webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantaisie
Pas assez d’évaluations
107 Chs

ภาคต่อตอนที่ 15 เหตุไม่คาดฝันระหว่างทาง

ครั้นเดินมาถึงหน้าจวนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกับกองกำลังทหารม้าราวห้าสิบนายเห็นจะได้ ยืนเรียงสองแถวตอนลึกข้างม้าของตน ถัดจากรถม้าคันหรูสีดำสนิททั้งคัน ด้านข้างตัวรถม้าสลักหัวพยัคฆ์สีเงินกำลังอ้าปากกว้างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

ยังไม่พอด้านหน้ารถม้าคันหรู ยังมีม้ากว่าสิบตัวที่ถูกเตรียมไว้สำหรับองครักษ์และกองกำลังหลิ่งหลินอีก ชิงหลินมัวแต่ตะลึงจึงไม่ทันสังเกตถึงการมีตัวตนของเหล่าชาวเมืองนับสิบที่มาชะเง้อชะแง้มองหวังจะได้ยลโฉมธิดาสวรรค์สักครั้ง

"โอ...นั่นอย่างไรเล่า! ธิดาสรรค์!"เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือประกอบ

"อา...จริงด้วย แล้วนั่นก็สัตว์เทพที่กลายร่างได้ ข้าจำได้!"

"ตัวไหนกัน? มีตั้งสี่ตัว?"

"ข้าจำได้ว่าเป็นพยัคฆ์ตัวสีขาวลายดำนะ!"

"...พยัคฆ์สีขาวลายดำ? ก็มีตั้งสองตัว แล้วมันตัวไหนกันเล่าที่กลายร่างได้?"

"จะตัวไหนก็ช่างแต่ต้องเป็นหนึ่งในสองตัวนั้นแน่! หรืออาจจะทั้งสี่ตัวเลยก็ได้กระมัง?"

"อา...หากเป็นดังที่เจ้าว่าแคว้นอื่นที่คิดจะทำศึกกับแคว้นฉีเรา คงต้องคิดหนักแล้ว"

"..เหตุใดเจ้าคิดเยี่ยงนั้น?"

"เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ เจ้าก็เห็นพลังมหาศาลของสัตว์เทพกับตามาแล้วมิใช่รึ?"

"อา..ก็ใช่..แล้วอย่างไร?"

"หากทั้งสี่เป็นสัตว์เทพจริง เจ้าคิดว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนกล้าต่อกรด้วยไหมเล่า?"

"มันก็จริงของเจ้า"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์หยุดลงทันที เมื่อแม่ทัพหนุ่มรูปงามปรากฏกายขึ้น ร่างสูงใหญ่ดูสง่างามองอาจน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสูงส่งที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์บางคนยังต้องอิจฉา

"หลินเอ๋อร์..ไปเถิด เดี๋ยวจะสาย"แม่ทัพหนุ่มกล่าว เขามาถึงได้สักพักแล้วแต่นางกลับไม่รับรู้เลยจนต้องเอ่ยปากเรียก

"...เจ้าค่ะ"เอียงหน้าตอบสามีที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตั้งท่าจะเดินไปที่รถม้าแต่แล้วมีอันต้องชะงัก เมื่อเขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวคอดกิ่วไว้ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย เห็นเพียงรอยยิ้มหวานซึ้งที่จ้องตอบกลับมา

"...อุ๊ย..ข้าขึ้นเองก็ได้เจ้าค่ะ"ร้องประท้วงที่จู่ๆก็ถูกสามีอุ้มขึ้นมาแนบอก เหลือบมองสองสาวใช้ที่เปิดม่านรถม้าสีดำสนิทรออยู่ก่อนแล้ว ก็เห็นก้มหน้าต่ำจึงลอบถอนใจออกมา แต่แล้วมีอันต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหึๆที่ดังอยู่เหนือศีรษะ อ้า...ลืมไปเลยว่าเขาอุ้มนางอยู่!

"หึๆ..มุดเข้ามาในชุดของพี่ก็ได้นะ"แม่ทัพหนุ่มเย้านางเสียงหวาน

"ท่าน!...นี่แน่ะ"ชิงหลินพอได้ฟังก็เงยหน้าถลึงตาใส่เขาแล้วหยิกลงไปบนหลังมือแล้วบิดเต็มแรงด้วยความหมั่นไส้

"ซื้ด..เจ้ากล้าทำร้ายสามีที่แสนดีเชียวหรือ?"แม่ทัพหนุ่มสูดปากพร้อมกับกล่าวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

"ฮึ!..ใครใช้ให้ท่านชอบแกล้งข้ากันเล่า?"

