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยความที่เป็นคนมีความพยายามและไม่เคยยอมแพ้ ทำให้สิปรางค์แทบจะประสบความสำเร็จกับทุกสิ่งในชีวิต อาจจะมีบ้างในบางครั้งที่ผลลัพธ์ออกมาไม่ได้ดังใจ หากหญิงสาวไม่เคยเก็บเอามาท้อถอย หล่อนไม่แคร์กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เพราะถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ก็แค่เก็บความผิดพลาดมาเป็นประสบการณ์ หล่อนเป็นคนที่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

แต่หากการพ่ายแพ้ครั้งนี้มันทำเอาหญิงสาวหัวใจแตกสลาย หมดเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรต่อไป มันเป็นความผิดของหล่อนเอง หล่อนคงทำได้ไม่ดีพอถึงไม่สามารถจะโน้มน้าวใจผู้ถือหุ้นได้ ในตอนแรกสิปรางค์รู้สึกโกรธ ผิดหวัง เครียด คับแค้นใจ แต่ต่อมาความรู้สึกนั้นได้กลายมาเป็นโศกเศร้าและเสียใจอย่างลึกซึ้ง อารมณ์และความรู้สึกต่างๆที่ประดังประเดเข้ามา ทำให้อาการปวดศีรษะของหญิงสาวกลับมาอีกครั้ง และคราวนี้รุนแรงมากกว่าทุกครั้ง

เราจะกลับไปเจอหน้าทุกคนได้ยังไง เราผิดเอง เราไม่ดีเอง เราไม่เก่งพอ เราช่วยพวกเค้าไว้ไม่ได้…

สายตาของชาวโรงงานที่มองมาอย่างแปลกๆทำให้หญิงสาวรู้สึกว่ามีบางอย่างในโรงงานนี้ที่ผิดปกติไป หล่อนจากไปกรุงเทพแค่อาทิตย์กว่าๆ หากกลับมาคราวนี้แม้แต่คำตั๋นยังมองหล่อนด้วยสายตาของความแคลงใจตั้งแต่หล่อนเลี้ยวรถเข้าประตูโรงงานมาแล้ว

"เนี่ยฮะ ในโรงงานเค้าลือกันว่าอย่างนี้ มันจริงหรือเปล่าฮะคุณสิปรางค์ คุณวิชิต"

ดนัยรีบรายงานหญิงสาวกับผู้จัดการโรงงานทันทีที่ทั้งสองเข้ามาในสำนักงานตอนเช้า เขามองผู้บริหารทั้งสองด้วยสายตาร้อนรน นี่เขาไม่เคยรับรู้อะไรมาก่อนเลยได้อย่างไร

"คุณดนัยครับ ถ้าใครมาถามอะไร ก็ขอให้บอกไปก็แล้วกันครับว่าให้รอฟังผมพรุ่งนี้" วิชิตบอกกับกับเลขาคนสนิทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะหันมาทางสิปรางค์หลังจากที่ดนัยออกไปจากห้อง

"เมื่อข่าวออกไปแล้วอย่างนี้ มันก็คงถึงเวลาที่จะต้องบอกความจริงกับพวกเค้าแล้วล่ะครับ" ผู้สูงวัยถอนหายใจ เขามีลางสังหรณ์ว่าความยุ่งยากบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น

"งั้นที่เราจะรอให้ชาวไร่เก็บเมล็ดกาแฟมาส่งให้ได้มากที่สุดก่อน ก็คงจะรอไม่ได้แล้วสิคะ"

"ก็คงต้องปรับเปลี่ยนแผนกันใหม่ล่ะครับ พรุ่งนี้หลังจากประกาศออกไปแล้วก็คงต้องเชิญบรรดาหัวหน้าแผนกต่างๆมาคุยกัน คุณสิปรางค์มีแผนปิดโรงงานแผนเดิมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนี่ครับ"

สิปรางค์ยังตกใจในสิ่งที่ได้ยิน ข่าวนี้รั่วไหลออกไปได้อย่างไร หล่อนรู้ว่ามันไม่ได้มาจากณัฐ หรือคุณวิชิต หรือตัวหล่อนเองอย่างแน่นอน ทีแรกหล่อนยังนึกว่าพอจะมีเวลาได้เตรียมตัวเตรียมใจในการจะแจ้งข่าวกับชาวโรงงานบ้าง แต่เวลานั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้…

"ช่างวินว่าจะได คุณสิปรางค์แกบ่เคยเล่าอะหยังฮื้อช่างฟังเลยก่า"

ช่างอู๊ดเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยท่าทางใคร่รู้ ขณะนี้ทุกคนในแผนกกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องของนายช่างหัวหน้าแผนก

"ผมก่อบ่ฮู้ว่าข่าวมันมาจากตี้ใด ข่าวมันมาเรื่อยๆอ้าย เขาว่าโรงงานจะถูกปิด แล้วเราต้องตกงานกันหมด" หนุ่มโต้งก็สงสัยในข่าวที่เขาได้ยินมาเช่นกัน ข่าวลือนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อโรงงานกลับมาเปิดอีกครั้งหลังหยุดเทศกาลปีใหม่

"เขาว่ากันว่า คุณสิปรางค์เปิ้นมาตี้นี่เพื่อมาปิดโรงงานเฮาโดยเฉพาะ เขายะกะหมู่เฮาจะอี๊ได้จะได" ช่างอู๊ดส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง แม้จะยังไม่รู้ว่าข่าวร้ายนี้จะเป็นจริงหรือไม่ แต่ความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อหญิงสาวเริ่มหายไปแล้ว

"วันนี้คุณสิปรางค์เขากลับมาแล้ว อ้ายถามเขากำลอ ว่ามันแม่นบ่แม่นยังไง" โต้งยังหวังว่าข่าวลือที่ได้ยินมาจะเพียงแค่ข่าวลือ พวกคนงานอาจจะพูดกันไปเรื่อยเปื่อยเพราะเห็นคุณสิปรางค์ไปกรุงเทพนานหลายวันโดยไม่ได้ร่ำลา

วินนิ่งคิด ในช่วงต้นอาทิตย์หลังปีใหม่ที่สิปรางค์ไปกรุงเทพ หล่อนยังคุยโทรศัพท์กับเขาเป็นปกติดี แต่เมื่อสองสามวันมานี้ก่อนที่หล่อนจะกลับมาที่เชียงใหม่ หญิงสาวกลับไม่เคยรับสายเขาอีกเลย ส่งข้อความถามไถ่ไป ก็ไม่เห็นหล่อนเปิดอ่าน ในใจเขานึกเป็นห่วงหล่อนมากมาย เฝ้ารอคอยหล่อนติดต่อกลับมาทุกวัน จนวันนี้ที่ลูกน้องมาบอกว่าหญิงสาวกลับมาถึงแล้ว

ข่าวลือที่เริ่มแพร่สะพัดออกมาเรื่อยๆตอนหลังปีใหม่นี้ทำเอานายช่างใหญ่ไม่สบายใจ อันที่จริงความเงียบสงัดของโรงงานในระยะหลังๆนี้ก็ทำให้เขาอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ พักหลังมานี้โรงงานแทบไม่เปิดการผลิตกะกลางคืน ทั้งๆที่ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลเชอรี่ของกาแฟซึ่งปกติแล้วน่าจะเป็นช่วงที่โรงงานยุ่งที่สุด เขากำลังรอคุยกับวิชิตเรื่องนี้อยู่เช่นกัน…

สิปรางค์ปิดโน้ตบุ๊คลง หล่อนเหลือบดูเวลาจากมือถือ สามทุ่มกว่าแล้ว คุณวิชิตเองก็เพิ่งจะกลับไปเมื่อสักครู่หลังจากซักซ้อมทำความเข้าใจกับเรื่องข้อมูลที่จะต้องแจ้งให้พนักงานทุกคนรับทราบในวันพรุ่งนี้

หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก พรุ่งนี้แล้วสินะที่ทุกคนจะต้องรับรู้ความจริง แม้ใจหนึ่งหล่อนจะรู้สึกใจหายและพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แต่อีกใจหนึ่งหญิงสาวกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

มันกำลังจะจบแล้ว ความลับที่ถูกปกปิดมาตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่หล่อนต้องแบกไว้แต่เพียงผู้เดียว มันกำลังจะผ่านไปแล้ว…

เงาตะคุ่มยืนหันหลังสูบบุหรี่อยู่ที่ริมน้ำนั้น มองแค่แผ่นหลังปราดเดียวสิปรางค์ก็รู้ว่าเป็นเขาคนที่หล่อนคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดอะไร ชายหนุ่มก็หันหน้ามาพอดี

และเมื่อเห็นว่าเป็นหล่อน เขาจึงรีบปราดเข้ามาหาทันที

"วิน มารอนานแล้วหรือ" หญิงสาวเอ่ยทักเขาเสียงเรียบๆ

"นานมาก... แต่นานแค่ไหนก็รอได้" เสียงแหบทุ้มนั้นอ่อนหวาน

และสายตาเว้าวอนกระวนกระวายที่ส่งมานั้น ทำเอาสิปรางค์หัวใจแตกสลาย หล่อนสะอื้นอยู่ในอก แม้หญิงสาวจะคิดถึงเขามากเพียงใด แต่หล่อนก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ในตอนนี้ หล่อนรู้จุดประสงค์การมาของเขาดี ข่าวลือที่โรงงานคงจะทำให้เขามารอหล่อนอยู่จนดึกดื่นเพียงนี้

"วิน เราขอตัวนะ เรายุ่ง เราเหนื่อย" หญิงสาวต้องแข็งใจพูดออกไป ตั้งท่าจะเดินขึ้นบันไดเรือนพัก

"มะปราง เราต้องคุยกัน"

หากชายหนุ่มปราดเข้ามาคว้าแขนกลมกลึงนั้นไว้ ดึงให้หล่อนหันหน้ามาหาเขา สิปรางค์เงยมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา หล่อนต้องมึนตึงเข้าไว้ ต้องใจแข็ง ต้องอดทน

"ทำไมมะปรางหลบหน้าผม ทำไมต้องหายไป แล้วกลับมาจากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกผมเลย ผมรออยู่ทุกวัน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ"

น้ำเสียงอ่อนโยนของวินแสดงอาการเป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มพูดยาวกว่าปกติ แสดงถึงความอัดอั้นตันใจของเขาอย่างล้นเหลือ

แต่หญิงสาวไม่สามารถรับความห่วงใยนั้นไว้ได้ ทั้งๆที่ใจอยากจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ก็ทำไม่ได้ วันนี้ยังไงเรื่องนี้มันก็ยังคงเป็นความลับของบริษัท หล่อนต้องรีบตัดบท แล้วพรุ่งนี้เขาจะรู้เรื่องจากปากของคุณวิชิตเอง

"วิน ขอร้องล่ะ เราอยากพักผ่อน"

สิปรางค์พยายามจะสะบัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุมของชายหนุ่มและหันหลังจะขึ้นบันได หากวินไม่ยอม เขากลับดึงหล่อนเข้ามาชิดอีก วงแขนแข็งแรงทั้งสองข้างนั้นสวมกอดหญิงสาวแน่นจากทางด้านหลัง

"รู้ไหม ผมคิดถึงมะปรางมากขนาดไหน" เสียงแหบทุ้มนั่นเจือไว้ด้วยความวาบหวานระโหยหา

คนในอ้อมกอดได้แต่ฝืนตัวไว้ พยายามกลั้นสะอื้นอย่างสุดความสามารถ ทั้งๆที่ในใจส่วนลึกแล้วอยากจะหันหลังกลับไปกอดเขาตอบเป็นที่สุด อยากกอดเขาให้แน่นๆ อยากซบลงกับไหล่กว้างนั่น

แต่หล่อนจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร หล่อนเป็นคนที่ทำลายชีวิตของเขา ทำลายชีวิตของทุกคน…

หญิงสาวกำลังรู้สึกเกลียดตัวเองที่มารับทำงานนี้ตั้งแต่ต้น!

"ผมรักมะปรางนะ…"

วินกระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของหล่อน เขากอดหล่อนแน่นขึ้น กอดด้วยความรู้สึกรักที่มาจากทั้งหมดของหัวใจ

สิปรางค์ตัวนิ่งงันด้วยความสะท้านใจ คำๆนี้… คำว่ารัก… คำที่ผู้หญิงทุกคนรอคอยและอยากได้ยินจากปากผู้ชายที่ตนเองรัก แต่ทำไม… ทำไมหญิงสาวไม่อยากได้ยินคำนี้ในตอนนี้เลย

เจ็บปวดเหลือเกิน… เจ็บปวดที่สุด ความรักทำให้เจ็บปวดได้ขนาดนี้เชียวหนอ…

แต่ในที่สุดสิปรางค์ตัดสินใจกลั้นใจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"วิน… ปล่อยเรา ยังไงเรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว"

หากหล่อนยังอยู่ในอ้อมกอดเขานานกว่านี้อีกสักวินาทีเดียว หล่อนจะต้องพรั่งพรูทุกสิ่งทุกอย่างออกมาแน่ๆ หญิงสาวจะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับปกป้อง ตามข้อบังคับของบริษัททุกคนในโรงงานจะต้องรู้เรื่องนี้จากปากคุณวิชิตคนเดียวเท่านั้น ไหนๆหล่อนก็ทรยศกับคนทั้งโรงงานไปแล้ว หล่อนไม่อยากจะทรยศกับครอบครัวอีก

"ไม่ปล่อย บอกผมก่อน มะปรางรักผมบ้างมั้ย"

หากชายหนุ่มกลับกอดหล่อนแน่นขึ้น เขาไม่ได้สนใจเรื่องข่าวลือนั่นแล้ว เขาไม่ได้คิดถึงอนาคตอะไรระหว่างเขาและหญิงสาว ตอนนี้วินแค่อยากได้ยินจากปากของมะปรางของเขา หล่อนคิดยังไงกับเขากันแน่

"วิน ปล่อย!" ทว่าหญิงสาวในอ้อมแขนของเขากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหนักแน่น

นายช่างหนุ่มชะงักไป เขารับรู้ได้ถึงความเฉยชาอย่างผิดปกติของคนตรงหน้า นี่เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

แต่แล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจทิ้งแขนที่กำลังกอดหญิงสาวอยู่ลงข้างตัว เขารู้จักผู้หญิงคนนี้ดี หล่อนเป็นคนใจแข็ง

สิปรางค์รีบเดินขึ้นเรือนพักไปโดยไม่หันกลับมามอง วินมองตามหญิงสาวไปอย่างไม่เข้าใจ มะปรางของเขาเป็นอะไรไป นี่หล่อนไม่คิดจะคุยจะอธิบายอะไรให้เขาฟังเลยหรือ ทำไมหล่อนถึงได้เย็นชาขนาดนี้

หรือมันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโรงงานจริงๆ!…