ที่ทำการศาลกรมยุติธรรม
หลังจากที่เจ้ากรมศาลยุติธรรมได้สั่งลูกน้องสืบหาหลักฐานเพื่อมัดตัวเอาผิดเหล่าคนที่ทำผิด และวันที่จะต้องตัดสินความก็มาถึง
ยามซื่อ[1]ของวันนี้ศาลยุติธรรมได้เปิดศาลเพื่อเริ่มทำการไต่สวนคนผิด
"เปิดศาล"
เจ้าหน้าที่ของศาลส่งเสียงพูดดังลั่นขึ้นก้องไปทั่วศาล พร้อมกันลากหางเสียงยาว เพื่อป่าวประกาศบอกให้ทั้งคนด้านในและด้านนอกที่มารอดูการไต่สวนครั้งนี้ได้ยินโดยทั่วกัน
เวลาต่อมา ผู้ที่ถูกนำตัวมาเข้าไต่สวนเป็นคนแรก ก็คือ ซ่งเฉาเกา
[1] ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 - 10.59 น.
ชายวัยกลางคนค่อนข้างสูงวัย ผมเผ้าปล่อยยาวยุ่งเหยิงรุงรัง ใบหน้าซีดตอบหมองคล้ำดูไร้ราศี เขาสวมชุดนักโทษสีขาวขุ่น ดูสกปรกและเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง มือและขาทั้งสองข้างถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้อย่างแน่นหนา
ในขณะที่เขาเดินตามผู้คุมเข้ามาภายในศาล เขาก็เหลือบมองไปทางด้านข้าง และได้เห็นฟ่งหลันหลั่นกำลังยืนเคียงข้างแม่ทัพหนุ่มไม่ห่างกาย
ทันทีที่นักโทษนั่งคุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าศาล เจ้ากรมยุติธรรมก็วางตราประทับของศาลบนโต๊ะอย่างแรง เพื่อต้องการแสดงอำนาจและหวังข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามให้เกิดความเกรงกลัวต่อศาล
ปัง!
"นักโทษ คนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางศาลนี้คือผู้ใด" น้ำเสียงเข้มขึงขัง วางอำนาจอยู่ในทีกล่าวถามดังขึ้น
ชายผู้ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ก็ได้กล่าวตอบห้วน ๆ "ข้าน้อยซ่งเฉาเกา"
เมื่อเจ้ากรมยุติธรรมได้ยินชื่อของคนผู้นั้น เขาก็เอื้อมมือไปหยิบเอกสารตรงเบื้องหน้าขึ้นมาเปิดดู
เวลาผ่านไปเล็กน้อย เขาก็วางสิ่งนั้นลงที่เดิมและเงยหน้าขึ้นมองนักโทษอีกครั้ง
"ซ่งเฉาเกา เจ้าทำความผิดไว้อย่างใหญ่หลวงนัก เมื่อครั้งในอดีต เจ้าได้ร่วมมือกับเยี่ยอ๋อง ลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน รวมถึงอยู่เบื้องหลังการสิ้นพระชนม์ขององค์น้อยอวี้หลัน หลักฐานและพยานทั้งหมดอยู่ในมือของข้าแล้ว เจ้าจะยอมรับผิดนั้นหรือไม่"
ชายที่ถูกล่ามโซ่ตรวนทั้งมือและเท้า ได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและตอบสวนอย่างไม่คิด
"ใต้เท้า ข้าน้อยขอปฏิเสธในข้อกล่าวหานั้น!"
เจ้ากรมยุติธรรมได้ฟังคำปฏิเสธเสียงแข็งจากจำเลย ด้วยความโกรธ เขาจึงหยิบตราประทับของศาลวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงอีกครั้ง เพื่อเป็นการย้ำเตือนอีกฝ่ายถึงอำนาจในมือของเขา
ปัง!
"บังอาจ! หลักฐานแน่นหนาและสามารถมัดตัวเจ้าได้ขนาดนี้ เจ้ายังกล้าที่จะปฏิเสธศาลอย่างงั้นรึ!"
เจ้ากรมยุติธรรมตวาดเสียงกร้าวถามกลับไปจนอีกฝ่ายสะดุ้งตัวโหยงตกใจเล็กน้อย
"ใต้เท้า เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นมานานนับสิบกว่าปีแล้ว ผู้คนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ก็ล้วนได้ตายไปหมดแล้ว ท่านจะกล่าวออกมาได้มั่นใจเยี่ยงไรกันว่ามีทั้งหลักฐานและพยานเพื่อมาเอาผิดตัวข้า"
ซ่งเฉาเกากล่าวโต้แย้งอย่างหน้าตาเฉย เพราะเขามั่นใจว่าเจ้ากรมยุติธรรมไม่มีหลักฐานเอาผิดเขาในเรื่องนี้ได้
จากนั้นเขาได้ชำเลืองมองไปยังฟ่งหลันหลั่นด้วยสายตาเย้ยหยัน พร้อมทั้งเผยรอยยิ้มเยาะเย้นถากถางนางอย่างจงใจ
'องค์หญิงอวี้หลัน! คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตายตกไปตามกันแล้ว ถึงจะมีหลักฐานหลงเหลืออยู่บ้าง หากไม่มีพยาน เจ้าก็ไม่มีวันที่จะเอาผิดข้าได้'
ด้านฟ่งหลันหลั่นยืนฟังคำโต้แย้งของซ่งเฉาเกา ที่กำลังโต้เถียงออกมาต่อหน้าศาลอย่างไร้ซึ่งความสำนึกผิด
นางยืนกำหมัดแน่นและจ้องหน้ากลับด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวอย่างสุดระงับ ความแค้นและความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในอก มันแทบจะทะลุออกมานอกหน้าอก และอยากพุ่งกระโจนเข้าฉีกเลือดฉีกเนื้อของเขาแยกออกเป็นชิ้น ๆ เสียตอนนี้ให้ได้
และในขณะที่สตรีน้อยเผยอริมฝีปากบางขึ้น พร้อมกับขยับลำแขนเรียวเล็กได้เล็กน้อย
แม่ทัพหนุ่มก็ได้เอื้อมมือของเขาไปกุมมือของนางและกดแขนของอีกฝ่ายลงแนบลำตัวเช่นเดิม พร้อมกับส่ายหน้าเพื่อห้ามปรามเจ้าตัวไว้
สตรีน้อยจึงจำใจต้องข่มใจและสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอาไว้อย่างขมขื่น
เมื่อหลงอี้หลิงปรามคนของตนให้สงบอารมณ์ใจลงได้แล้ว เขาก็หันหน้าไปทางเจ้ากรมศาลยุติธรรมและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุม ใจเย็น
"ใต้เท้า หากจำเลยผู้นี้ยังไม่ยอมรับสารภาพผิด ข้าอยากขอให้ท่านเบิกตัวพยานสำคัญออกมาด้วยเถิด"
เจ้ากรมศาลยุติธรรมได้ฟังคำเสนอแนะของแม่ทัพหนุ่ม เขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย คล้ายกับว่าทุกอย่างได้ถูกเตรียมการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นเจ้ากรมศาลยุติธรรมก็หันไปออกคำสั่งกับเจ้าหน้าที่เสียงดังก้องไปทั่วศาล
"ผู้คุม เบิกตัวพยานสำคัญพร้อมกับหลักฐานได้!"
"ขอรับ"
เจ้าหน้าที่ศาลก็ขานรับด้วยน้ำเสียงเข้มขึงขัง ดังก้องไปทั่วศาลจนไปถึงด้านนอกศาลเช่นกัน
"เบิกตัวพยานได้" (ลากหากเสียงยาว)
ทุกคนภายในศาลที่มาร่วมฟังการตัดสินคดีในครั้งนี้ ต่างก็พากันเลิ่กลั่กหันซ้ายแลขวา และเริ่มส่งเสียงซุบซิบพูดคุยกันอย่างสงสัยและแปลกระคนกัน จนเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นภายในศาลแห่งนั้น
ในระหว่างที่ร่วมฟังคำไต่สวนคดี เจ้ากรมศาลยุติธรรมเห็นเช่นนั้น เขาจำเป็นต้องแสดงอำนาจเพื่อห้ามปรามพวกเขา ที่ไม่เคารพต่อศาล
ตราประทับของศาลถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ดังก้องไปทั่วศาลเป็นครั้งที่สาม
ปัง!
ชาวบ้านที่กำลังยืนซุบซิบกันอยู่ตกใจจนสะดุ้งตัวโหยง
"บังอาจ! ไม่ว่าผู้ใด เมื่ออยู่ต่อหน้าศาลทุกคนจะต้องสำรวม หากใครไม่ยอมทำตามกฎแต่โดยดี ข้าจะสั่งให้ผู้คุมศาลมาลากตัวออกคนผู้นั้นไปลงโทษโบยหลังทันที"
เมื่อเจ้ากรมศาลยุติธรรมประกาศกร้าวดังก้องไปทั่วศาลเช่นนั้น ชาวบ้านที่ยืนซุบซิบกันอยู่ก่อนหน้านี้ต่างก็พากันเงียบเสียงลง และยืนก้มหน้าตัวสั่นไปตาม ๆ กัน
ไม่นานผู้คุมศาลก็ได้พาตัวพยานคนสำคัญเดินเข้ามาด้านใน
สตรีผู้มีใบหน้าสะสวย ผิวพรรณสดใสดูสะอาดสะอ้าน สวมอาภรณ์ แพรไหมปักลายดอกโบตั๋นสีชาดเดินก้าวขาจังหวะสั้น ๆ เข้ามา และได้นั่งคุกเข่าลงใกล้ ๆ กันกับซ่งเฉาเกา โดยมีระยะห่างเพียงแค่หนึ่งช่วงแขน
"ข้าน้อยเยี่ยชิงเซียว ธิดาของเยี่ยอ๋อง ขอแสดงความเคารพต่อศาลและเจ้ากรมศาลยุติธรรม"
เจ้ากรมศาลพยักหน้าตอบรับในการแสดงความเคารพของอีกฝ่าย
ซ่งเฉาเกาหันขวับไปมองธิดาอ๋องด้วยสายตาประหลาดใจ
'เยี่ยชิงเซียว! นางมาที่นี่ทำไมกัน หรือว่านางจะมาช่วยข้าและช่วยเยี่ยอ๋องงั้นรึ!'
แม้แต่ฟ่งหลันหลั่นเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเยี่ยชิงเซียวมาปรากฏตัวขึ้นที่ศาลในเวลานี้
'เยี่ยชิงเซียวงั้นรึ! เรื่องนี้แม้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเสด็จลุง แต่เมื่อสิบปีก่อน นางเองก็คงยังเป็นแค่เด็กสาวอยู่ ดูไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องได้ หรือว่านางต้องการมาช่วยแก้ต่างให้กับบิดาและคนของเขากันนะ'
ด้านหลงอี้หลิง เขายังคงวางตัวนิ่งขรึมดูสงบเยือกเย็นไร้ความกังวลใด ๆ เผยออกมาให้เห็นเช่นเดิม
จากนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่า เจ้ากรมศาลยุติธรรมก็ไม่รอช้า เริ่มทำการไต่สวนต่อทันที
"เยี่ยชิงเซียว เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการเป็นพยานเอาผิดกับคนที่ได้ก่อเรื่องร้ายไว้เมื่อสิบปีก่อน ใช่หรือไม่!"
ธิดาอ๋องหันไปชำเลืองมองยังฟ่งหลันหลั่นกับแม่ทัพหนุ่มและได้สบตากับคนทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนที่นางจะหันกลับมาจ้องหน้าชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวและอาฆาตเคียดแค้น
โดยที่อีกฝ่ายยังคงมองใบหน้านางด้วยสายตาฉงนสงสัยระคนแปลกใจ
จากนั้นธิดาอ๋องก็ได้เบนสายตาของตัวเองกลับมายังตรงกลางศาล และตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นใจ
"ใช่! ข้าต้องการเป็นพยานให้กับคดีของพระตำหนักต้องห้าม เพื่อเอาผิดคนร้ายให้ได้รับการลงโทษทัณฑ์อย่างสาสมกับความชั่วที่ได้ทำเอาไว้"
ซ่งเฉาเกาได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ปะทุความโกรธออกมา พร้อมกับปฏิเสธอย่างร้อนรนใจ
"ใต้เท้าได้โปรดอย่าไปฟังเรื่องที่นางผู้นี้กล่าวมานะขอรับ คดีนั้นเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนั้นนางเองก็ยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยอยู่ด้วยซ้ำ แล้วคำพูดของนางจะเชื่อถือได้เยี่ยงไรกัน"
จากนั้นเขาก็หันไปต่อว่าธิดาอ๋องอย่างเดือดดาล
"เยี่ยชิงเซียว! หากเจ้าโกรธเคืองข้า ในเรื่องที่ข้าเคยหลงรักเจ้าหัวปักหัวปำ ถึงขนาดไปสู่ขอเจ้ากับท่านอ๋อง เรื่องนั้นข้าขอโทษเจ้าด้วย หรือหากเจ้ายังโกรธแค้นที่ข้าเคยพูดจาลวนลามเจ้า ข้ายินดีรับโทษในส่วนนั้นเช่นกัน แต่ในเรื่องนี้..เจ้าไม่ควรที่จะกล่าวความเท็จใส่ร้ายข้าต่อหน้าศาลอันศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้"
ธิดาอ๋องเห็นท่าทางลนลานร้อนรนใจราวกับหมาจนตรอกของซ่งเฉาเกา จนไม่เหลือสภาพความหยิ่งยโสและท่าทางอวดดีที่เขามักวางอำนาจต่อหน้านางและคนอื่น ๆ แม้มันจะมีอยู่แค่น้อยนิดก็ตาม และเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายสิ้นท่าอับจนหนทางหนีรอดไปได้ นางก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และกล่าวยอกย้อนประชดประชันเสียดสีเขากลับไปอย่างเย้ยหยัน
"หึ! น่าขันเสียจริง อดีตขุนนางขั้นสาม ผู้ที่มักทำตัวหยิ่งยโส อวดดีและชอบวางอำนาจอันน้อยนิดในการเหยียบย่ำข่มเหงรังแกผู้อื่นมาเนิ่นนาน ในวันนี้กลับสิ้นท่า มีสภาพไม่ต่างจากหมาจนตรอก ถึงขนาดยอมสารภาพความเลวของตนที่ซ่อนไว้ตั้งนานมาออกจนได้ ทว่าช่างน่าสมเพชเสียจริง ข้า...ไม่ใช่คนดีผู้ที่จะยอมอภัยให้เจ้าได้อย่างง่ายดายเสียด้วยสิ"
ซ่งเฉาเกาได้ฟังคำพูดเสียดสีประชดประชันทิ่มแทงใจจากธิดาอ๋อง เขาก็บันดาลโทสะขึ้นอย่างเดือดดาล จนถึงขนาดลุกขึ้นยืนและกระโจนเข้าไปหวังทำร้ายนาง
สองมืออันไร้เรี่ยวแรงพยายามบีบรัดลำคอเรียวยาวของหญิงสาวอย่างขึงขัง
