ในอดีตมีชายที่น่าสงสารคนหนึ่งเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าที่ดูสิ้นหวัง สภาพเขานั้นแทบไม่ต่างอะไรกับคนที่ตาย เขาขอร้องกับผมว่าอยากจะลืมเรื่องราวในอดีต อยากจะลืมทุกส่งทุกอย่างเกี่ยวกับมัน ถึงความข่มขื่น ความทรมาน
แน่นอน! ผมที่เป็นคนเห็นใจคนอื่นก็เลยแนะนำไปว่า...
"การลืมนั้นไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่จะทำให้ตัวเองนั้นอ่อนแอลง เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากจะลืมอดีต ก็ต้องกำจัดต้นตอ ที่เป็นสิ่งกำเนิดของสิ่งนั้นทิ้งไปซะ!"
เขาดูดีใจมากหลังจากที่ได้รับฟังคำแนะนำของผม ไม่นานนักเขาก็วิ่งออกไปด้านนอกด้วยหน้าที่ยิ้มแย้ม สำหรับผมแล้วนั่นเป็นนิมิตหมายที่ดีที่บุคคลสารมารถก้าวข้ามอดีตของตนเอง และเอาชนะมันได้อย่างงดงาม หรือไม่แน่บางทีเขาอาจจะแค่ต้องการให้ใครสักคนเห็นด้วยก็เท่านั้นเอง
...
ค่าช่วยเหลือในการให้คำแนะนำ? เรื่องแบบนั้นสำหรับผมแล้วมันไม่ได้มีค่าไปมากกกว่าสีหน้าอันมีความสุขของเขาเลย เพราะฉะนั้นแล้วผมถึงช่วยเหลือเขาโดยที่ไม่คิดอะไรเลย เพียงแค่ผมสนใจสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ต่างหาก
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาหาผมอีกด้วยสีหน้าที่ดูกระวนกระวาย ระแวงหน้าระแวงหลัง ตรงเข้ามาหาผม ขอร้องผมให้ช่วยเหลือตัวเขาในตอนนี้ เขาบอกว่าได้ยินเสียง เสียงหนึ่งมันวนเวียนหลอกหลอนในหัวตั้งแต่เมื่อราว 7 เดือนหลังจากที่มาหาผมครั้งล่าสุด
ถึงแม้ว่าผมนั้นจะคอยให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการดับทุกข์กับคนมามากมายหลายคนแล้วก็ตาม แต่สำหรับเขาแล้วครั้งนี้ผมก็...
แปะ!
...
ในวินาทีนั้นผมก็ได้สังเกตเห็น ถึงสิ่งหนึ่งที่ตัวของเขานั้นได้กระทำลง มันทั้งน่าทึ่งและน่าประหลาดใจเสียจนทางผมนั้นมิอาจละสายตาออกไปจากการกระทำนั้นได้เลย
ภาพของชายคนหนึ่งที่กำลังสูดดมกลิ่นเลือดที่ออกมาจากยุงตัวหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน เขาสูดดมสิ่งนั้นราวกับมันเป็นสารเสพติดประเภทหนึ่ง แต่ที่น่าประหลาดใจอีกอย่างก็คือ... สีหน้าของเขานั้นกลับดูสงบนิ่ง ต่างจากที่ไม่กี่วินาทีก่อนนั้นที่เขายังดูเหมือนคนที่วิตกกังวลราวกับคนกำลังจะเป็นบ้าแท้ๆ
วิเศษสุดๆ! นี่มันน่าสนใจมาก! น่าสนใจกว่าสิ่งใดๆ ที่ผมได้เคยพบเห็น สัญชาตญาณดิบเถื่อนราวกับสัตว์ป่าในอดีต
ตัวผมนั้นตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุดจนเผลอยิ้มออกมากว้างจนเกือบจะฉีกถึงใบหู มันคุ้มค่ามากที่ผมจะให้การช่วยเหลือ และแนะนำคุณไปในทางที่ถูกที่ควร บางทีสิ่งนั้นอาจจะทำให้คุณรู้ตัวเองก็ว่าได้ รูปร่างของชีวิตนี้อะไรคือ และจุดประสงค์ที่ควรจะเป็น...
...
