webnovel

รูปทรงที่บิดเบี้ยว 1

สวัสดีผมดีใจจริงๆ ที่คุณลืมตาตื่นขึ้นมาสักที

 เสียงเงาชายปริศนาสูงใหญ่อยู่ตรงหน้าของคุณ แสดงท่าทีอย่างดีใจหลังจากที่เห็นตัวคุณนั้นลืมตื่นขึ้นมา ใบหน้าที่ทึบจนแยกไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าตัวคุณนั้นจะไม่ค่อยสนใจในสิ่งนั้นเท่าไหร่ 

คุณเห็นสถานที่ที่คุณอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นด้านบนดาดฟ้าที่ลมพัดเย็นสบาย ท่ามกลางในยามค่ำคืนที่ด้านล่างกำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยฝูงชน

 อะไรกัน นึกว่าคุณนั้นจะตกใจมากกว่านี้เสียอีก ทำเอาผมผิดหวังไปนิดหน่อยเลยนะครับ

 เงาปริศนาแสดงท่าทีที่ดูผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเดินห่างออกไปจากคุณยืนตรงหน้าตะแกงรั้วเล็กที่กั้นชั้นดาดฟ้า เขามองไปด้านล่างพลางยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

 นี่.... คุณคิดว่ามนุษย์นั้นเกิดมาทำไมหรอครับ?

 สิ่งที่เขาถามมามันคืออะไรแล้วเขาต้องการสิ่งใด แม้แต่ตัวคุณเองนั้นก็ไม่รู้ ไม่สิ ไม่อยากจะรู้มันต่างหาก

 ....

 ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากจะถามความคิดเห็นของคุณเฉยๆ ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรหรอก

 ....

 อย่าพูดเหมือนผมกำลังจะทำอะไรไม่ดีสิครับ เห็นแบบนี้ผมเองก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ 

 ....

 นั่นสินะ ถ้าสำหรับในความคิดของผมแล้ว วิญญาณถักทอให้เกิดรูปร่าง แล้วรูปร่างรูปทรงบรรจุความต้องการ ก่อกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ตั้งแต่เกิดมาพวกเรานั้นต่างก็ว่างเปล่า มีเพียงแค่สัญชาตญาณเท่านั้นที่ติดตัวมา เมื่อเติบใหญ่ความต้องการเพียงแค่อยู่รอดกลับแปรเปลี่ยนไป หลายปัจจัยหลากหลายการแปรเปลี่ยน สังคม การเมือง เศรษฐกิจ และครอบครัว ก่อกำเนิดรูปร่างรูปทรงที่หลากหลายและแตกต่าง ซึ่งแต่ละรูปนั้นก็ต่างบรรจุสิ่งที่แตกต่างกันไปด้วย

....

 เอาอะไรมาพิสูจน์อย่างนั้นหรอครับ นั่นสินะ...

และแล้วเงาปริศนาก็มองก้มไปที่ด้านล่างพลางยิ้มออกมาอย่างดีใจ ซึ่งตัวคุณนั้นก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีสักเท่าไหร่ มันเหมือนคนที่เห็นคนอื่นเป็นเพียงแค่ของเล่น และใช้แค่เพียงฆ่าเวลาก็เท่านั้น 

ถ้างั้นเชิญชมผลงานที่ผมภาคภูมิใจ ความสวยงามราวกับดอกกุหลาบสีแดงสด หลอกล่อเหยื่อด้วยกลิ่นที่หอมและรูปลักษณ์อันเลอโฉม แต่แน่นอนกุหลาบย่อมมีหนามล้อมรอบ ไม่ระวังมีหวังจะถูกหนามเหล่านั้นทำร้ายเอาได้ บางทีอาจจะแค่เจ็บตัวเล็กน้อย หรือบางที...หึหึ

เงาปริศนานั้นยิ้มหัวเราะอย่างชั่วร้ายยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าระรื่น

 ไม่มีอะไร...ผมก็แค่คิดอะไรนิดหน่อย อีกไม่นานฝนก็จะตกแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะไม่สบายพวกเราไม่นั่งข้างใน แล้วค่อยๆ จิบกาแฟท่ามกลางสายฝนในยามค่ำกันดีกว่าไหม? 

 อะไรกัน! ไม่ชอบกาแฟอย่างนั้นหรอ? ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดแต่เวลานี้ใครจะมาดื่มกาแฟอย่างนั้นหรอ? นั่นก็จริง! ถ้าอย่างนั้นเป็นนมอุ่นๆ สักแก้วก่อนก็แล้วกัน 

จากนั้นเงาชายปริศนานั่นก็เดินเข้าไปที่ด้านหลังของคุณ ในตอนนี้นั้นคุณได้รู้ตัวว่าไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้อย่างใจนึก ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นก็เท่านั้น ซึ่งกำลังถูกเขาเข็นเข้าไปด้านในตัวอาคารอย่างช้าๆ และไม่นานหลังจากนั้นฝนก็ได้กระหน่ำเทลงมาเป็นห่าใหญ่

 

 

สำนักข่าวรายงาน เมื่อเช้าเวลา 04.00 น. พบศพชายไม่ทราบชื่อ ลอยมาเกยตื้นข้างชายฝั่งแม่น้ำเจ้าสายใหญ่ พบตามเนื้อตัวมีร่องรอยบาดแผลถูกมีดแทงที่ชายโครงนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนั้นบนใบหน้าของศพนั้นพบว่ามีการถูกขีดเขียนด้วยของมีคมคล้ายรูปสามเหลี่ยมที่หน้าผาก ตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบชื่อของผู้ตาย และใครเป็นผู้ลงมือสังหารอันโหดเหี้ยมนี้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าทางสำนักข่าวจะรีบรายงานอย่างทันที สวัสดีค่ะ...

 ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังวุ่นอยู่กับการตรวจสอบสภาพของศพ และพื้นที่โดยรอบ ก็มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขี้ม้า กางเกงยีน ข้างเอวเหน็บปืนพก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเดินเข้ามา และในทันทีทันใดนั้น ชายสวมชุดตำรวจเต็มยศเข้ามาทำความเคารพอย่างขึงขัง 

"สวัสดีครับสารวัตรพิรุณ ขอบคุณที่มาในวันนี้"

 "ไม่ต้องมากพิธี ผมมาเพราะหน้าที่ เอาเป็นว่าลองรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้ที"

 "ครับ"

 ...ผู้ตายนายอดิศักดิ์ อายุ 25 ปี ทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีคนพบเห็นผู้ตายนั่งดื่มกับพวกเพื่อนที่ทำงานใกล้บริเวณนี้ เนื่องจากด้วยว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ 

 หลังจากนั้น 22.00 น. ก็แยกย้ายกันกลับที่พัก เช้าวันต่อมาก็พบศพของผู้ตายนอนเกยอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ร่างกายพบบาดแผลถูกของมีคมเทงเข้าที่ชายโครงถึง 11 แผล บนหน้าฝากมีร่องรอยการใช้มีดขีดเป็นรูปสามเหลี่ยมราวกับว่าต้องการจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง นอกจากนั้นก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติมแล้วครับ

 "ลองตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วหรือยัง?" พิรุณถาม

 "ตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ครับ อีกไม่นานก็น่าจะทราบผลแล้ว" 

 "แล้วทางผู้ตายมีญาติอยู่ด้วยหรือเปล่า?" 

 "มีอยู่ครับคนเป็นแม่ แล้วทางเราก็ได้ลองไปสอบถามดูแล้วด้วย ดูเหมือนว่าผู้ตายนั้นจะไม่ได้มีความขัดแย้งกับใครเลย แถมเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานกับคนรอบๆ อีก"

 "นี่ก็แสดงว่าเป็นการเล่นงานแบบสุ่มสินะ? ว่าแต่มันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?" 

 ขณะที่พิรุณกำลังนึกคิดอยู่ในหัวคนเดียว ถึงความเป็นไปได้ เหตุจูงใจ และก็วิธีการสังหาร ตราสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่สลักบนหัว แต่ถึงอย่างนั้นหลักฐานโดยรอบมันก็ยังไม่เพียงพอ 

 ตอนนั้นเองก็มีตรวจอีกคนหนึ่งเข้ามารายงานกับทางพิรุณที่ยืนนิ่งคิดอยู่ พร้อมกับถือกระเป๋าใบใหญ่ 

 "สารวัตรครับ เราพบเจอสิ่งของที่น่าจะเอาไว้ใช้ในการใส่ศพแล้วครับ"

 กระเป๋าใบใหญ่ถูกลากขึ้นมา ซึ่งมันชุ่มไปด้วยน้ำ กระเป๋าใบนั้นยังสภาพดีอยู่ แถมยังไม่มีร่องรอยบุบหรือว่าแตกสลายแต่อย่างใด พอเห็นอย่างนั้นพิรุณก็ถึงกับยิ้มมุมปากออกมา

 "เยี่ยมเลยอย่างน้อยตอนนี้ก็น่าจะตีวงแคบลงไปได้บ้างแล้วล่ะ ที่เหลือก็คงมีแต่รอภาพจากกล้องวงจรปิดสินะ?" 

 

เวลาต่อมาในเย็นวันนั้น พิรุณที่ประจำการอยู่ในโรงพักของเขตใกล้ที่เกิดเหตุ ซึ่งเขาและพวกตำรวจกำลังนั่งตรวจเช็คข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดกับตำรวจอีก 3-4 นาย ต่างคนต่างจับจ้องกันไปที่หน้าจอเป็นตาเดียวอย่างไม่ลดละ 

ภาพในหน้าจอแสดงถึงผู้คนมากมายหลากหลายต่างเดินทางสัญจรไปมากันจนเต็มทางฟุตบาท เพราะด้วยว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ หลายคนที่กลับจากงานก็มักจะไปนั่งดื่มกินกับเพื่อนร่วมงานเป็นธรรมดา

 "สารวัตรผมเห็นผู้ตายแล้วครับ" ตำรวจคนหนึ่งชี้ไปที่หน้าจอซึ่งแสดงให้เห็นภาพของผู้ตายที่กำลังเดินไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนร่วมบริษัท

 "จับตาเอาไว้..."

 "รับทราบครับ!" 

 เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ กลุ่มของผู้ตายก็ออกมาและกำลังจะแยกย้ายกันกลับไป ต่างคนต่างแยกกันกลับไปคนละทางโดยที่เป็นตามคำให้การทุกประการ และผู้ตายก็ได้เดินหายเข้าไปในฝูงชน

 ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาเดียวกับมวลชนที่หนาแน่นล้นทะลักเดินกันยั้วเยี้ยไปมาราวกับแมลง เพราะต่างคนต่างก็ออกไปเที่ยวดื่มกินเหมือนกัน ผู้ตายที่ไม่ได้มีรถขับ และทางพวกเพื่อนนั้นก็ไม่ได้เดินไปส่งเขา ทางที่เขาจะเดินกลับไปมีอยู่แค่ที่เดียว คือรถไฟฟ้า

 ขณะนั้นภาพที่จับของผู้ตายนั้นได้เดินหายออกไปจากกล้องวงจรปิด ซึ่งทาง พิรุณนั้นจึงรีบหันไปดูกล้องอีกตัวอย่างทันที พบเห็นผู้ตายกำลังเดินอยู่บนฟุตบาทท่ามกลางฝูงชนที่หนาแน่นและฝนที่เริ่มตกประปราย พวกเขาจับตาตามรอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

 "หายไปแล้วครับ..."

 ภาพของผู้ตายจู่ก็หายตัวไปอย่างปริศนา ทำเอาทุกคนที่กำลังดูกล้องวงจรปิดนั้นมีท่าทีที่ตื่นตระหนกออกมา

 "ระหว่างกล้องตัวที่ 13 และ17 ไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่เลยหรอ?"

 "มีครับกล้องตัวที่ 15 แต่... มันเป็นแค่ตัวล่อเฉยๆ"

 "ชิ! ไอ้เวรตัวไหนมันเอากล้องหลอกไปติดกันว่ะ!" 

พิรุณแสดงท่าทางอารมณ์ที่ฉุนเฉียวอย่างชัดเจน ก่อนจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์แล้งพูดออกไปว่า... "ก็ดี! อย่างน้อยก็ตีขอบการเกิดคดีได้แล้ว"

 พอคิดได้ดังนั้น พิรุณก็เดินไปหยุดที่แผนผัง พลางนึกคิดจำลองสถานการณ์ในหัวอย่างช้าๆ และถี่ถ้วน 

 "เหตุเกิดในช่วงที่กล้องตัวที่ 15 แสดงว่าเหตุมันเกิดตรงในช่วงระหว่างนี้" พิรุณหยิบปากกาไวท์บอร์ดออกมาวงกลมลงในแผนผัง "แต่ว่ามันรู้ได้อย่างไงว่าตรงที่แห่งนี้ กล้องตัวนี้เป็นเพียงแค่ตัวล่อ..." 

 "....." 

ในขณะที่พิรุณกำลังคิดอยู่นั้นไม่มีแม้แต่เสียงพูดเอ่ยถามออกมาแต่อย่างใด จนกระทั่งทางพิรุณนั้นได้เอ่ยออกมาว่า...

 "ก่อนอื่นก็ลองไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุก่อนก็แล้วกัน"

 

เช้าวันต่อมา... พวกของพิรุณออกเดินทางกันมาจนถึงที่เกิดเหตุ ตรงหน้ากล่องที่ถูกติดไว้เป็นตัวล่อ ที่ตรงนั้นฟุตบาทค่อนข้างแคบ มีน้ำขังประปรายเป็นแอ่งเล็กๆ เนื่องจากฝนตกเมื่อคืน

 เมื่อลองดูพื้นที่แถบแถวนั้นมันเป็นที่โล่งกว้างที่ซึ่งไม่น่าจะมีทางที่เหยื่อจะถูกฆ่าจากด้านนอก แต่ที่แถวนั้นมันมีทางแยกเข้าไปในซอยอยู่ พิรุณคาดวาเหยื่อน่าจะโดนคนร้ายหลอกล่อเข้าไปเพื่อฆ่าเป็นแน่

 ด้านในตรอกซอกซอยนั้นแคบจนไม่สามารถจอดรถระหว่างข้างทางได้ จึงจำเป็นต้องเดินเข้าไปแทน ที่ด้านในชื้นแฉะเพราะฝนตกเมื่อคืน ระหว่างทางที่ถูกประกบด้วยสังกะสีที่เก่าจนขึ้นสนิม และกลิ่นเหม็นที่โชยมาตามสายลม

 พื้นที่ตรงหน้าของพวกเขาเป็นชุมชนเล็กที่ส่วนมากบ้านถูกสร้างจากไม้ที่เก่าและพุพัง กลิ่นเหม็นนั่นก็คาดว่าน่าจะมาจากน้ำเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานใกล้แถวนั้น ผนวกกับขยะที่ลอยบนผิวน้ำยิ่งทำให้น้ำมันยิ่งเสียและส่งกลิ่นเหม็นมากกว่าเดิมทันทีที่เดินเข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ

 "สลัม? จริงๆ ถ้าเป็นที่แห่งนี้น่าจะลงมือได้โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร"

 "เอาอย่างไงดีต่อครับสารวัตร?" ตำรวจหนึ่งในนั้นถามขึ้นเพื่อรอการสั่งการ

 "แยกตัวกันออกไปสอบถามชาวบ้านแถวนี้"

 "ครับ!"

 

 นั่นไม่เป็นเรื่องที่ง่ายเลย แทบจะทั้งสลัมนั้นผู้ใหญ่มักจะออกไปทำงานในช่วงเช้ากันหมด ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม ทิ้งเหลือแค่ตามหมู่บ้านมีเพียงแค่เด็กน้อยที่วิ่งเล่น กับคนสูงอายุที่นั่งอยู่ด้านหน้าบ้านหลังเก่าที่ผุพัง ทำให้ไม่ค่อยได้ความสักเท่าไหร่ 

 "แบบนี้ค่อนข้างยากเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย" ตำรวจคนหนึ่งเอ่ยขึ้นและค่อยกระดกน้ำอัดลมที่อยู่ในมืออย่างกระหาย เนื่องด้วยอากาศที่ร้อนทำให้การหาข้อมูลต้องหยุดชะงัก ทำให้พวกเขาต้องมานั่งอยู่หน้าร้านค้าขายของชำเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในสลัม

 "ทางนี้ก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน" พิรุณเดินมาพร้อมกับตำรวจอีกคนด้วยสีหน้าทั้งสองที่เต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลท่วม

 "ว่าแต่ทั้งที่ฝนเพิ่งจะตกไปเมื่อคืนแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงได้ร้อนอบอ้าวขนาดนี้ได้เนี่ย"

 "นั่นสิ ฉันเองก็รีบอยากจะกลับไปตากแอร์ที่โรงพักใจจะขาดแล้วเนี่ย"

 ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ระหว่างนั้นก็มีเด็กในสลัมคนหนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความสงสัย ทางพิรุณที่เห็นเลยเข้าไปถามด้วยท่าทีอย่างเป็นมิตร

 "มีอะไรหรอหนุ่มน้อย?"

 "ผมแค่สงสัยเฉยๆ ว่าพวกคุณตำรวจมาทำอะไรในที่แห่งนี้ มีโจรขโมยของหนีมาที่นี่อย่างนั้นหรอ?"

 "เปล่า... คือว่า... พวกพี่ตำรวจแค่มาเดินตรวจตราเฉยๆ น่ะ ไม่ได้มาจับใครทั้งนั้นแหละ ว่าแต่เมื่อคืนหนูได้ยินเสียงอะไรแปลกไหม?" พิรุณลองถามเด็กอย่างเล่นๆ โดยที่ตนเองไม่ได้คิดอะไรมาก 

 "ไม่ครับ เมื่อคืนผมหลับไปไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย" เด็กคนนั้นตอบมาด้วยสีหน้าที่ดูใสซื่อ

 "นั่นสินะ..." ในใจตอนนี้เขาคิดได้แค่ว่า ตนเองคิดอะไรไปถามเด็กน้อยแบบนี้ มันไม่น่าจะได้อะไรอยู่แล้ว

 "แต่ว่า... ถ้าเป็น "ลุงจัย" ละก็อาจจะรู้อะไรก็ได้นะครับ เพราะลุงเขาชอบเป็นคนกลับบ้านดึกๆ"

 "จริงหรอ? ช่วยเล่ารายละเอียดให้คุณตำรวจฟังหน่อยได้ไหม?" แล้วพิรุณก็พาเด็กน้อยคนนั้นเข้ามานั่งคุยด้านหน้าร้านขายของชำ พร้อมกับเลี้ยงน้ำอัดลมและขนมให้กับเด็กน้อยคนนั้น 

ได้ความมาว่า... ลุงจัยนั้นมักจะกลับจากการทำงานดึกทุกวัน แต่เมื่อคืนเหมือนว่าลุงแกจะเจอเงินหล่นแถวนี้เลยทำให้อารมณ์ดี มาซื้อเหล้ากินแต่เช้าและไม่ได้ออกไปทำงานเหมือนอย่างทุกวัน ทางของแม่ค้าที่ขายของร้านของชำเองก็ยืนยันอีกเสียงด้วย 

 สีหน้าและแววตาของพวกเขาทั้งหมดแสดงถึงความหวังอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่ามาจากเด็กน้อย ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปหาชายที่ชื่อ ลุงจัย ที่ตอนนี้น่าจะนอนหลับอยู่หน้าบ้านด้วยสภาพที่เมาหัวราน้ำ 

 จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านของลุงจัย ซึ่งเป้นอย่างที่แม่ค้าและเด็กน้อยคนนั้นพูด เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 45 ถึง 50 นอนสลบเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทั่วทั้งตัวมีแต่กลิ่นของเหล้าคละคลุ้งจนเหม็น ถึงกับแยกไม่ออกว่ากลิ่นไหนน้ำเสียหรือว่ากลิ่นเหล้า 

 "นี่ลุง นี่ลุง นี่ลุงจัย!" ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้าไปเขย่าตัวของลุงจัยอย่างเบาๆ แต่ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ จนกระทั่งตำรวจคนนั้นเริ่มขึ้นเสียงตะคอกใส่ข้างๆ หูของลุง "นี่ลุง!!! ตื่นได้แล้ว!!!"

ลุงจัยสะดุ้งเฮือกใหญ่มองไปมาอย่างเลิกลัก ท่าทางดูเหมือนว่าจะได้ผลเป็นอย่างดี 

 "อะ อ้าว! คุณตำรวจไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ" ลุงจัยยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล พลางทำท่าเคารพอย่างปวกเปียก เหมือนว่าจะยังไม่สร่างดีนักเท่าไหร่ 

 "พอดีผมอยากจะทราบว่าเมื่อคืนลุงได้เห็นอะไรหรือเปล่า?" พิรุณพุ่งตรงคำถามอย่างตรงไปตรงมาอย่างทันที

 "เห็นอะไร... เปล่า เปล่า ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลย เอื๊อก!" 

 พิรุณคิดส่วนนี้เอาไว้แล้วว่าลุงจัยนั้นน่าจะโดนเงินปิดปากเอาไว้ เขาเลยถามไปต่ออีกว่า... 

"ว่าแต่คุณลุงต้องออกไปทำงานแทบทุกวันไม่ใช่หรอครับ? แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่ไปทำงานเสียล่ะ?" 

 "แค่บังเอิญเจอเงินหล่นเท่านั้นแหละ... แล้ววันนี้เองก็อยากจะกินเหล้านั่งพักเสียด้วย ก็เลย...ไม่ได้ไป"

 ทางพิรุณนั่นเองก็คิดเอาไว้ด้วยว่าคำตอบนั่น บางทีอาจจะถูกเตรียมเอาไว้แล้ว เพื่อใช้ในการอ้าง เขาเลยถามไปต่ออีกว่า... 

"แต่ว่าเมื่อวานน้องตำรวจคนนี้เขาทำเงินหล่นหายแถวนี้ ผมเองก็เลยออกมาช่วยตามหาใช่ไหม?" พิรุณคว้าคอตำรวจคนหนึ่งเข้ามาใกล้และแสดงสัญญาณให้ทางนั้นเล่นละครด้วย

 "ชะ...ใช่ครับ ใช่ครับ เมื่อวานผมทำเงินหล่นหายไปแถวนี้ ตอนที่มาเดินตรวจตรา" ตำรวจคนนั้นพูดขึ้นพลางพยักหน้างึกๆ 

 "ลำบากมากเลยเนอะ... เงินนั่นสำคัญมากด้วย ได้ข่าวว่าถ้าไม่มีเงินนั่นนายจะไม่มีเงินเอาไปซื้อยาให้กับแม่ที่นอนป่วยอยู่บ้านใช่ไหม?"

 "ครับ... ครับ"

 "ว่าแต่ลุงบอกว่าเจอเงินใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นแล้วก็คงมีแต่จะต้องเป็นของรุ่นน้องของผมสิ เพราะว่าเขาเพิ่งเดินมาตรวจตราที่นี่ได้ไม่นานนี้เอง แล้วเงินตอนนี้นั้นอยู่ไหนครับ โปรดช่วยคืนมาด้วยจะได้ไหม?"

 ทางของลุงจัยมีท่าทีที่ตื่นตระหนกได้อย่างชัดเจน สีหน้าและแววตาดูร้อนรนแสดงออกมาอย่างชัดเจน

 "คะ...คือว่า"

 "แบบนี้มันมีความผิดนะครับ ถ้าไม่อยากจะโดนคดีลักทรัพย์ ก็ยอมคืนเงินมาซะดีๆ นะครับ" พิรุณพยายามไล่ต้อนอีกฝั่งอย่างไม่ลดละ "หรือนอกเสียจากว่า คุณลุงไม่ได้เจอเงิน แต่ได้รับมันมาใช่ไหม?"

 สีหน้าดูผวา มือสั่นราวกับเจ้าเข้า ปากเองก็สั่นจนได้ยินเสียงกัดฟันดัง กับๆ ร่างกายแขนขาของคุณลุงอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่ จนกระทั่งลุงจัยนั้นทนแรงกดดันไม่ไหว เลยพูดสารภาพออกไปด้วยสีหน้าที่ตื่นกลัวว่า...

 "ใช่แล้ว เงินนี่ลุงไม่ได้เจอหรอก แต่ได้รับมาเมื่อคืนนี้ จากผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังลากศพชายคนหนึ่งอยู่..."