ตอนที่ 16 ความคับข้องใจที่ไม่สามารถระบายออกมาได้
จินฟู้กุ้ยนำแท่งยาสูบยัดบนเข็มขัดแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อภรรยาหลินเฟิงก็ได้แสดงความคิดเห็นออกมาแล้ว หลินเฟิง พรุ่งนี้เจ้าก็ไปถามไถ่หลี่ซิ่วฉายดู หากทางด้านหลี่ซิ่วฉายไม่ขัดข้อง เรื่องนี้ก็เป็นอันว่ายังเปลี่ยนแปลงได้ ต่อให้จางต้าฮู่ดื้อดึงเอาแต่ใจอย่างไร ก็มิอาจละเมิด ‘เหตุผล’ นี้ไปได้ เพียงแค่ทุกคนจะต้องสงบปากสงบคำไว้ให้ดี อย่าได้หลุดปากออกไป แล้วทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้นอย่าโทษข้าที่ต้องลงโทษตามกฎระเบียบของหมู่บ้าน ใครก็ตามที่จงใจทำลายความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้าน ทำให้หมู่บ้านเจี้ยนซีไม่สงบสุข จะต้องถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน” เมื่อเอ่ยถึงประโยคนี้ จินฟู้กุ้ยก็จ้องมองไปยังเหยาจินฮวาด้วยแววตาจริงจัง
แน่นอนว่าเหยาจินฮวาเข้าใจเป็นอย่างดี ประโยคนี้เป็นคำพูดที่หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยให้นางฟังโดยเฉพาะ ในใจแม้ทำเป็นไม่สนใจ ทว่าว่ากลับรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ขณะนั้นเองจึงหลีกเลี่ยงสายตาคมของหัวหน้าหมู่บ้าน โดยการก้มหน้าก้มตาลงไปพร้อมอารมณ์โกรธเคือง
“เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อน แล้วรอฟังข่าวจากหลินเฟิงในวันพรุ่งนี้” จินฟู้กุ้ยลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยชักชวนเฉินเหลียงและเหยาฮุยสองพี่น้องคนสนิท ออกจากบ้านครอบครัวหลินไปพร้อมกัน
หลินเฟิงรับหน้าที่ออกไปส่ง ภายในห้องจึงเหลือเพียงหลินหลันและเหยาจินฮวา
เหยาจินฮวาหรี่ตามอง เอ่ยอย่างถากถาง “น้องสะใภ้นับว่ามีความสามารถเสียจริง ไม่หือไม่อือก็ชักจูงหลี่ซิ่วฉายให้มาสมรู้ร่วมคิดจนได้”
เหยาจินฮวาจงใจใช้คำว่า “ชักจูงให้มาสมรู้ร่วมคิด” เน้นหนักลงไป
หลินหลันไม่แม้แต่จะมองไปที่นาง หันไปเก็บแก้วน้ำชา พลางเอ่ยไปด้วย “ความสามารถข้าหรือจะสู้พี่สะใภ้ได้ ทำให้โผโผ่ะโกรธจนขาดใจตาย ขายน้องสะใภ้ อีกทั้งยังตะล่อมให้สามีคล้อยตามไปด้วย นี่จะต้องมีความหนาของหน้า ความดำของจิตใจ และความไร้ยางอายมากขนาดไหนเชียวจึงสามารถทำได้ลงคอ! พอมองไปรอบๆ เขตเมืองเฟิงอานนี้แล้ว เจ้าก็นับว่าเป็นบุคคลอันดับต้นๆ เหมือนกันนะ”
เหยาจินฮวาโกรธจนปากสั่น วันนี้นางโมโหมากเกินพอแล้ว เงินก็ไม่อยู่ในมือแล้ว ทั้งยังถูกหัวหน้าหมู่บ้านสั่งสอนอีก ทำให้นางหมดความเป็นผู้เป็นคน หลินหลันยังกล้าดีใช้คำพูดทำร้ายนางอีก เหยาจินฮวาพุ่งเข้าไปจ้องหลินหลัน คว้าเอาถ้วยในมือของหลินหลัน และโยนมันออกไปโดยไม่คำนึงถึงทิศทาง ได้ยินเพียงเสียงดัง ‘เพล้ง’ ที่คมชัด
“หลินหลัน เจ้ากล้ามองข้ามความเป็นพี่สะใภ้ของข้า?” ความโกรธของเหยาจินฮวากำลังพวยพุ่ง
หลินหลันไม่แม้แต่จะกะพริบตา แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หลินหลันนับถือเพียงแค่ผู้ที่ควรค่าแก่การนับถือ แต่กับคนที่ไม่มีความจริงใจ จิตใจเลวร้ายต่ำทรามเหล่านั้น ควรจะยินดีด้วยซ้ำที่ข้าหลินหลันผู้นี้เลือกที่จะมองข้ามไป หากว่าข้าเกิดเก็บเอามาใส่ใจ ข้าคงได้สั่งสอนให้นางรู้สึกเสียใจที่เกิดมาบนโลกแห่งนี้”
น้ำเสียงของหลินหลันไม่สนใจใยดี และเผยสายตาไร้ซึ่งการแยแส แสดงถึงพลังอำนาจที่ไม่ปล่อยให้ใครละลานได้ง่ายดาย เหยาจินฮวารู้สึกเสียวสันหลังวูบ เหตุไฉนหลินหลันจึงไม่เหมือนกับผู้เป็นพี่ชายของนางเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่เหมือนแม่ของนางด้วย ปากคอเราะร้ายอีกทั้งมีกลยุทธ์ที่แยบยลเสียขนาดนั้น สามปีมานี้ เผชิญหน้ากันนับไม่ถ้วนล้วนไม่เคยเอาชนะได้เสี้ยวหนึ่งของนางเลย หลินหลันคือหนามยอกอกในสายตาของเหยาจินฮวา ตราบใดที่ยังไม่ขจัดออกไป นางก็ไม่มีวันสงบสุขได้
ครั้งนี้เดิมทีถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างมาก ทั้งสามารถขจัดหลินหลันออกไปและยังได้รับเงินก้อนใหญ่ เปรียบเทียบได้กับเป็นขนมที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า น่าเสียดายที่ว่านางยังไม่ทันได้ลิ้มขนมชิ้นนั้น ทว่ามันก็กลายเป็นก้อนหินที่ทั้งเหม็นทั้งแข็งก้อนหนึ่งไปเสียแล้ว น่าผิดหวังและเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ทำให้เหยาจินฮวายิ่งตัดสินใจแน่วแน่มากขึ้น ว่าจะต้องทำเรื่องนี้ให้ลุล่วงไปให้ได้
หลินเฟิงกลับเข้ามา ทันทีที่ก้าวผ่านประตู “โอ้ย...” เสียงร้องดังขึ้น กอดเท้ากระโดดโหยงขึ้นมา ที่แท้ก็เหยียบลงไปโดนแก้วซึ่งถูกเหยาจินฮวาเขวี้ยงแตก ทำให้เท้าบาดเจ็บเสียแล้ว
“เกอ รีบยืนนิ่งๆ ไว้ก่อน บนพื้นยังมีเศษกระเบื้องอยู่อีก” หลินหลันร้อนรนเอ่ยเตือน
เหยาจินฮวามองเห็นหลินเฟิงที่กำลังจับเท้าเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด จึงรีบเอ่ยขึ้น “ทำไมเจ้าถึงได้เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ รีบนั่งลงก่อนแล้วให้ข้าดูสิแผลว่าร้ายแรงหรือไม่”
หลินหลันรีบนำไม้กวาดและที่ตักขยะมาทำความสะอาดเศษกระเบื้องที่แตกเกลื่อนบนพื้น ทางด้านหลินเฟิงถอดรองเท้าออกและบนฝ่าเท้าของเขากำลังเลือดไหล ทว่าเหยาจินฮวากลับถือรองเท้าเอาไว้และพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ “พื้นรองเท้านี่ขาดทะลุหมดแล้ว”
หลินหลันโมโหขึ้นมาอีกระลอก “สรุปแล้วรองเท้าสำคัญหรือเท้าของพี่ชายข้าสำคัญกันแน่ รองเท้าขาดๆ ที่เจ้าทำโดยใช้วัสดุไม่เหมาะสม ที่จริงควรโยนทิ้งไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ”
เหยาจินฮวาหันหน้าไปจ้องหลินหลันด้วยความโกรธ “เจ้าทำเป็นพูดดี หากเจ้าทำได้แล้วไฉนถึงไม่ทำให้พี่ชายของเจ้าซักคู่หนึ่งล่ะ”
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว รองเท้านี่ปะรอยเสียหน่อยก็ยังใส่ได้อยู่” หลินเฟิงรีบเอ่ยขึ้นเพื่อยุติการโต้แย้ง
เกอก็เป็นเสมือนล้อรถที่ลมรั่ว จะออกแรงเติมลมเข้าไปเพียงใดก็ยังแบน ตามคำกล่าวที่ว่าไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้ที่เหมือนหมาป่า จะกลัวก็แต่เพื่อนร่วมทีมเหมือนหมู หลินหลันอยากทำเป็นไม่สนใจใยดี แต่เมื่อเห็นเลือดสีสดกำลังไหลออกมาจากเท้าของผู้เป็นพี่ชาย หลินหลันก็มักทำไม่ลง จึงเข้าไปในห้องเพื่อหยิบยาทาห้ามเลือดออกมาให้พี่ชาย “ทาอันนี้ลงไป สองสามวันนี้อย่าให้โดนน้ำ”
หลินเฟิงส่งเสียงร้องโอ้ยขึ้นมา ขณะทายาลงบนปากแผลและพลางเอ่ยถามขึ้นด้วย “เหม่ยจื่อ เจ้าวางแผนจะแต่งงานกับหลี่ซิ่วฉายจริงหรือ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “แล้วข้ายังมีทางเลือกอื่นอีกไหม”
หลินเฟิงแทบสำลัก เงียบไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ไม่ดีเอง พี่มันไม่ได้เรื่อง”
เหยาจินฮวารู้สึกไม่พึงพอใจอีกต่อไป หยิกลงไปที่ขาของหลินเฟิงอย่างแรง จนหลินเฟิงต้องสูดหายใจเข้าออกด้วยความเจ็บปวด
“อะไรที่เรียกว่าไม่มีทางเลือกอื่น แต่งงานกับจางต้าฮู่ไม่ดีตรงไหนงั้นหรือ ชีวิตก็จะไม่ต้องอดๆ อยากๆ มีแต่ความมั่งคั่งสุขสบาย มีที่ไหนกันคนกับเงินจะไปกันไม่รอด?” เหยาจินฮวาเอ่ย ขณะเดียวกันก็ขยิบตาใส่หลินเฟิง
หลินเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างจำใจ “ที่พี่สะใภ้เจ้าพูดก็ถูก!”
เหยาจินฮวายังคงเอ่ยต่ออีก “หลี่ซิ่วฉายผู้นั้นยากจนเสียยิ่งกว่าอะไร ลำพังเขาต้องเลี้ยงชีวิตตัวเองก็ยังเป็นปัญหา วันดีคืนดีไปกันไม่รอด ไม่แน่ว่าอาจจะนำเจ้าไปจำนองก็เป็นได้”
เหยาจินฮวาเอ่ยและจ้องเขม็งไปยังหลินเฟิงอีกครั้ง
หลินเฟิงเอ่ยออกมาเบาๆ “พี่สะใภ้เจ้าพูดถูก!”
“หลินหลันอ่า...ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ตำหนิเจ้า นิสัยดื้อรั้นของเจ้านั้นจำเป็นต้องแก้ไขเสีย การรู้จักแต่ทำตามใจตนเอง โดยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี ภายภาคหน้าจะเป็นเจ้าที่เสียใจ”
หลินหลันขี้เกียจฟังนางพูดเพ้อเจ้อ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากมองดูสีหน้าผู้เป็นพี่ชายที่กำลังยิ้มได้น่าเกลียดกว่าร้องไห้ออกมาเสียอีก จึงหันหลังแล้วเข้าห้องไป ตามด้วยเอื้อมมือดึงประตูปิดอย่างแรง
เหยาจินฮวาได้แต่มองด้วยอารมณ์โกรธอย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วเอ่ยบ่นขึ้น “เจ้าดู เจ้าดูสิ...นี่นางแสดงท่าทีอะไรกัน มีหัวหน้าหมู่บ้านคอยให้ท้าย แม้กระทั่งพี่ชายพี่สะใภ้นางก็ไม่ให้ความสำคัญอีกแล้ว”
หลินเฟิงเห็นผู้เป็นน้องสาวโมโหเดินจากไป รู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์สิ้นดี ได้แต่เอ่ยออกไปอย่างไม่สบายใจ “เจ้าก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ! เหม่ยจื่อในใจกำลังไม่มีความสุข”
“นางไม่มีความสุข? ข้าสิที่ไม่มีความสุข? ลูกของข้าก็ไม่มีความสุข เจ้าก็อย่าคิดที่จะได้มีความสุข” เหยาจินฮวาสบทออกมาด้วยความโกรธ แล้วโยนรองเท้าใส่หลินเฟิง ตามด้วยหยิกเข้าไปที่เอวของเขาหมุนเป็นวงกลมลากกลับเข้าไปในห้อง
หลินเฟิงถือรองเท้าเอาไว้ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย...
หลินหลันนอนอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ ที่ส่งดังเอี๊ยดอ๊าดขณะพลิกตัวไปมา ท่ามกลางอารมณ์ที่ยากจะสงบลงได้
คนอย่างจางต้าฮู่ หากนางแต่งงานแล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ ไหม น่าจะเป็นไปไม่ได้ จางต้าฮู่มักกระทำตามอำเภอใจและทำในสิ่งที่ไม่ดี มีครั้งไหนกันที่กระทำโดยยึดหลักการและเหตุผล หากว่าจางต้าฮู่แสดงท่าที่แข็งกร้าว บรรดาหัวหน้าหมู่บ้านจะยังยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่ไหม
แล้วก็ สรุปแล้วหลี่ซิ่วฉายกับตระกูลเยี่ยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร เพียงแค่เพราะว่าตระกูลเยี่ยเคยเชิญให้เขาไปเป็นครูประจำตระกูลเช่นนั้นหรอกหรือ หากว่าหลี่ซิ่วฉายสามารถติดต่อประสานกับทางตระกูลเยี่ยให้ออกรับหน้าเจรจาให้ได้จริงๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มีความหวังขึ้นมาแล้ว ประเด็นสำคัญก็ยังต้องรอดูว่าตระกูลเยี่ยจะสามารถช่วยอะไรได้ถึงขึ้นไหน สามารถออกแรงได้ซักเท่าไหร่...แล้วก็ดูสหายของหลี่ซิ่วฉายซึ่งดูค่อนข้างมีภูมิอยู่เล็กน้อยผู้นั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอกพื้นที่ มันคงเป็นเรื่องยากที่มังกรแข็งแกร่งจะเอาชนะงูประจำท้องถิ่นได้ ต่อให้หน้าน้ำแข็งก้อนผู้นั้นจะมีฝีมือการต่อสู้เพียงใด มือคู่เดียวจะไปต่อคนสู้หมู่มากได้อย่างไรล่ะ! ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีหวังเอาเสียเลย
จริงสิ จดหมายนั่น...
หลินหลันหยิบจดหมายออกมาจากอ้อมแขน บนจดหมายมีตัวอักษรว่า ‘เยี่ยเหล่าผู้เปิดผนึกซองจดหมายแต่เพียงผู้เดียว’ ลายเส้นปากกาอักษรกลมและความยาวเส้นขีดตัดกันอย่างละเอียด สละสลวยงดงาม แฝงเอาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของนิสัยและอารมณ์...ในชีวิตก่อนหน้านี้เมื่อหลินหลันจับปากกาก็เริ่มจากฝึกฝนตัวอักษรพู่กัน ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยซักวันเดียว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทำได้เป็นอย่างดีในด้านนี้ แต่ทว่าเมื่อมองไปยังตัวอักษรของหลี่ซิ่วฉาย หลินหลันก็อดรู้สึกละอายใจไม่ได้ นางเขียนเบี้ยวไปเบี้ยวมา ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับหลี่ซิ่วฉาย เพียงไม่กี่ตัวอักษรกลับดูเป็นธรรมชาติมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มผู้นี้ ยังมีการติดผนึกขี้ผึ้งไว้อีกด้วย เกรงว่าข้าจะแอบดูหรือไร
หลินหลันอยากจะแอบดูจริงๆ นั่นแหละ แต่ท้ายที่สุดก็ยังห้ามใจเอาไว้ได้ และตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะวานให้เป่าจู้นำจดหมายไปส่ง