"ดี...นับจากนี้พี่จะเพิ่มกฎอีกข้อ"

"กฎอะไรเจ้าคะ?"

"เจ้าทำร้ายพี่หนึ่งครั้ง....พี่จะกินเจ้าสองครั้ง...หากทำร้ายพี่สองครั้ง..พี่ก็จะกินเจ้าสี่ครั้ง"

"...หะ?"ชิงหลินอ้าปากเหวอ กฎบ้าอะไรเนี่ย! ตีเขาครั้งหนึ่งโดนงาบสองครั้ง ตีเขาสองครั้งโดนงาบสี่ครั้ง แล้วถ้าหากรัวใส่...ไม่อยากจะคิดเลย...อ๊ะ!เดี๋ยวนะ ถ้าเราอยู่เฉยๆ

"ตกลงเจ้าค่ะ...เพียงแต่..."

"ฮูหยินเชิญว่ามาได้"

"ในทางกลับกัน หากข้าไม่ลงไม้ลงมือกับท่าน ท่านก็ไม่มีสิทธิ์กินข้า"

"หือ?..จะเป็นไปได้เยี่ยงไร?"

"อ้าว...นี่เรียกว่า กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมอย่างไรเล่าเจ้าคะ"

"หึๆ..ก็ใช่..แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ?"

"ลืมอะไรเจ้าคะ?"

"พี่กล่าวว่าจะเพิ่มกฎไม่ใช่ตั้งกฎใหม่?"

"หะ.."เป็นอีกครั้งที่อ้าปากเหวอถึงใบ้กิน ปากที่เม้มสนิทอยู่กระตุกยิกๆ เกิดอาการคันเล็บอยากข่วนใบหน้าหล่อเหลานี่จนแทบจะทนไม่ได้

ริมฝีปากอวบอิ่มที่เม้มสนิทกอปรกับใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่อยู่ในอ้อมแขน ไม่ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญใจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม แม่ทัพหนุ่มกลับปรารถนาที่จะได้เห็นนางแสดงอาการเช่นนี้บ่อยๆกับตนเอง

ซึ่งการหยอกล้อเล่นแง่ของคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามัน ทำเอาเหล่าทหารทั้งหลายและผู้ที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านอึ้งกันเป็นแถวด้วยความประหลาดใจต่างคิดตรงกันว่า

อา...นี่ใช่...แม่ทัพไร้พ่ายที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเย็นชาเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยม ไม่เคยใส่ใจอิสตรีผู้นั้นจริงรึ?

และกว่าทุกคนจะรู้สึกตัว แม่ทัพหนุ่มก็อุ้มฮูหยินน้อยเข้าไปในรถม้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะตามเข้าไปติดๆ จากนั้นเสี่ยวอี้ก็อุ้มสี่สหายน้อยส่งให้ท่านแม่ทัพ

"ออกเดินทางได้!"จิ๋นอี้ตะโกนสั่งเสียงดังแล้วขบวนของแม่ทัพหนุ่มก็เคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่วังหลวงทันที

เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ยยืนมองส่งขบวนรถม้าด้วยความตื่นเต้นปลาบปลื้มใจแทนฮูหยินน้อยที่ท่านแม่ทัพให้ความสำคัญอย่างมากกับความปลอดภัย ถึงขั้นเลือกทหารฝีมือดีเกินครึ่งร้อยตามไปคุ้มกันอารักขา

แต่บรรยากาศภายในรถม้ายามนี้กลับคุกรุ่นเพราะคนตัวเล็กกำลังขุ่นเคืองคนตัวใหญ่อยู่

มู่หลิ่งเหวินนั่งกอดอกยืดหลังตรงอยู่ข้างร่างเล็กบอบบางที่กระถดกายหนีไปจนชิดผนังรถม้าอีกข้าง เลิกผ้าม่านมองทิวทัศน์ข้างนอกราวกับเขาไม่มีตัวตน ก็ให้รู้สึกขบขันยิ่งนักต่อมความอยากแกล้งเริ่มทำงานอีกครั้ง

"อุ๊ย...ทำอะไรเจ้าคะ?"อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเขาล้มตัวลงนอนใช้ท่อนขานางหนุนแทนหมอน

"พี่ง่วงเหลือเกิน...ขอยืมตักเจ้าสักครึ่งชั่วยามเถิด"น้ำเสียงออดอ้อนจากใบหน้าหล่อเหลา ทำคนฟังใจอ่อนยวบความขุ่นเคืองใจมลายหายไปจนสิ้น หลงเหลือไว้เพียงความห่วงใย เผลอพยักหน้าโดยไม่รุ้ตัว สร้างความพอใจแก่มู่หลิ่งเหวินไม่น้อย คว้ามือเรียวเล็กขึ้นจุมพิตส่งสายตาเชื่อมหวานไปให้

"เอาแต่จ้องข้า จะหายง่วงได้อย่างไรเจ้าคะ?"หลุบตาถามด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

"อา..สามีทราบแล้ว"ไม่วายเย้านางจึงถูกนางค้อนเข้าให้ จากนั้นปิดเปลือกตาลงมุมปากยังคงมีรอยยิ้มประดับไม่เลือนหาย

ชิงหลินเห็นดังนั้นจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกทางปาก หลุบตามองใบหน้าหล่อเหลาที่พริ้มหลับ สองมือประสานกันอยู่บนท้อง ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างปล่อยลงมายันพื้นรถม้าไว้ ท่าทางสบายๆราวกับกำลังนอนอยู่บนเตียง ทั้งที่ความจริงนอนอยู่บนรถม้าที่กำลังวิ่งค่อนข้างเร็วและโคลงเคลงอยู่ตลอดแท้ๆ

ทางด้านสี่สหายน้อยที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ฝั่งตรงข้าม ตามที่รับปากไว้กับแม่ทัพหนุ่ม ต่างพากันจ้องมองหลินหลินตาโต เพราะไม่เคยเห็นหลินหลินทำสายตาเช่นนี้กับมนุษย์ผู้ชายคนใดมาก่อน โดยเฉพาะฟานฟานน้อยที่เอาแต่จ้องเจ้าร่างยักษ์ด้วยสายตาขุ่นเคืองใจเป็นที่สุด

จวนแม่ทัพไร้พ่ายอยู่ห่างจากวังหลวงเกือบหนึ่งชั่วยาม แต่มู่หลิ่งเหวินสั่งให้ออกจากจวนตั้งแต่ยามเฉินเผื่อเวลาไว้หากเกิดเหตุการณ์มิคาดฝันขึ้นระหว่างทาง

"...ท่านแม่ทัพ"เสียงของจิ๋นอี้ปลุกมู่หลิ่งเหวินที่เผลอหลับให้ตื่นขึ้น ดวงตาสีรัตติกาลลืมขึ้นช้าๆ จากนั้นยันกายสูงลุกขึ้นนั่งดึงศีรษะของภรรยาที่หลับพิงอยู่กับผนังรถม้ามาซบกับอกตนแล้วเปล่งเสียงออกไป "ว่ามา"

"เอ่อ...เรียนท่านแม่ทัพ ด้านหน้ามีกลุ่มผู้อพยพขวางทางอยู่ขอรับ"จิ๋นอี้กระโดดลงมาจากหลังม้ามายืนข้างรถม้าแล้วรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

"ผู้อพยพ? มาจากที่ใดกัน?"เสียงของมู่หลิ่งเหวินแม้นไม่ดังมากแต่ก็ทำให้ร่างเล็กบอบบางรู้สึกตัวตื่นขึ้น

"อืมมม...ถึงแล้วหรือเจ้าคะ?"

"อา...ยังหรอก"ตอบเสียงอ่อนลงสองส่วน

"เอ่อ...เรียนท่านแม่ทัพ จากการสอบถามคนเหล่านั้นอพยพหนีความแห้งแล้ง มาจากอำเภอเฟิ่งกู่ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นฉีเราขอรับ"

"หือ?..แล้วเหตุผลที่เลือกมาขวางข้า?"

ชิงหลินได้ฟังจึงเลิกผ้าม่านหน้าต่างฝั่งตัวเองแล้วชะโงกหน้าออกไปมองข้างหน้าแต่ต้องผิดหวังเพราะถูกม้าของกองกำลังหลิ่งหลินบดบังเสียจนมิด

"เอ่อ..พวกเขามาถึงเมืองหลวงเมื่อสี่วันก่อน คราวแรกตั้งใจจะไปร้องเรียนที่กรมอาญา แต่กลับได้ยินเรื่องธิดาสวรรค์เข้าเสียก่อน จึงเลือกมาขอให้ธิดาสวรรค์ช่วยขอรับ" ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะตัดสินใจทำเช่นไรต่อไป เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน

"...นั่น!...ธิดาสวรรค์"

"อา....ธิดาสวรรค์จริงๆด้วย"

"....หลินเอ๋อร์"แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเรียกนางด้วยเสียงที่ทำให้คนฟังถึงกับเสียวสันหลังวาบ

"ขออภัยเจ้าค่ะ"คนถูกดุหดศีรษะกลับเข้ามาในรถม้ายิ้มแหยให้สามี

".....เจ้าอยากช่วยหรือไม่?"

"หากช่วยได้ก็อยากช่วยเจ้าค่ะ"

"พี่จะลงไปดูหน่อย เจ้ารออยู่นี่เถิด"ถ้อยคำเรียบแต่กลับแฝงคำสั่งกลายๆของสามี ทำนางรู้สึกขัดใจไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ที่สำคัญกลัวจะสร้างปัญหาให้เขาอีก "ทราบแล้วเจ้าค่ะ "ตอบพร้อมกับย่นจมูกไล่หลังสามี

"หลินหลิน ฟานฟานสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า"เจ้าพยัคฆ์น้อยส่งเสียงบอกพร้อมกับกระโดดขึ้นมานั่งบนตักนุ่มนิ่มที่ถูกเจ้าร่างยักษ์ยึดไปก่อนหน้านี้

"มาจากผู้อพยพเหล่านั้น"ฟงฟงน้อยร้องเสริมกระโดดขึ้นมานั่งข้างนางด้วยอีกตัว เป็นเหตุให้สองจิ้งจอกน้อยทำตามบ้าง

"หลินหลินจะช่วยพวกเขาหรือไม่เจ้าคะ?"หมั่นโถวน้อยจอมขี้แยร้องถาม

"น้องเล็ก เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก หลินหลินต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่แล้ว"เป่าเปาน้อยร้องบอกจิ้งจอกน้อยตัวน้อง

"ถ้าช่วยได้ ข้าย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว ตอนนี้ข้าจะใช้ปราณพลังจิตไปดูที่นั่นเสียหน่อย"ตอบสี่สหายน้อยทางจิตจากนั้นหลับตาลงทำจิตใจให้สงบ

เพียงชั่วอึดใจภาพก็ปรากฏขึ้นมาในหัว สิ่งแรกที่เห็นคือฝูงแร้งกำลังรุมทึ้งซากสัตว์ชนิดหนึ่ง เมื่อเพ่งจิตมองไปรอบๆเห็นเพียงผืนดินแตกระแหง ต้นไม้ใบหญ้ายืนต้นตาย ภูเขาที่ควรเป็นสีเขียวด้วยต้นไม้ กลับถูกความแห้งแล้งคุกคามจนกลายสภาพเป็นภูเขาหัวโล้น

ครั้นพอเพ่งจิตตามนกแร้งตัวหนึ่งที่บินมุ่งหน้าไปในหมู่บ้าน สิ่งที่เห็นมันทำให้นางแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

บิดาเคยเล่าให้ฟังว่า อำเภอเฟิ่งกู่เป็นอำเภอขนาดกลาง สภาพพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ราบลุ่ม พื้นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะนาข้าว ดังนั้นชาวอำเภอเฟิ่งกู่จึงยึดอาชีพทำนาเป็นหลัก ซ้ำข้าวที่ส่งไปวังหลวงก็ยังมาจากที่นี่ นำความปลาบปลื้มใจ ภูมิใจแก่ชาวอำเภอเฟิ่งกู่ยิ่งนัก

แล้วไอ้สภาพเหมือนหมู่บ้านร้างนี่มันอะไร? บ้านเรือนที่ปลูกเรียงรายสองฝั่งถนน ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร ร้านค้าร้านรวงอะไรก็ไม่มี นี่มัน..ร้ายแรงถึงขนาดอพยพย้ายถิ่นกันทั้งอำเภอเลยหรือ? และที่น่าเศร้าใจ คือ สัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้งให้ผจญกับความตาย ไม่ว่าจะเป็น วัว ควาย หมู หมา แมว ไก่

"ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ขืนปล่อยไว้สัตว์เหล่านั้นต้องตายแน่ๆ"รำพึงรำพันในใจ จากนั้นจึงเพ่งจิตไปยังภูเขาที่ใกล้ที่สุดซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสองร้อยลี้ นางได้ขอร้องให้เหยี่ยวเจ้าเวหาที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นและบรรดาฝูงนกอื่นๆอีกนับร้อย นำหญ้าและผลไม้ที่สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นกินได้ไปให้พวกมันกินประทังชีวิตไปก่อน

จากนั้นขอร้องให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในดินบริเวณเขตอำเภอเฟิ่งกู่ เช่น ไส้เดือน ปลวก มด ช่วยกันหาตาน้ำให้ไว้สำหรับแผนการในภายหน้า แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบได้เร็วซ้ำยังอยู่ไม่ลึก

ชิงหลินดีใจมากขอร้องให้เหล่ามดปลวกและไส้เดือน ช่วยชอนไชดินบริเวณตาน้ำที่แข็งจนจอบเสียมขุดแทบไม่เข้าจนร่วนซุยแล้วหันไปขอร้องให้ สุนัขและแมวนับสิบช่วยกันขุดตะกุยดินร่วนซุยตรงจุดตาน้ำขึ้นมา ตาน้ำนี้อยู่ลึกลงไปเพียงเมตรครึ่งมันคงง่ายสำหรับมนุษย์ แต่ยากยิ่งสำหรับสัตว์เหล่านี้

เมื่อสุนัขและน้องแมว ขุดลงไปได้ราวห้าสิบเซนติเมตร ดินที่ขุดขึ้นมาก็เริ่มไหลลงกลับที่เดิม บวกกับความหิวโหยทำให้พวกมันหมดเรี่ยวแรง ลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ ชิงหลินที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ จึงถามแบบไปไม่เจาะจงว่า ยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่บ้างหรือไม่?

และยังไม่ทันที่เหล่าสัตว์เลี้ยงจะได้ตอบ ก็ปรากฏร่างของหญิงชรากับเด็กชายหญิงสองคน ร่างกายทั้งสามผ่ายผอมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งหน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง น่าสงสารน่าเวทนายิ่งนักเดินผ่านมาพอดี

สุนัขหนึ่งในห้าตัวจึงกระดิกหางและวิ่งเข้าไปหาคนทั้งสามด้วยความดีใจ งับไปที่ชายชุดที่ขาดรุ่งริ่งของหญิงชราให้เดินตามมาที่หลุม ปล่อยชายผ้าที่งับแล้วเห่าบอกเป็นสัญญาณ

คราแรกชิงหลินเห็นหญิงชราทำหน้าไม่เข้าใจ แต่พอเห็นท่าทางการตะกุยดิน สลับกับผงกหัวของเจ้าสุนัขแสนรู้และสุนัขตัวอื่น ก็ทำให้นางเข้าใจและยิ้มอย่างยินดี หันไปบอกกับหลานทั้งสองให้หาจอบกับกระบุงจากกระท่อมใกล้ๆมา แล้วลงมือขุดดินกว้างยาวหนึ่งเมตร อย่างขะมักเขม้น

เหตุเพราะเหล่ามดปลวกและไส้เดือนรวมกันนับล้านตัว ช่วยทำให้ดินร่วนซุยแล้ว ทำให้การขุดหาตาน้ำเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดายยิ่งนัก จนหญิงชราอดประหลาดใจไม่ได้ และยิ่งประหลาดใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาวัว ควาย หรือแม้แต่ หมู หมา แมว ไก่ ช่วยหลานทั้งสองของนางขนดินไปทิ้ง

อาจเพราะทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้ครึ่งชั่วยามต่อมา บ่อน้ำก็แล้วเสร็จ ท่ามกลางความยินดีปรีดาของทุกคน ภาพหญิงชราคุกเข่าลงกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า แหงนเงยหน้าขึ้นฟ้าบ่นพึมพำขอบคุณสวรรค์ แล้วหมอบกราบลงกับพื้นหน้าบ่อน้ำ ทำเอาชิงหลินน้ำตาซึมและเผลอสะอื้นออกมาด้วยความตื้นตัน

เป็นเหตุให้มู่หลิ่งเหวินที่เฝ้าดูจากฝั่งตรงข้ามเพราะถูกสี่มารน้อยแย่งที่นั่งไป มีอาการตกใจเล็กน้อย แม่ทัพหนุ่มกลับเข้ามาในรถม้าอีกครั้งหลังจากรับเรื่องร้องทุกข์จากตัวแทนชาวเมืองเฟิ่งกู่ โดยรับปากว่าจะช่วยทูลรายงานเรื่องภัยแล้งนี้แก่ฝ่าบาท และยังให้จิ๋นซาน จิ๋นซื่อจัดหาที่พักพิงชั่วคราวให้ผู้อพยพเหล่านั้นด้วย

ครั้นพอเข้ามาในรถม้ากลับเห็นภรรยานั่งหลับตาพริ้มหลังเหยียดตรงคล้ายกำลังหลับ จึงคิดจะปลุกนาง แต่ถูกเจ้ามารน้อยฟานฟานห้ามไว้เสียก่อน บอกว่านางกำลังใช้พลังดูเหตุการณ์อยู่อย่ารบกวนนางเด็ดขาด

เมื่อถามว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด? เจ้ามารน้อยฟานฟานกลับตอบว่าไม่รู้ ดังนั้นแม่ทัพหนุ่มจึงตัดสินใจให้เดินทางต่อ จนมาถึงประตูวังหลวงชั้นในซึ่งต่อจากนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ก็เห็นนางยิ้มทั้งน้ำตาเลยตกใจและเป็นห่วงขึ้นมาตั้งใจจะปลุกนางเป็นเวลาเดียวกับที่นางลืมตาขึ้นมาพอดี

"ตื่นแล้วหรือ?"

"เจ้าค่ะ....แล้วที่นี่...."

"วังหลวง เราเคยมากันแล้วหนหนึ่ง"

"หลินเอ๋อร์จำได้เจ้าค่ะ แล้วนี่ไม่ใช่ว่าเรามาเร็วไปหรือ?"ถามพร้อมกับวางมือเรียวเล็กบนฝ่ามือหนาของสามีที่รออยู่

"มาเร็ว ไม่ใช่ดีกว่ามาช้าหรอกหรือ?"ยิ้มเย้าภรรยาจึงถูกนางค้อนให้วงใหญ่

"ท่านแม่ทัพ ท่านมาพอดี"ร่างสูงหันไปทางเสียงทักทายจึงพบกับขันทีร่างเล็กผู้หนึ่ง

"หากข้าจำไม่ผิด ฝ่าบาทให้ข้าและฮูหยินเข้าเฝ้ายามอู่มิใช่หรือ?"แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย ยามนี้พึ่งจะยามซื่อเท่านั้นยังมีเวลาเกือบครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงยามอู่

มู่หลิ่งเหวินตั้งใจว่าจะพานางเดินชมบุปผาในอุทยานหลวงตามที่เคยทูลขอประทานอนุญาตจากฝ่าบาทไว้ ด้วยครั้งก่อนที่มาเข้าเฝ้าสังเกตว่านางดูจะชื่นชอบบุปผาในอุทยานหลวงเป็นพิเศษจึงอยากทำสิ่งนี้เพื่อนาง

"มิผิด เพียงแต่ฝ่าบาทมีรับสั่งว่า หากท่านและฮูหยินมาถึงแล้ว แม้จะยังไม่ถึงเวลาก็ให้เข้าเฝ้าได้ และยังมีรับสั่งว่า ให้นำสี่สัตว์เลี้ยงเข้าไปด้วยขอรับ"คำพูดชัดถ้อยชัดคำของขันทีหนุ่ม ทำเอาคู่สามีภรรยาหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

"ข้ารู้แล้ว"มู่หลิ่งเหวินตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย สั่งให้จิ๋นเอ้ออุ้มสี่สหายน้อยออกมาจากรถม้าส่งต่อให้ขันทีเด็กทั้งสี่ จากนั้นจับจูงมือเรียวเล็กนุ่มนิ่มของภรรยามุ่งหน้าสู่ตำหนักฟ้าทรงธรรม ไม่ใส่ใจสายตาของเหล่าขันทีและนางกำนัลที่ลอบมองอย่างตำหนิ กับการกระทำที่โจ่งแจ้งไม่เหมาะไม่ควรของท่านแม่ทัพ

ส่วนจิ๋นอี้ จิ๋นเอ้อ กองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบและทหารม้าจำนวนครึ่งร้อยรั้งอยู่หน้าประตูวังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้ ดีใจมาก ไรท์จะพยายามสร้างสรรค์งานเขียนต่อไป เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยน้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts