"มันก็อร่อยแบบแปลกๆนะคะป้า นับว่าเป็นรสชาติที่น่าสนใจ"
สิปรางค์เอาข้าวเหนียวจิ้มแกงโฮะเข้าปากอีกครั้งตามคำยุยงของป้าฟอง วันนี้หญิงสาวเข้าร่วมวงจกข้าวเหนียวกับบรรดาป้าๆในโรงงาน คนงานในโรงงานบางกลุ่มไม่ได้เข้าไปที่โรงอาหารยามพักเที่ยง แต่พวกเขาเตรียมกับข้าวกันมาเอง แล้วมาล้อมวงกันบนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำข้างหลังโรงซ่อมบำรุง
"ผมยกให้คั่วจิ๊นส้มของลุงอินมาเป็นอันดับหนึ่ง และข้าวกั้นจิ้นของป้าต๊ะตามติดๆเป็นอันดับสอง" ณัฐหนุ่มกรุงเทพสุดหล่อประกาศอันดับในใจของเขาที่มีต่ออาหารเหนือ
"คุณณัฐบ่จอบลาบดิบของผมก่าคับ ผมว่าของผมรำสุดๆแล้วนา" มีเสียงตะโกนทักท้วงมาจากอีกวงลาบที่อยู่บนอีกแคร่นึงใกล้ๆกัน
"แล้วคุณสิปรางค์มักอะหยังที่สุดเจ้า" เสียงป้าฟองเอ่ยขึ้นบ้าง
หญิงสาวคนสวยกำลังนั่งคิดอย่างหนักหน่วง ในบรรดาอาหารเหนือทั้งหมด อันที่จริงหล่อนไม่ชอบอะไรเลย รสชาติแต่ละอย่างมันยังไงก็ไม่รู้ แต่แล้วก็นึกไปถึงอาหารอย่างหนึ่งที่ยังติดใจไม่ลืม
"เราชอบผัดผักหนาม" สิปรางค์ยังจำชื่ออาหารจานนั้นได้
"ผัดผักหนามมันก่อบ่ใจ้ของตี้เฮาจะกินกันทุกวันนาคับ ผักหนามหาบ่ได้ง่ายๆนาคับ" ลุงอินตั้งข้อสังเกต
"แต๊เจ้า ข้าเจ้าบ่หันมีขายตี้ตลาดเมินละ แต่ถ้าหัน ข้าเจ้าจะผัดมาฮื้อคุณสิปรางค์กินนะเจ้า" ป้าฟองสนับสนุนลุงอินคนงานคนเก่าแก่ของโรงงาน
"อ้าว แล้วพี่ไปกินที่ไหนมา" ณัฐถามอย่างไม่ใส่ใจ เขายังคงสาละวนกับการจิ้มข้าวเหนียวจากปิ่นโตของคนโน้นคนนี้
คนสวยอมยิ้มเมื่อนึกถึงที่ที่ได้ชิมผัดผักหนามเป็นครั้งแรก แล้วหล่อนก็เผอิญหันไปเห็นร่างสูงๆของใครคนหนึ่งจากไกลๆ เขากำลังเดินไปทางโรงอาหารพร้อมกับคณะช่างคู่ใจ หญิงสาวพยายามโบกไม้โบกมือให้เขา เป็นจังหวะที่ชายหนุ่มหันหน้ามาเห็นพอดี เขาจึงโบกมือตอบ…
วินรู้สึกแปลกใจที่เห็นสิปรางค์ไปนั่งรวมกลุ่มกับวงข้าวเหนียวมื้อเที่ยง ชุดสวยๆราคาแพงของหญิงสาวดูไม่เข้ากับแคร่ไม้ไผ่ที่หล่อนนั่งอยู่นัก แต่หลังเหตุการณ์ช่วยชีวิตป้าฟองจากการโดนไฟดูดที่ผ่านมา ชายหนุ่มสังเกตว่าความรู้สึกของผู้คนในโรงงานที่มีต่อหญิงสาวผู้มาจากสำนักงานใหญ่คนนี้ได้ค่อยๆเปลี่ยนไป เหล่าบรรดาคนงานเริ่มทักทายสิปรางค์ยามเมื่อคนสวยเดินสำรวจโรงงาน สายตาแปลกๆที่เคยจับจ้องมองหล่อนก็กลายเป็นสายตาที่เป็นมิตรมากขึ้น
มะปรางของเขาคงจะคุ้นเคยกับโรงงานของเขามากขึ้นแล้วสินะ…
สิปรางค์ได้ปรึกษาหารือกับคุณวิชิตถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น แม้หล่อนจะรู้ดีว่ายังไงโรงงานก็จะต้องถูกปิด แต่ตราบใดที่วันนี้ยังมีคนทำงานอยู่ ตราบนั้นทุกคนจะต้องทำงานอย่างปลอดภัย คุณค่าของชีวิตคนมีมากกว่าอะไร
คุณวิชิตไฟเขียวให้หลานสาวของเพื่อนรักสำรวจเรื่องของความปลอดภัยของโรงงานได้ตามที่ปรารถนา ตรงจุดไหนที่หญิงสาวเห็นว่าไม่ปลอดภัย เห็นว่าหละหลวม หล่อนสามารถจะมาขอคำปรึกษาให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ทันที สิปรางค์ทำหน้าที่นี้อย่างแข็งขัน หล่อนจบวิศวกรรมโรงงานมานี่นะ เรื่องความปลอดภัยในโรงงานเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง หญิงสาวขอความร่วมมือจากแผนกของช่างวินและแผนกของช่างวุฒิในการสำรวจสถานที่และให้คำอบรมที่จำเป็นต่างๆกับบรรดาคนงาน ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ผู้มาจากกรุงเทพสัมผัสได้ว่าพนักงานในออฟฟิศและคนงานในโรงงานที่นี่ทำงานกันอย่างมีความสุขในแบบที่หล่อนอธิบายไม่ได้ ภาพคุณวิชิตและช่างวินเดินทักทายหยอกล้อกับคนงานในโรงงานเกือบทุกวันทำให้หญิงสาวต้องยิ้มตาม ภาพคนงานในโรงงานที่สามารถสละเวลาพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ ทำให้สิปรางค์มองโรงงานเล็กๆแห่งนี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป นี่หล่อนกำลังเริ่มจะรู้สึกผูกพันกับโรงงานนี้หรือเปล่า
"อ้อ แล้วอย่าลืมที่บอกนะ อย่าไปสนิทสนมกับพวกพนักงานมากนัก เพราะเดี๋ยวเราจะพาลลำบากใจเอา"
เสียงเตือนของปกป้องยังคงดังย้ำเตือนอยู่ข้างๆหูของอยู่เสมอ หล่อนจำได้ดี ไม่เคยลืมว่าพี่ชายอยากให้ปฏฺิบัติตัวอย่างไรที่นี่
แต่หล่อนกลับทำไม่ได้…
ผู้คนที่นี่ไม่เหมือนกับที่หล่อนเคยพบมา…
ในตอนบ่ายแก่ๆวันถัดๆมา ขณะที่สิปรางค์กลับจากการพูดคุยกับฝ่ายผลิตและกำลังจะเดินเข้าอาคารสำนักงานนั้น เผอิญเป็นช่วงเวลาที่คนงานกะเช้ากำลังเลิกงานพอดี ภาพแสงแดดยามเย็นส่องที่สะท้อนใบหน้าของบรรดาป้าๆที่โผล่ยิ้มแย้มออกมาจากรถแดงนั้นเป็นภาพที่ละมุนละไมจนทำให้หญิงสาวถึงกับต้องหยุดยืนดู เหล่าคนงานกำลังพากันเดินไปขึ้นรถสองแถวที่มารอรับกลับบ้าน และหลายคนเมื่อหันมาเห็นสิปรางค์ยืนดูอยู่ ก็ต่างพากันโบกไม้โบกมือทักทายหญิงสาว รวมไปถึงลุงๆที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านต่างพากันบีบแตรเอิ้นใส่สิปรางค์เช่นกัน
เสียงคุณวิชิตดังขึ้นในหัวของหล่อน
"ผมจัดรถแดงรับส่งให้พวกแกไปถึงคิวต่อรถกลับอำเภอล่ะครับ ไม่งั้นหลายคนจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาไกลเกินไป"
เงินที่บริษัทของพี่ชายหล่อนต้องเสียไปกับสวัสดิการเล็กๆน้อยๆของคนงานตามนโยบายของคุณวิชิตนั้น รวมๆกันเข้ามันก็ลดทอนกำไรของบริษัทลงไปเรื่อยๆ
"เฮ้อ…" อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจอีกครั้ง รู้สึกสะท้อนในอก คำว่ากำไรมันสำคัญสำหรับคนบางคน แต่อาจไม่สำคัญสำหรับใครๆอีกหลายคน
แต่หญิงสาวก็พยายามปัดความคิดนั้นออกไปจากในหัว หล่อนยิ้มร่าโบกมือตอบกลับทุกๆคน และไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือลาคำตั๋นซึ่งกำลังขี่จักรยานจะกลับบ้านด้วย ซึ่งคุณวิชิตได้จัดยามหนุ่มมาเฝ้าเวรยามแทนสำหรับกะกลางคืน
ต้องใจแข็งเข้าไว้นะสิปรางค์ ทำหน้าที่ให้เสร็จ จบแล้วก็กลับกรุงเทพ
หล่อนย้ำเตือนกับตนเองเป็นรอบที่ร้อย และในขณะที่สิปรางค์หันหลังกลับเพื่อจะเดินกลับเข้าอาคารสำนักงานนั้น หล่อนก็สวนกับหนุ่มเติ้ดผู้อยู่แผนกเทคโนโลยีการสื่อสารของโรงงาน
"อ้าว จะกลับแล้วหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยทักทาย หล่อนไม่ค่อยจะเห็นหน้าเห็นตาพนักงานคนนี้นักแม้จะทำงานอยู่บนชั้นสองของอาคารสำนักงานเหมือนกัน เติ้ดมักจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานของตนเอง ไม่ค่อยได้ออกมาพูดคุยที่ห้องกาแฟ
"เอ่อ ยังครับ" ชายหนุ่มตอบตะกุกตะกักเป็นนิสัย "คือผม ผมกำลังจะไปสนามบอลครับ" เติ้ดชี้มือไปทางสนามบอลด้านหลังของโรงงาน
"อ้าว แล้วไม่เปลี่ยนเป็นชุดเตะบอลหรือคะ" หล่อนเห็นเติ้ดยังอยู่ในชุดทำงานของที่นี่ซึ่งเป็นเสื้อยืดกางเกงยีน
"คือผม ผม ผมไปดูเฉยๆน่ะครับ"
"อ๋อ ค่ะ งั้นตามสบายค่ะ เจอกันพรุ่งนี้นะคะ" แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นเข้าประตูสำนักงานไป
อาการแปลกๆของเติ้ดไม่ทำให้สิปรางค์ข้องใจอะไร เป็นธรรมดาของพวกทำงานแผนกไอทีที่จะชอบทำท่าลับลมคมในอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว…
หนุ่มไอทีคนนี้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินของโรงงานนี้มาตลอด เขายืนดูกลุ่มของช่างวินเตะบอลกันอย่างสนุกสนาน เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของทีม แต่ก็ไม่กล้าจะเดินเข้าไปขอ และก็ไม่เคยมีใครมาชวนเขาเล่นบอล เติ้ดใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนั่งทำงานคนเดียวในห้องทำงานเล็กๆที่เป็นอาณาจักรส่วนตัวของเขา ห้องของเขาอยู่ปลายสุดของชั้นสำนักงาน เป็นทั้งห้องทำงาน และห้องเก็บอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอุปกรณ์ของสำนักงานทุกชนิดด้วย พวกสาวๆจะแวะเวียนไปที่ห้องนั้นก็ต่อเมื่อต้องการถ่ายเอกสาร หรือไม่ก็เมื่อมีปัญหาทางคอมพิวเตอร์เท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครสนใจจะพูดคุยกับเขา และเขายังมักจะลงไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารคนเดียว โดยเลือกเวลาที่โรงอาหารใกล้จะปิด เพราะจะได้ไม่ต้องเผชิญกับสายตาใคร
"ไม่เข้าไปร่วมวงกับเค้าล่ะ" เติ้ดได้ยินเสียงจากนายช่างหัวหน้าฝ่ายผลิตทักมาจากข้างตัวเขา
ช่างวุฒิมายืนข้างเขานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย ทำไมเขาไม่ทันสังเกตเลย
"อ้าว ช่างวุฒิ" ชายหนุ่มประหลาดใจที่อยู่ๆช่างวุฒิก็มาทักทายเขา ปกติแล้วพวกนายช่างก็ไม่มีใครมายุ่งกับเขา ยกเว้นแต่จะมีปัญหาทางด้านไอทีมาให้เขาช่วยเหลือเท่านั้น
"ผมเล่นไม่เก่ง ไม่อยากเป็นตัวถ่วงเค้า" เติ้ดตอบไปด้วยความรู้สึกน้อยใจ
"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ แค่ซ้อมกันเล่นๆ" วุฒิชัยปลอบใจ"อยากเล่นป่าวล่ะ ชุดนี้ก็ได้"
เติ้ดมองวิศวกรหนุ่มตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ช่างวุฒิพูดจริงหรือ เขาเข้าเล่นบอลกับพวกช่างและคนงานคนอื่นๆได้จริงหรือ
"เฮ้ย ขอเล่นด้วยอีกสองคน"
นายช่างใหญ่ตะโกนเข้าไปในสนาม ทีมฟุตบอลหยุดชะงักและหันมามองอย่างงงๆ และโดยไม่รอคำตอบวุฒิชัยก็วิ่งนำหน้าหนุ่มไอทีเข้าไปในสนาม
"เติ้ด เข้ามาสิ" เขาหันมาเรียกหนุ่มเติ้ดซึ่งกำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้นในเข้าไปในสนามด้วย
หนุ่มไอทีลังเลรีรออยู่ชั่วอึดใจ แต่ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เขาก็ต้องฉวยไว้ รู้สึกขอบคุณวุฒิชัยเป็นอย่างมากที่นำเขาเข้าไปหาคนอื่นๆได้…
"คุณน้องปัณณ์ครับ อันเรื่องความรักนี้ ถามพี่อู๊ดได้ครับ"
ขณะนี้ทุกคนในแผนกก็ได้รับรู้กันแล้วว่า ในหัวใจของหนุ่มน้อยปัณณ์นั้นมีแต่น้องเอื้องคำอยู่เต็มทั้งสี่ห้อง เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของหนุ่มน้อย ทางทีมงานจึงอดรนทนไม่ได้ ต้องใช้เวลาระหว่างทำความสะอาดเครื่องจักรปรึกษาหารือกันถึงวิธีจีบสาวน้อยคนน่ารักคนนั้น
"การจีบผู้หญิงนั้น มันไม่ยากครับผม อ้ายอู๊ดจะสรุปให้เป็นข้อๆได้ดังนี้นะครับ"
หนุ่มปัณณ์ทำท่าฟังรุ่นพี่ในแผนกผู้ช่ำชองเรื่องความรักอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้วินและโต้งซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการซ่อมเครื่องจักรต้องหันมาฟังอย่างสนใจบ้าง
"ข้อหนึ่ง ผู้หญิงน่ะเค้าชอบขนมนะคร้าบ หมั่นเอาไปให้เค้าบ่อยๆครับคุณน้องปัณณ์ เค้าก็จะรู้สึกว่า เราน่ารักอบอุ่น" ช่างอู๊ดพูดจาฉะฉานสมกับเป็นกูรูด้านความรัก ตัวช่างไฟฟ้าคนนี้เองก็ซื้อขนมไปให้ราณีประชาสัมพันธ์สาวคนสวยทุกวันในตอนเช้า แต่เขาหารู้ไม่ว่า เมื่อสาวราณีได้ขนมจากเขาไปแล้ว หล่อนก็เอาไปแจกจ่ายให้หนุ่มๆคนอื่นต่อไป
ปัณณ์นึกไปถึงสิ่งที่ตนเองเคยทำมา เขาแวะซื้อขนมมาฝากน้องเอื้องคำบ่อยๆ นำมาซึ่งความซาบซึ้งใจมาสู่สาวยน้อยเป็นอย่างมาก หล่อนเอาขนมกลับไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านเป็นอย่างดี
"ข้อสอง ผู้หญิงน่ะเค้าชอบคนตลกนะคร้าบ"
ช่างอู๊ดมักจะหาโอกาสปล่อยมุกสามบาทห้าบาทใส่สาวสวยอยู่เสมอๆเมื่อได้มีโอกาสเฉียดกรายไปแถวๆสำนักงาน นายช่างวัยกลางคนมักจะปล่อยมุกเองแล้วก็หัวเราะเอง หารู้ไม่ว่าตัวของราณีเองก็แอบมองบน เบ้ปากทุกครั้ง
ในขณะที่ปัณณ์พูดอะไรไปนิดหน่อย น้องเอื้องก็เอาแต่ขำแล้ว โดยที่หนุ่มน้อยไม่ต้องพยายามอะไรมากมาย
"ข้อสาม ถ้าผู้หญิงเค้าชอบเรา เค้าก็จะพูดหวานๆใส่เราครับผม"
ความเป็นจริงแล้วราณีพูดหวานหัวร่อต่อกระซิกกับหนุ่มๆทุกคน ส่วนน้องเอื้องคำยอมพูดคุยกับปัณณ์เพียงแค่คนเดียว สาวน้อยจะออกอาการหัวเสียทุกครั้งเวลาที่มีคนงานชายคนอื่นๆมาแซวหรือมาพยายามชวนหล่อนคุย
"ผมทึ่งพี่มากมากเลย พี่ช่างอู๊ด นอกจากจะเป็นกูรูด้านไฟฟ้าแล้ว ผมยกให้เป็นกูรูด้านความรักของโรงงานนี้อีกด้วยเลยละกัน"
ปัณณ์บอกกับนายช่างวัยกลางคนอย่างทึ่งๆ คำแนะนำของนายช่างรุ่นใหญ่นั้นที่ผ่านมาเขาได้ทำมาหมดแล้ว และมันก็ทำให้เขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับสาวน้อยมากขึ้น เขามักจะหาเวลาตอนพักเที่ยงแวะไปคุยกับเอื้องคำอยู่บ่อยๆ
"โอ๊ะ คุณน้องครับ เรื่องแบบนี้มันก็ต้องเข้าปรึกษาให้ถูกคนครับ" นายช่างไฟฟ้าของโรงงานมองปัณณ์ด้วยสายตาเอ็นดู พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆก่อนจะพูดต่อ
"จะไปปรึกษาไอ่โต้ง หรือช่างวิน ก็เห็นจะไม่ได้เรื่อง สองคนนั้นเขาอ่อนประสบการณ์ แถมหน้าตาก็งั้นๆ ผู้หญิงไม่น่าจะสนใจ"
และสายตาที่หนุ่มน้อยฝึกงานมองดูช่างรุ่นใหญ่อย่างเขาด้วยความชื่นชมนั้น มันทำให้ช่างอู๊ดปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
เฮ้อ เด็กๆสมัยนี้มันจะมาสู้เฮาได้จะได ว่าแล้วก็คิดเติงหาน้องเบลล่า
นายช่างรุ่นใหญ่ปรากฏกายที่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน เพราะหลังจากที่คุยกับน้องปัณณ์แล้ว เขาก็เกิดความรู้สึกคิดถึงราณีจับใจ
แต่ภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้าก็คือ คุณณัฐกำลังยืนคุยอยู่กับหวานใจของเขา ท่าทางสนิทสนมที่ทั้งสองมีให้กันนั้น ทำเอาช่างอู๊ดถึงกับหน้าร้อนขึ้นมา แม้เวลาราณีคุยกับเขา หล่อนจะอ่อนหวานและน่ารัก แต่หล่อนก็ไม่เคยปล่อยให้เขาเข้าประชิดตัวเหมือนกับที่คุณคนจากกรุงเทพทำอยู่ขณะนี้ เมื่อก่อนเขาคิดว่าจะมีแต่วุฒิชัยเท่านั้นที่เป็นคู่แข่ง มาตอนนี้มีคุณณัฐอีกคน ทำเอาช่างอู๊ดจิตใจร้อนรุ่ม เขาจะเอาชนะใจสาวสวยคนนี้อย่างไรดี
"อ้าว ช่างอู๊ด" ณัฐหันมาเห็นเขาพอดี "ผมว่าจะไปถามเรื่องเอกสารเพิ่มเติมหน่อยครับ"
แล้วชายหนุ่มก็ผละจากราณีแล้วเดินตรงเข้ามาหาเขาผู้ซึ่งจะเข้ามาถึง
"เดี๋ยวช่างอู๊ดเสร็จธุระแล้วตามขึ้นไปหาผมที่โต๊ะด้วยนะครับ" ณัฐบอกกับเขาแล้วหันไปที่ราณี "ผมไปก่อนนะครับ"
ราณีส่งยิ้มหวานให้กับณัฐเป็นคำตอบ
ในเมื่อยามเผชิญหน้ากันสามคนแบบนี้ ช่างอู๊ดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยของเขา เขาเป็นเพียงช่างไฟฟ้าธรรมดาๆในโรงงานแห่งนี้ ไม่มีอะไรที่จะเทียบหนุ่มหล่อจากกรุงเทพคนนี้ได้เลย นายช่างมองไปที่สาวเบลล่าของเขา ก็เห็นหล่อนกำลังมองตามหลังชายหนุ่มไป โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาอีก ช่างอู๊ดจึงเปลี่ยนใจที่จะเข้าไปคุยกับหล่อน และเลือกที่จะเดินตามณัฐขึ้นไปที่ออฟฟิศแทน…
หลายวันมาแล้วที่วุฒิชัยรู้สึกหงุดหงิดใจขณะไปทำงานที่โรงงาน เขายังหาคำตอบเกี่ยวกับการมาของหญิงสาวจากสำนักงานใหญ่ไม่ได้ ชายหนุ่มไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องปกติ ที่อยู่ๆสิปรางค์ก็มาถามหาเอกสารหลายอย่างอย่างละเอียดจากทุกๆแผนก ตั้งแต่เขาทำงานที่โรงงานนี้มาก็หลายปี เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
วันนี้หลังเลิกงานเขาจึงต้องการหาวิธีผ่อนคลายบ้าง สนามไดรฟ์กอล์ฟแห่งนี้ก็เป็นที่หนึ่งที่วิศวกรใหญ่อย่างเขาแวะเวียนมาอยู่เสมอยามเย็น และในขณะที่ชายหนุ่มเดินกำลังหาเรนจ์ที่ต้องการนั้น เขาก็เห็นร่างนึงคุ้นๆจากด้านหลัง
นั่นคุณสิปรางค์นี่นา เล่นกอล์ฟกะเค้าด้วยเหรอวะ กำลังเบื่อหน้าอยู่ก็ดันมาเจอที่นี่อีก
เขาไม่คิดว่าจะเจอหญิงสาวตัวปัญหาของความกลุ้มใจของเขาเข้าที่นี่
เอ หรือเข้าไปทักทายหน่อยดีกว่า เผื่อแกจะหลุดบอกอะไรเรามาบ้าง
หากแต่ขณะที่วุฒิชัยกำลังจะเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของสิปรางค์ก็ดังขึ้น วิศวกรหนุ่มจึงหยุดชะงักรีรออยู่ แล้วเขาก็ได้ยินสิปรางค์พูดขึ้น
"ฮัลโหล หวัดดีค่าพี่ป้อง ปรางมาไดรฟ์กอล์ฟอยู่ค่า"
วุฒิชัยแอบเข้าเสากำแพงข้างหน้าไม่ไกลจากหญิงสาวนัก เขากำลังตั้งใจฟัง
"อ๋อ เรื่องโรงงานเหรอคะ ก็คืบหน้าไปพอสมควรแล้วค่า"
เรื่องโรงงานหรือ หมายถึงโรงงานของเราหรือเปล่า
หัวหน้าช่างฝ่ายผลิตเหลียวซ้ายแลขวา ขยับหมวกแก๊ปให้ปิดบังใบหน้ามากขึ้น คุณสิปรางค์ยังไม่น่าจะสังเกตเห็นเขา ยังคงพูดต่อเรื่อยๆ
"งานก็เยอะกว่าที่คิดค่ะ วันนี้เลยเครียดๆ เลยต้องขอแวบออกมาไดรฟ์แป๊บนึงค่ะ"
สิปรางค์แนบหูโทรศัพท์ไว้กับไหล่ พลางถอดถุงมือกอล์ฟออก เอาไม้กอล์ฟไปวางพิงไว้ที่เก้าอี้นั่งข้างๆนั้น แล้วหญิงสาวก็เดินออกด้านข้างสนามไป
วุฒิชัยรีบเดินตามหญิงสาวออกไป หล่อนยังคงมองไม่เห็นเขา แล้วหล่อนเดินไปหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณข้างๆลานจอดรถ วิศวกรหนุ่มหยุดแอบอยู่ที่มุมตึก เขาเว้นระยะห่างจากสิปรางค์พอประมาณ แล้วแสร้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังตั้งใจส่งข้อความ
"ต้องใช้เวลาหน่อยค่ะพี่ป้อง กำลังรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดน่ะค่ะ"
สิปรางค์ยังคงพูดต่อเรื่อยๆ บวกกับหยุดฟังทางโน้นเป็นพักๆ
"ปัญหาเหรอคะ ก็น่าจะเป็นเรื่องข้อมูลที่จัดเก็บไม่ค่อยเป็นระเบียบนี่ล่ะค่ะ แต่พี่ป้องไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ จะรีบปิดจ๊อบตามที่วางแผนไว้ค่ะ"
ปิดจ๊อบหรือ ปิดจ๊อบอะไรกัน
ชายหนุ่มผู้กำลังแอบฟังอยู่รู้สึกคลางแคลงใจกับสิ่งที่ได้ยินมากขึ้น คุณสิปรางค์มาทำอะไรที่โรงงานนี้กันแน่ วุฒิชัยพยายามจะเข้าไปฟังใกล้ๆหญิงสาวมากกว่านี้ เผื่อจะได้ยินข้อมูลอะไรมากขึ้น
"ฮัลโหล ฮัลโหล พี่ป้องได้ยินปรางมั้ยคะ ปรางไม่ได้ยินพี่ป้องเลยค่ะ เสียงขาดๆหายๆ"
แต่ดูเหมือนสัญญาณโทรศัพท์ของทางโน้นจะมีปัญหา
"โอเคค่ะ พี่ป้องขับรถต่อเถอะค่ะ แล้วค่อยคุยกันนะคะ"
สิปรางค์กดปิดโทรศัพท์และหันหลังกลับมา วุฒิชัยรีบหันหลังให้หล่อน ขยับหมวกแก๊ปให้ปิดใบหน้ามากขึ้น และทำเหมือนประหนึ่งว่ากำลังโทรศัพท์อยู่วุ่นวาย หญิงสาวจึงเดินกลับเข้าไปที่ไดรฟ์วิ่งเรนจ์ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นชายหนุ่มเลย…
สิ่งที่วุฒิชัยได้ยินมานั้นทำเอาเขาต้องมาขบคิดต่อในยามค่ำคืนนั้น
"เป็นไรครับพี่ วันนี้ดูพี่ใจลอยจังเลย" บอลหนุ่มน้อยคู่ขาตัดพ้อพลางลูบไล้มือไปบนแผ่นหลังอันเปลือยเปล่าของวิศวกรหนุ่ม
คนร่างกำยำนอนคว่ำหน้าอยู่บนหมอน คำพูดของสิปรางค์ยังคงติดอยู่ในหัวสมองเขา มันเป็นเรื่องอะไรกันนะ จะเป็นเรื่องตลาดใหม่ๆสำหรับเมล็ดกาแฟ หรือเป็นเรื่องซื้อเครื่องจักรใหม่หรือเปล่า แต่ถ้างั้นเขาก็ต้องรู้ คุณวิชิตต้องแจ้งให้เขาได้รับรู้ได้ตัดสินใจด้วยสิ หรือจะเป็นเรื่องโยกย้ายตำแหน่งใหม่ อาจจะมีคนจากกรุงเทพมาแทนคุณวิชิตก็เป็นได้
โอ๊ย ปวดหัวเว้ย
"พี่ดูเครียดๆนะครับ ผมทำอะไรให้ไม่ถูกใจหรือเปล่า" หนุ่มน้อยข้างๆกายเขาพยายามฉอเลาะ
"เรื่องงานน่ะ ไม่เกี่ยวกับบอลหรอก" วุฒิชัยหันไปขยี้หัวเด็กหนุ่มเล่น บอลเป็นหนึ่งในหนุ่มน้อยที่ถูกใจเขายิ่งนัก
"พี่วุฒิน่ะคิดถึงเรื่องงานตลอดเลย ได้เป็นใหญ่ที่สุดในฝ่ายผลิตแล้วยังไม่พอใจอีกหรือครับนี่"
บอลรู้เรื่องราวของเขาไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีบอลแค่คนเดียว แต่หลังๆมานี้เขาก็ใช้เวลาอยู่กับบอลมากที่สุดแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ฉลาด วุฒิชัยจึงมักเล่าเรื่องราวต่างๆให้คู่ขาคนนี้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
วิศวกรใหญ่ของโรงงานคนนี้เป็นคนทะเยอทะยาน เขาเป็นหนุ่มจากกรุงเทพที่เผอิญมาเอ็นทรานซ์ติดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชายหนุ่มมาจากชนชั้นกลางทั่วไปที่ใช้การศึกษาเป็นตัวไต่เต้าอนาคต และหลังเรียนจบด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม พ่อกับแม่ได้พยายามรบเร้าให้ลูกชายคนเดียวกลับกรุงเทพเพื่อไปเข้าทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ แต่เขากลับเลือกที่จะมาอยู่โรงงานเล็กๆแห่งนี้แทน ชายหนุ่มคิดว่าการเป็นหัวหมาย่อมดีกว่าการเป็นหางสิงห์แน่ๆ
เขาเข้าเป็นวิศวกรคนเดียวของโรงงานนี้ตั้งแต่เรียนจบ ทำงานอยู่ที่นี่มานานจนได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต แม้เงินเดือนที่นี่จะไม่มากมายเหมือนกับโรงงานใหญ่ๆในกรุงเทพ แต่ด้วยค่าครองชีพของเชียงใหม่ที่ยังคงย่อมเยากว่าทำให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย และเมื่อเทียบระยะเวลาไม่นานที่เขาใช้เพื่อไต่เต้ามาเป็นระดับหัวหน้าใหญ่แล้ว นับว่าชีวิตการเป็นวิศวกรของเขาประสบผลสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่การมาของหญิงสาวจากสำนักใหญ่ในคราวนี้ วุฒิชัยไม่แน่ใจว่ามันจะสั่นคลอนความมั่นคงในอาชีพการงานของเขาหรือไม่ หรือทางกรุงเทพมีแผนจะส่งวิศวกรคนอื่นๆมาควบคุมเขาอีกที
เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าจุดประสงค์การมาของคุณสิปรางค์ในครั้งนี้คืออะไร…