webnovel

ตอนที่ 1 ทะลุมิติไปหิมพานต์

รถหรูสีดำจอดที่เคียงข้างเรือนไม้ พร้อมกับชายสามคนซึ่งลงจากรถ ธันน์ เขตต์ และลุงชิด คนขับรถของนักธุรกิจปล่อยเงินกู้เดินเข้าไปในเรือนไม้พร้อมกัน

"เข้ามา"

เสียงในเรือนไม้เอ่ยเรียก เป็นเสียงทุ้มของบุรุษวัยกลางคน เขตต์จึงผลักประตูเข้าไป พบว่าภายในห้องมีโต๊ะตัวเล็ก ๆ และรูปปั้นบูชาเต็มไปหมด แต่ปราศจากเจ้าของเสียงซึ่งเรียกเชิญ

แต่ที่ธันน์รู้สึกสะดุดตา รูปปั้นบูชาเหล่านี้เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ซึ่งมีหน้าตาพิสดาร บางตัวหัวเป็นช้างตัวเป็นสิงห์ บางตัวหัวเป็นพยัคฆ์หางเป็นปลา แต่ที่เขาคุ้นตาที่สุดคือรูปปั้นพญานาคเก้าเศียรแผ่พังพาน และพญาครุฑกางปีกอย่างสง่างาม

ตรงกลางโต๊ะบูชาวางไว้ด้วยรูปปั้นซึ่งหล่อเป็นรูปสิงโตแต่มีกายอย่างมนุษย์ มีแขนสี่แขน มือสี่มือถือวัตถุแตกต่างกัน คือ ตรี (สามง่าม) คทาทอง สังข์ขาว และกรงจักร อ้าปากแยกเขี้ยวอย่างสง่างาม

เขตต์กับลุงชิดคุกเข่าพนมมือไหว้ ส่วนธันน์เห็นแล้วเฉย ๆ เขาไม่เคยนับถือพวกวัตถุบูชา ปกติก็แค่ไหว้พระทำบุญตามวิถีที่พ่อแม่สั่งสอนมา

"โห รูปปั้นแต่ละองค์ สวยจังเลย มึงว่ามะไอ้ธันน์"

เขตต์หันไปถามเพื่อนซึ่งหน้านิ่ง แววตากลับครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ต่อจากบนภัตตาคาร

ภายหลังที่เขาไปส่งอีฟกลับบ้านแล้ว จึงกลับไปยังคอนโดหรูราคายี่สิบล้านซึ่งอยู่ไม่ไกล ที่จริงเขาคิดจะชวนอีฟมานอนเป็นเพื่อน แต่เหตุการณ์ที่เจอทำให้นักธุรกิจหนุ่มหมดอารมณ์

ขึ้นไปยังคอนโดชั้นห้าสิบ ซึ่งเป็นห้องกว้างเทียบเท่ากับห้องอื่นสองห้อง เฟอร์นิเจอรหรูครบครัน ธันน์ถอดเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำตามปกติ โยนเสื้อผ้าลงตะกล้าในห้องน้ำ ส่วนแหวนวางที่อ่างล้างหน้า

ระหว่างอาบน้ำจึงมองดูเรือนร่างขาวซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามผ่านกระจก สายตาอดตวัดไปยังแหวนเพชรนพเก้าซึ่งวางไว้บนอ่างล้างหน้าไม่ได้ ในใจยังนึกถึงเหตุประหลาดบนภัตตาคาร เฝ้าถามตัวเองว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

ด้วยความอยากรู้อยากลอง จึงหยิบแหวนขึ้นมาสวม แต่มันเข้าได้เพียงปลายนิ้ว เขาจึงเทสบู่เหลวอาบนิ้ว เพื่อให้แหวนสวมเข้าไปจนพอดีข้อ

ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกอะไร ชายหนุ่มค่อยโล่งใจที่แหวนนี้ไม่ได้อาถรรพ์อย่างที่คิด หลังอาบน้ำเสร็จ เขาก็สวมชุดนอนกางเกงขาสั้นตามสบาย หยิบไวน์ออกจากตู้เย็นมานั่งดื่มที่ระเบียงริมกระจก ทอดมองแม่น้ำดื่มด่ำกับแสงสีของมหานครยามราตรี

แม้สีสันของมหานครยังคงงดงาม แต่น่าแปลกที่วันนี้แม่น้ำกลับไม่มีเรือท่องเที่ยวแล่นผ่านเหมือนที่เคย มันดูวังเวงเงียบเหงาแปลก ๆ มีเพียงแรงกระเพื่อมขึ้นลงของสายน้ำที่ค่อนข้างแรง

แรงน้ำพลันสั่นกระเพิ่มขึ้นลงอย่างหนัก จนชายหนุ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ ทันใดมีวัตถุประหลาดทรงแหลมลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ สร้างความสนใจแก่เขามาก

"อะไรเนี่ย?"

วัตถุประหลาดโผล่พ้นผิวน้ำ ตามด้วยปากซึ่งยาวเหมือนจระเข้ แต่มีความยาวและใหญ่กว่าหลายเท่า ลำตัวเป็นเกล็ดสีขาวแววงามสะดุดตา

"เฮ่ย!"

ลุกขึ้นพรวดไม่ต่างจากตอนอยู่ภัตตาคาร ครานี้แม้กระทั่งขวดไวน์ยังหล่นแตกเศษแก้วกระจายเต็มพื้น สัตว์ตัวยาวหันหน้ามาทางเขา สายตาดุร้ายจ้องเขม็ง

"พญานาค!"

ธันน์ใจหายวาบ เจอพญาครุฑก็ว่าบ้าพอแล้ว ครานี้ยังมาเจอพญานาคอีก หากไม่ใช่หลอนเพราะฤทธิ์ไวน์ เห็นทีเขาคงจะประสาทกลับไปแล้ว

ด้วยความตกใจสุดขีด เขารีบวิ่งไปที่ประตู สแกนนิ้วเพื่อคลายล็อก แต่เพียงแค่แง้มประตูได้ครึ่งเดียว เห็นบุรุษยืนเปลือยท่อนบนยืนขวางอยู่เบื้องหน้า

"เฮ้ย!"

บุรุษคนนั้นไม่เพียงมีกล้ามแน่นราวนักเพาะกายชั้นยอด แต่ยังมีแขนมากถึงสี่แขน ผิวพรรณเรืองอร่ามเป็นสีทอง ศีรษะเป็นสิงโตเต็มไปด้วยแผงคอละเอียดงาม ช่วงล่างสวมโจงกระเบนแดง หางตวัดไปมาอย่างแผ่วพลิ้ว

ปัง!

เขารีบปิดประตูทันที จากนั้นวิ่งไปหาโทรศัพท์มือถือที่หล่นบริเวณระเบียง นิ้วกดเลขรัวโทรหาเพื่อนรัก

"รับสิโว้ย รับสิโว้ย!"

ไม่นานเสียงผู้ชายปลายสายก็ตอบรับ

"มีอะไรวะ ไอ้ธันน์ ดึกป่านนี้ละมึง"

"ไอ้เขตต์ มึง...กู...กู..."

อธิบายเรื่องไม่ถูก จะประติดประต่อเรื่องราวอย่างไรดี จะให้เล่าให้เพื่อนรักฟังว่าเจอพญานาคกับมนุษย์สิงโต คงโดนหาว่าประสาทแน่

"เป็นไรของมึง?" เขตต์ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

"กูยึดแหวนประหลาดมาจากลูกหนี้ แต่พอ...พอกูใส่ กูก็เห็นห่าไรแปลก ๆ ก็ไม่รู้"

"หมายความว่าไง?"

"เออ มึงรีบมาก่อน มาเร็ว!"

ที่จริงธันน์ควรโทรตามบอดี้การ์ดมาอารักขา แต่จะให้บอกบอดี้การ์ดว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออก จะให้สั่งว่าช่วยปกป้องเขาจากพญานาค พญาครุฑเหรอ ขืนทำอย่างนั้นมีหวังถูกลูกน้องหัวเราะเยาะว่าบ้า ดังนั้น เขตต์จึงเป็นตัวเลือกเดียวที่เขากล้าโทรหา เพราะเป็นเพื่อนรักตั้งแต่เรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน

ไม่นานเขตต์ก็มาถึง เห็นธันน์หน้าซีดนั่งอยู่ที่โซฟายาว ผู้เป็นเพื่อนรีบเข้าไปถาม

"เกิดอะไรขึ้นมึง?"

ร่างสูงชี้ไปที่แหวนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

"แหวนนี่ กูได้มาจากลูกหนี้ พอกูใส่เข้าไปกูก็เห็นตัวอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ"

"แล้วมันตัวอะไรวะ?"

หนุ่มนักธุรกิจกลืนน้ำลายลงคอ เปล่งเสียงอย่างยากลำบาก

"นาค...ครุฑ...สิงโต..."

คำตอบทำเอาผู้เป็นเพื่อนอึ้งไปเหมือนกัน จะขำก็ใช่ที จะให้เชื่อก็คงยาก

"มึงเล่นตัวไหนมา หลอนรึเปล่าวะ?"

"หลอนห่าไรล่ะ กูเห็นจริง ๆ"

ไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นอย่างนี้ เขตต์ครุ่นคิดเล็กน้อย

"หรือว่า...มึงจะโดนของ?"

"โดนของ?"

"เออ ก็มึงมันเป็นพวกปล่อยกู้ ตามทวงหนี้เขายิก ๆ มีไม่รู้กี่คนที่เกลียดมึง อาจจะมีใครจ้างคนเล่นของใส่มึงก็ได้"

"ก็พวกมันยืมเงินกู จะไม่ให้กูทวงได้ไง"

"เรื่องนั้นช่างมันเหอะน่า เอาเป็นว่ามึงต้องรู้ก่อนว่ามึงโดนของหรือเปล่า"

"แล้วกูจะรูได้ไง"

"ที่บ้านกูรู้จักอาจารย์เก่งคนหนึ่ง ไว้กูจะถามพ่อแม่ให้ว่าชื่ออะไร"

เขตต์นอนเป็นเพื่อนธันน์หนึ่งคืน ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดีไม่พบสิ่งแปลกประหลาดอีก หลังจากเขตต์กลับบ้านไปได้ไม่นาน ก็โทรมาแจ้งธันน์ว่าให้ไปหาหมอผีชื่อดังในต่างจังหวัด

ธันน์ไม่อยากให้ลูกน้องคิดว่าเขาบ้า จึงเลือกไปกับคนขับรถและเพื่อนรักแค่สามคน จนกระทั่งมาถึงเรือนไม้กลางป่า บรรยากาศน่าสะพรึงเงียบวังเวง

สายตาธันน์ตอนนี้จ้องไปยังรูปปั้นมนุษย์ซึ่งมีศีรษะเป็นสิงโต มันเหมือนกับที่เขาเจอที่หน้าห้องไม่ผิดเพี้ยน ที่เขาเห็นคงไม่ใช่ภาพหลอน แต่คงเป็นนิมิตหรืออะไรสักอย่าง

"สนใจนรสิงห์องค์นี้เหรอมึง?"

เสียงเหยียบกระดานไม้พร้อมคำถามดังขึ้น หนุ่มวัยสี่สิบผิวคล้ำ เปลือยช่วงบนซึ่งเต็มไปด้วยรอยสักผลักประตูเดินเข้ามา เขตต์แปลกใจมาก ตอนที่เขามาถึงเรือนไม้ เสียงพ่อหมอมาจากในเรือนไม่ใช่เหรอ?

แล้วไปอยู่ข้างนอกได้ไง?

"พ่อหมอ" เขตต์ยกมือไหว้

ลุงชิดก็ทึ่งในความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ยกมือไหว้เกจิอาจารย์ผู้ลี้ลับ มีเพียงแค่ธันน์เท่านั้นที่ไม่คิดจะไหว้ เพราะคนอย่างเขาไม่เคยจะยกมือไหว้ใครก่อน

"หวัดดีครับ" ธันน์ทักอย่างมีมารยาทที่สุดแล้ว

หมอผีวัยสี่สิบแค่นยิ้ม

"หยิ่งจริงนะมึง สมแล้วที่ท่านบอกว่ามึงนั้นหัวดื้อ"

"ท่าน?" นักธุรกิจหนุ่มทวนคำด้วยความแปลกใจ

หมอผีนั่งลงที่หน้าโต๊ะบูชา ตวัดสายตาไปยังรูปปั้นฤๅษีรูปงามตนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งบนโขดหิน คอท่านคล้องด้วยเครื่องพิณวีณา (พิณอินเดีย) ซึ่งมีเจ็ดสาย

"พ่อปู่นารอด ท่านมาแจ้งกูก่อนแล้วว่ามึงจะมา แถมเชื่ออะไรยากน่าดู แต่ว่าไม่ยังไง มึงเป็นคนที่ถูกเลือกไว้ เห็นทีจะหนีชะตาไปไม่พ้น"

"หมายความว่าไง? ใครเลือก? ชะตาอะไร?"

"คำถามเยอะนะมึง แล้วสิ่งประหลาดที่เพื่อนมึงบอกว่ามึงเห็นมา มีอะไรบ้างล่ะ?"

"ก็มี...นาค...ครุฑ...แล้วก็...สิงโต"

หมอผีหันหลังไปยังรูปปั้นมนุษย์สิงโต

"สิงโตแบบนี้ใช่ไหม?"

"ใช่"

"เขาเรียกนรสิงห์ หัวเป็นสิงห์ตัวเป็นคน แล้วที่มึงเจอทั้งหมดก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่มีวาสนากับมึงทั้งนั้น"

"วาสนาอะไร?" ชายหนุ่มรีบถาม

"ก็แหวนที่มึงได้มา ไม่ว่าจะเปลี่ยนมือไปแค่ไหนยังไงมันก็กลับไปสู่เจ้าของเดิม อย่างนี้แหละที่เรียกว่าวาสนา"

หนุ่มนักธุรกิจลอบตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าพ่อหมอคนนี้รู้เรื่องแหวนได้อย่างไรทั้งที่ยังไม่ได้เล่า จากที่ไม่เชื่อก็เริ่มเชื่อในไสยศาสตร์ความลี้ลับ เกจิอาจารย์คนนี้คงเป็นของจริง

"ผมเป็นเจ้าของแหวนเหรอ?" ธันน์ถาม

"ถามกูไปก็เท่านั้น กูก็ไม่ได้รู้ละเอียดนักหรอก ยื่นหัวมา"

"ห๊ะ?"

"กูบอกให้ยื่นหัวมา"

ธันน์ยื่นศีรษะไปให้พ่อหมอทำพิธี มือหยาบอีกฝ่ายจิกศีรษะเขาจนเจ็บ ดึงจนเส้นผมจะหลุดออกมา ขณะที่พ่อหมอหลับตาเอ่ยคาถาร่ายอาคม

ศีรษะรู้สึกมึนงงไม่ต่างจากตอนสวมแหวน สายตาพร่าเลือนมองเห็นสิ่งใดก็ไม่ค่อยชัด ชายหนุ่มร้องลั่นอย่างหวาดผวา ตามด้วยเสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมาทั้งที่ปราศจากเมฆฝน

โครม!

ประกายจากแสงอสนีกะพริบวาบเข้ามาในหน้าต่าง ทำเอาเขตต์และลุงชิตสะดุ้งแทบนั่งไม่ติด ทันใดได้ยินเสียงตึงคล้ายวัตถุหล่น ร่างธันน์ล้มลงนอนกองกับพื้น

"ไอ้ธันน์!" ใบหน้าเขตต์เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

"นาย!" ลุงชิดร้อง

เขตต์รีบถาม

"เกิดอะไรขึ้นครับ พ่อหมอ?"

สายตาของหมอผีวัยกลางคนหรี่ลงเล็กน้อย

"กูส่งมันไปแล้ว"

"ส่ง...ส่งไปไหน?" เขตต์ถามเสียงสั่น

"ส่งมันไปที่ที่มันเคยจากมา"

"แล้วธันน์ ธันน์ที่นอนอยู่นี่ล่ะ?"

"มีแต่ร่างไม่มีวิญญาณ"

"หา?" เขตต์อุทาน

พ่อหมอส่งสายตาเขม็งมายังหนุ่มผมน้ำตาล

"ถ้ากูไม่ทำแบบนี้ มันคงโดนทวงชีวิตจนตาย มีแต่ส่งมันไปแก้ปัญหา มันถึงมีโอกาสรอด"

"แล้วพ่อหมอส่งธันน์ไปที่ไหนกันแน่?"

พ่อหมอนิ่งเงียบไม่ได้ตอบ ท่ามกลางบรรยากาศที่อึดอัดกดดันหนัก

แสงสว่างชอนไชตา กระตุ้นเปลือกตาให้ลืมขึ้นช้า ๆ ชายหนุ่มค่อย ๆ ปรับสายตากับแสงจ้า จากนั้นลุกขึ้นนั่งสะบัดศีรษะคลายความมึนงง

ทว่าเมื่อมองให้ดี พบว่าตนเองอยู่ในป่าซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายพันธุ์ ใบไม้หลายเฉดมากสีสัน ชมพู แดง ฟ้า เขียว เปล่งแสงสลับประชันกัน สะกดสายตาเขาราวต้องมนตร์

เมื่อรวมสติได้สักพัก เขาลุกขึ้นพรวดด้วยความตระหนก ไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เมื่อมองไปด้านข้างก็พบว่าอยู่ใกล้บึงน้ำใหญ่ น้ำใสส่องประกายระยิบยิ่งกว่าแสงดาวบนฟ้าพราว

ไม่นานก็ได้ยินเสียงตีลม เมื่อนกขนแดงสดตัวหนึ่งบินมายังริมบึงน้ำ จะงอยปากมันเป็นสีทองราวกับทำจากทองคำแท้ ชวนให้นึกถึงปากของครุฑตนนั้นที่เขาเจอบนภัตตาคารหรู

เจ้านกแดงดื่มน้ำที่ข้างบึง จากนั้นเงยคอเปล่งเสียงแหลม ทว่าน้ำเสียงกลับไพเราะใสกังวาน ทำนองคล้ายคลื่นเพลงมีจังหวะทั้งเร็วช้าสลับกัน

เสียงนั้นคล้ายมนตร์สะกด กล่อมชายหนุ่มผู้ตื่นตระหนกให้เฟ้อฝัน ราวกับตนเองเป็นเทวดานั่งอยู่กลางหมู่เมฆินทร์[1] สุขสำราญยากจะหาใครมีวาสนาเท่า

ตูม!

ทว่าเสียงน้ำกระเซ็นทำลายบรรยากาศ เมื่อช้างตัวสีฟ้าปีนขึ้นจากบึง นกแดงตกใจจึงบินหนี ขณะที่ช้างยักษ์ย่างเท้ามาใกล้หนุ่มนักธุรกิจ

"อะไรอีกวะเนี่ย?!"

ช้างที่มีผิวสีฟ้านับว่าแปลกประหลาดแล้ว แต่หางของมันยังเป็นปลาแทนที่จะเรียวยาวเหมือนแส้ ปลายหางปลาสะบัดเอาน้ำออก จากนั้นชูงวงร้องคำรามเสียงกึกก้อง

ตูม ตูม!

ไม่นานฝูงช้างซึ่งมีหางเป็นปลาก็โผล่ขึ้นจากบึงอีกหลายตัว ทำเอาธันน์ใจหายวาบก้าวเท้าถอย สายตาพวกมันจับจ้องมายังชายหนุ่ม เขารีบหันหลังวิ่งหนีทันที

"ช่วยด้วย!"

ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะต้องแผดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็จนใจด้วยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแน่ ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาหรือเรียกหาใคร ยังถามในใจว่านี่เขาฝันไปหรือเสียสติ?

"กูส่งมันไปยังหิมพานต์ เพื่อให้มันได้พบกับผู้ที่ตามหามัน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป"

คำตอบของพ่อหมอที่บอกกับเขตต์ซึ่งกำลังประคองร่างเพื่อนให้นอนด้วยท่าปกติ ทำเอาเขตต์ตะลึงอึ้ง

หนุ่มผมน้ำตาลไม่ทราบว่าจะเอ่ยอย่างไรกับเรื่องที่เหลือเชื่อ ทราบแต่ว่าวิญญาณเพื่อนเขาอยู่ในดินแดนอันลี้ลับซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากนิทานและวรรณคดี...

----- จบตอน -----

เอาแล้ว ๆ ธันน์จะได้เจอกับอะไร บอกเลยตื่นเต้นมาก ๆ

[1] เมฆินทร์ - เมฆ