พิรุณตื่นขึ้นมาในสภาพที่สะลึมสะลือมองไปยังรอบก็พบว่าที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้นั้นมันไม่ใช่ที่โกดังเก็บของที่พวกเขานั้นได้เข้าไปตรวจสอบก่อนหน้านี้ แต่มันกลับกว้างราวกับว่าเป็นคนละที่
เขาพยายามขยับตัวก็พบว่าตัวเองในตอนนี้นั้นถูกมัดด้วยเชือกติดกับเสา ซึ่งข้างตัวเขานั้นมีเพื่อนตำรวจที่มาด้วยถูกมัดอยู่เช่นกัน และดูเหมือนว่ายังไม่ได้สติ
"หมวด.... หมวด... หมวด..." พิรุณพยายามเรียกสติของตำรวจคนนั้นซึ่งนั่นเองก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล ทางนั้นเองก็ดูเหมือนว่ากำลังจะได้สติขึ้นมา
"สารวัตร ตอนนี้พวกเรา...อยู่ที่ไหน?"
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ที่จับพวกเรามามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ บางทีอาจจะเชือดคอพวกเราทีละคน ทำเหมือนเหยื่อที่มันเคยทำ และสลักรูปสามเหลี่ยมเหมือนอย่างเคย พวกเราคงจะถูกพบลอยไปติดที่ฝั่งแม่น้ำสักที่เองนั่นแหละ"
"เวลาแบบนี้ยังจะมาพูดเล่นแบบนี้กันอีกหรอครับ สารวัตรไม่กลัวบ้างหรอ?"
"ก็กลัวอยู่แล้วสิ... ก็เพราะว่ากลัวนั่นแหละเลยคิดแบบนั้นได้"
"..."
ตอนนั้นเองที่ก็ได้มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้พวกเขาทั้งสอง เสียงรองเท้าส้นสูงดังตึกๆ กระทบกับพื้นปูนก้องดังไปทั่วโกดังเก็บของ ประจวบเหมาะกับแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องรูบนหลังคา ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองคือ ผู้หญิงตัวสูงราว 170 เซนติเมตร ผมยาวสีบรอนซ์ทอง สวมชุดปิดบังเรือนร่างมิดชิด ใบหน้าเองก็ถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัยจนไม่สามารถระบุหน้าที่แท้จริงได้ ซึ่งตอนนี้เธอยืนมองพวกเขาทั้งสอง
"สารวัตร... อย่าบอกนะว่า..." ตำรวจคนนั้นพูดด้วยสีหน้าที่ดูกลัว
".....!!"
ไม่มีการพูดจาแม้แต่คำเดียว แค่การกระทำอันเลือดเย็นที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เธอหยิบมีดพับออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วค่อยเดินใกล้พวกเขาทั้งสองไปทีละก้าว อย่างช้าๆ คาดได้ว่าที่ถืออยู่ในมือนั้นอาจจะเป็นมีดที่เธอใช้ในการฆาตกรรมและใช้สลักสัญลักษณ์สามเหลี่ยมลงบนร่างกายของเหยื่อที่เธอได้สังหาร
เธอเข้าไปใกล้และหยุดลงที่ตรงหน้าของพิรุณ ก่อนจะค่อยๆ เอามีดจ่อเข้าไปที่ดวงตาของเขา ซึ่งทางพิรุณนั้นไม่แม้แต่ที่จะขยิบตาเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลับจ้องเขม็งไปที่หน้าของหญิงที่เป็นฆาตกรด้วยแววตาที่ยังไม่ยอมแพ้ เขาพร้อมที่จะสู้จนหยดสุดท้ายแม้ว่าตัวเองจะสูญเสียดวงตาไปก็ตาม
จนท้ายที่สุด เธอก็ง้างมีดออกกว้างและพุ่งมันตรงลงไปที่ดวงตาของพิรุณ แต่ทว่าเธอกลับหยุดมีดเล่มนั้นลงกลางคัน เธอหยุดมันลงอย่างกะทันหันด้วย มืออีกข้างของเธอเองที่หักห้ามมันเอาไว้อย่างฉิวเฉียด
มันทำเอาทางตำรวจที่มาด้วยถึงกับสับสนไม่รู้ว่าทำไมฆาตกรคนนี้ถึงได้มีความขัดแย้งกับสิ่งที่ให้การขึ้นมา
"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึง..."
เธอที่กำลังทะเลาะกับตัวเองต่อหน้าต่อตาของทั้งสอง ท้ายที่สุดแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอยังจะมีจิตใจที่ดีหลงเหลืออยู่ เธอทิ้งมีดลงพื้นก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ
"ว่าแล้วเชียว..." พิรุณพูดขึ้นมาหลังจากที่เห็นการกระทำของฆาตกร
"หมายความว่าไงครับสารวัตร?"
"เธอคนนี้ไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง ใช่ไหมล่ะ!?" พิรุณพูดอย่างเสียงดังไปที่ทิศทางด้านหลังของหญิงสาวคนนั้น ด้วยสีหน้าที่มั่นใจ
"ใช่แล้วล่ะ" เสียงปริศนาที่ดูคุ้นเคยดังออกมาจากที่มุมมืดข้างหลังของหญิงสาวคนนั้นที่กำลังสั่นกลัว เสียงของผู้ชายที่ทางของพิรุณที่น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี
เสียงเท้าย่ำเข้าใกล้พวกเขาทั้งสองอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงจากรองเท้าส้นสูง แต่เป็นโรงเท้าผ้าใบปกติ เสียงเดินนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมกับก้มหยิบมีดที่เธอคนนั้นได้ทิ้งลงพื้นไปอย่างใจเย็น
ทันทีที่ผ่านแสงจันทร์ที่ส่องลงกระทบผ่านรูบนหลังคา ทั้งสองก็ได้เห็นสีหน้าและแววตาของฆาตกรที่แท้จริง
"ว่าแล้วเชียวต้องเป็นคุณ... เจ้าของร้าน"
"ถูกต้องแล้วครับสารวัตร ผมนี่แหละฆาตกรที่พวกคุณกำลังตามจับอยู่" ชายเจ้าของร้านพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มที่มุมปากอย่างเป็นธรรมชาติ กับสายตาที่เย็นชาไร้อารมณ์
"มันหมายความว่ายังไงครับ? หรือมีแต่ผมคนเดียวหรือเปล่าที่ไม่รู้อะไรเลย" ตำรวจคนนั้นพูดมาด้วยสีหน้าที่ดูร้อนรน หันหน้าเลิ่กลั่กไปมา
"ก็ตามที่เขาบอกนั่นแหละหมวด นั่นแหละ! คนร้ายที่พวกเรากำลังตามจับกันอยู่ ที่จริงแล้วมันก็รู้สึกตงิดใจอยู่เหมือนกันว่าฆาตกรเป็นผู้หญิงจริงๆ อย่างนั้นหรอ มีแรงถึงขนาดสามารถฟัดเหวี่ยงกับชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ได้ ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นผู้หญิงได้เลย แต่ด้วยที่ว่ามันมักจะลงมือเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยก็เลยยังตัดสินใจไม่ได้สักที" พิรุณพูดข้อสันนิษฐานที่ตนเองคิดออกมาจนแทบทั้งหมด
"ว่าก็ว่าเถอะ คุณสารวัตรรู้ได้อย่างไรว่าคนลงมือนั้นเป็นผม ทั้งที่ผมเก็บรายละเอียดขนาดนั้นแล้วแท้ๆ" ชายเจ้าของร้านถามต่อ
"ข้อความที่ฉันได้รับจากมือถือเมื่อตะกี้นี้ มันเป็นข้อมูลผมการพิสูจน์หลักฐานเส้นผมที่ได้จากที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้ไงล่ะ! ในเส้นผมพวกนั้นมันมี DNA ของคนมากกว่าหนึ่งคน แสดงว่าผมที่สวมใส่อยู่นั้นเป็นเพียงแค่วิกไว้หลอกตาเฉยๆ ถ้าซื้อมาทางนี้ก็สืบทราบได้ไม่ยากแสดงว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาเอง จากเศษซากของผมลูกค้าที่ตัดต่อกันจนกลายเป็นวิก ใช่ไหมล่ะ? ส่วนที่ทิ้งหลักฐานเอาไว้ ถ้าให้ฉันเดาน่าจะเป็นเพราะรีบเกินไปและกลัวว่าคนจะมาเห็นในช่วงกำลังหนี เลยไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดี"
"แล้วคุณตำรวจแน่ใจจริงๆ อย่างนั้นหรอว่าผมนั้นเป็นคนลงมือทำจริงๆ น่ะ" แล้วเขาก็ชี้ไปที่ร่างของหญิงที่นั่งทรุดตัวสั่นกับพื้น
"เธอคนนี้เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะฆ่าคนได้ เผลอๆ สัตว์ยังไม่กล้าที่จะฆ่าเลยละมั้ง ใช่ไหมน้องตาล? อีกทั้งเด็กนักศึกษาที่ไหนจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาใช้ซื้อกระเป๋าราคาหลักครึ่งแสนได้กันเล่า" พิรุณเรียกชื่อของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขา ซึ่งเป็นคนที่พวกเขากำลังจับตาดูก่อนหน้านี้ "แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามันถูก เพราะถ้าเธอคนนี้เป็นฆาตกรจริงๆ ดวงตาของผมก็คงไม่เหลืออยู่แล้ว"
ทางของเจ้าของร้านที่ได้ยินสิ่งที่พิรุณคิดและสามารถเล่าออกมาได้เป็นฉาก ก็ถึงกับประหลาดใจ ก่อนจะตบมือแสดงความยินดี
"สุดยอด! สุดยอด! คุณสารวัตร ผมคิดถูกจริงๆ ที่ตอนนั้นผมไม่ฆ่าคุณทิ้งไปเสียก่อน"
หลังจากที่เขาเชยชมข้อสันนิษฐานของพิรุณแล้ว เขาก็เดินเข้าไปใกล้ทางของตาลก่อนจะหยิบกระชากผมของเธออย่างรุนแรง ดึงขึ้นก่อนจะเอามีดพกนั้นจ่อไปที่ลำคอ
"ผมจะเอายังไงกับคุณดีนะ? เด็กน้อย" สีหน้าของชายฆาตกรนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่การกระทำของเขาต่อจากนี้จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องตายก็ตาม
"อย่านะเว้ย!" พิรุณตะโกนเสียงดัง
"ขอร้องแหละ...อย่าทำหนูเลย ขอร้องแหละ..." ตาลพูดขอร้องชีวิตทั้งน้ำตา
"มันเป็นเพราะเธอไม่ใช่หรือไงที่ทำให้ทุกอย่างมันพัง ถ้าเธอใจกล้าลงมือกับตำรวจพวกนี้ ผมเองก็จะปล่อยคุณไปแล้วแท้ๆ น่าเสียดาย... น่าเสียดายจริงๆ" เขาเริ่มเอามีดจ่อไปที่คอของตาลใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนปลายมีดจิ้มลงที่คอของเธอ จนเป็นแผลเลือดไหลออกมาเล็กน้อย
"ขะ...ขอร้องแหละ... ได้โปรด... อย่าทำอะไรหนูเลย" ตาลเริ่มแสดงสีหน้าที่หวาดกลัวอย่างสุดขีด น้ำหูน้ำตาไหลออกมาท่วมใบหน้าและแก้ม ความกลัวนั้นทำให้เธอถึงขนาดฉี่เล็ดแตกออกมา
"ฮ่าฮ่าฮ่า..." เขาขำและหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียง จนทางของพิรุณและตำรวจนั้นทนถึงความโรคจิตของเขาไม่ได้ถึงกับเอ่ยปากด่าออกมา
"ไอ้โรคจิต! / ไอ้เวรวิปริต!"
แต่ถึงแม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะด่าไปอย่างไร ทางของเขานั้นก็ดูไม่กระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อย เขาปล่อยมือที่จับผมของตาลลงก่อนจะพูดขึ้นมาว่า...
"ก็ได้ครับ ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง" เขาลุกขึ้นเหนือหัวของเธอ และโยนมีดพกเล่มนั้นให้พร้อมกับกำชับไปอีกด้วยว่า...
"จำเอาไว้นะครับนี่เป็นโอกาสที่จะมอบให้ครั้งสุดท้าย อย่าทำมันพลาดล่ะ"
ตาลลุกขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับมีดพกที่อยู่ในมือ สีหน้าและแววตาดูสั่นกลัว ใบหน้าเลอะเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบน้ำหูน้ำตา ปากเองก็สั่นขยิบจนได้ยินเสียงฟันที่กระทบกัน ลมหายใจถี่และดังแสดงถึงความวิตกกังวล เธอได้แต่พูดออกมาแค่อย่างเดียวว่า...
"หนูขอโทษ... หนูขอโทษ... หนูขอโทษ... แล้วหนูจะรีบทำให้มันจบ เร็วที่สุด..."