เยี่ยชิงเซียวก็พยายามปัดป้องมือเขาเพื่อปกป้องตัวเองอย่างแข็งขืนเช่นกัน
ฟ่งหลันหลั่นกับหลงอี้หลิงเห็นเช่นนั้น ต่างฝ่ายก็ขยับตัวพร้อมกันทันที เพื่อหวังจะเข้าไปช่วยหญิงสาว แต่พอเห็นผู้คุมศาลพุ่งเข้าไปหาคนทั้งสองถึงสามนาย พวกเขาจึงหยุดชะงัก และยืนดูเหตุการณ์ต่อไป
แค่ก แค่ก
เยี่ยชิงเซียวลูบบนลำคอของตัวเองเล็กน้อย เพราะตอนถูกมือของอีกฝ่ายบีบรัดแน่น นางได้ขาดอากาศหายใจไปชั่วครู่หนึ่งซึ่งสังเกตได้จากรอยนิ้วแดงปื้นที่เกิดขึ้นบนลำคอของนาง
เจ้าหน้าที่ศาลได้เข้ามาดูอาการของธิดาอ๋องและพอเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงได้แจ้งต่อเจ้ากรมศาลให้ทราบ
ส่วนทางด้านซ่งเฉาเกา ตอนนี้เขาก็ถูกผู้คุมศาลสองคนยืนขนาบข้าง โดยเอามือเข้าไขว้ไปทางด้านหลังและผู้คุมศาลทั้งสองใช้ไม้โบยหลังดันหลังเขาคนละข้างและออกแรงกดตัวเขาลงบนพื้น เพื่อไม่ให้เจ้าตัวขยับเขยื้อนได้อีก
แม้ว่าเขาจะพยายามออกแรงดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายและเสียเวลาไปมากกว่านี้ เจ้ากรมศาลยุติธรรมจึงได้นำหลักฐานทั้งหมดออกมา พร้อมทั้งการให้ปากคำจากพยาน ซึ่งก็คือเยี่ยชิงเซียว
ไม่นาน เขาก็อ่านรายละเอียดต่อหน้าทุกคนจนเสร็จเรียบร้อย
ในขณะที่คนอื่น ๆ ยืนฟังอย่างตั้งใจ ฟ่งหลันหลั่นก็ได้แต่ทนอดกลั้นสะกดอารมณ์โกรธและความแค้นที่มันฝังลึกในใจเอาไว้ข้างใน เพราะแม้ว่านางอยากจะฆ่าชายผู้นี้ให้ตายตกไปตามบิดาด้วยมือของนางเอง แต่นางก็ไม่อาจจะทำตามใจตนเองได้ เพราะไม่งั้น นางก็คงไม่ต่างอะไรจากพวกเขา
บ้านมีกฎบ้าน
เมืองมีกฎเมือง
ด้วยเหตุนี้สตรีน้อยจึงทนยืนฟังนิ่ง ๆ และรอความยุติธรรมคืนให้กับทุกคนที่สูญเสียชีวิตไป
หลงอี้หลิงยังคงกุมมือของสตรีอันเป็นที่รักและบีบรัดให้กำลังใจนางเป็นช่วง ๆ เขาเข้าใจและรับรู้ในความเจ็บปวดนั้นของสตรีน้อยเป็นอย่างดี และภูมิใจในตัวนางเป็นยิ่งนัก ที่เจ้าตัวยอมรับฟังในเหตุผลของเขา และยอมสงบสติอารมณ์ของตนได้ดีขนาดนี้
จากนั้นผู้ช่วยก็ได้นำเอกสารไปวางลงตรงหน้าของอดีตขุนนางขั้นสาม เพื่อให้เขาได้ลงนาม ยอมรับสารภาพในความผิดของตนที่ได้กระทำไว้
ทันทีที่จำเลยอ่านเอกสารตรงหน้าจบ เขาก็นั่งคอตกสีหน้าแววตาเผยความสิ้นหวังออกมา และไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ และปฏิกิริยาที่เขาเผยให้เห็นในตอนนี้ คงจะเป็นคำตอบได้ดี
นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลก็ได้นำแท่นหมึกและพู่กันออกมาวางลงตรงหน้าของซ่งเฉาเกา จากนั้นก็ถอดโซ่ตรวนที่มือของเขาออก เพื่อให้เจ้าตัวสะดวกลงลายมือชื่อยอมรับสารภาพผิด
อดีตขุนนางขั้นสามยืนมือไปหยิบพู่กันไม้ตรงหน้า มือของเขาสั่นระริก และร่างกายก็สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่เขากำลังลงลายมือชื่อนั้น หูของเขาก็ได้ยินเสียงสาปแช่งก่นด่าและคำสมน้ำหน้าจากผู้คนในศาล
เพราะทุกคนที่มาร่วมฟังการพิจารณาตัดสินคดีในวันนี้ ล้วนต่างก็เคยถูกเขาเอาเปรียบและข่มเหงเหยียบย่ำมาก่อนนั่นเอง
เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อรับสารภาพเสร็จเรียบร้อย เจ้ากรมศาลยุติธรรมก็ได้ประกาศผลลงโทษคนทำผิด
"ซ่งเฉาเกา เจ้าเป็นถึงขุนนางขั้นสามซึ่งได้รับการแต่งตั้งและได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ ให้ช่วยดูแลทุกข์สุขของประชาชน เจ้าไม่เพียงไม่ทำตาม แต่เจ้ายังใช้อำนาจบาตรใหญ่ของตน เที่ยวไปข่มเหงรังแกและเอาเปรียบคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าตน มิหนำซ้ำความผิดใหญ่หลวงของเจ้าอีกหนึ่งเรื่อง คือเจ้าได้ร่วมมือกับเยี่ยอ๋องบังอาจวางแผนร้ายลอบสังหารองค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน พร้อมกับอยู่เบื้องหลังการวางยาพิษเพื่อปลิดชีพองค์หญิงอวี้หลัน และยังสั่งฆ่าผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั้นทุกคน..."
เจ้ากรมศาลยุติธรรมหยุดพักเว้นช่วงหายใจครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
"...การกระทำของเจ้า มันช่างอำมหิตและเลือดเย็นยิ่งนัก ชีวิตย่อมชดใช้ด้วยชีวิต เจ้าเข่นฆ่าผู้คนราวผักปลาไร้จิตเมตตา ตามกฎหมายของบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่น ข้าในฐานะเจ้ากรมศาลยุติธรรม ขอสั่งตัดสินลงโทษเจ้าด้วยโทษทัณฑ์สูงสุด นั่นคือการประหารชีวิต จากนั้นให้นำหัวไปเสียบประจานไว้บนกำแพงเมือง ส่วนร่างกายก็ให้เอาไปโยนทิ้งไว้นอกกำแพงเมือง เพื่อเป็นอาหารของแร้งกา"
เมื่อสิ้นคำตัดสินจบลง ซ่งเฉาเกาได้ฟังแล้วเขาก็เนื้อตัวอ่อนยวบลงอย่างหมดแรงทันที และหัวเราะเสียงดังขึ้นมาราวกับคนเสียสติอยู่หลายครั้ง
ฮะ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า....
"ขนาดตายไปแล้ว ข้าก็ยังไม่มีแม้แต่ผืนดินกลบหน้าสักเม็ดเลยสินะ"
ทุกคนที่ได้ฟังคำตัดสินคดีจากเจ้ากรมศาลยุติธรรม ต่างก็พากันคิดว่าโทษทัณฑ์นี้เหมาะสมแล้วต่อความผิดของเขาที่ได้กระทำไว้
รวมทั้งหลงอี้หลิงก็เช่นกัน
ส่วนเยี่ยชิงเซียว นางยังมีความแค้นส่วนตัวอีกอย่างหนึ่งกับซ่งเฉาเกา นางจึงได้หันไปกล่าวเยาะเย้ยถากถางเขาอย่างสะใจ
"โทษตัดหัวเสียบประจานสำหรับเจ้ามันยังนับว่าน้อยเกินไป เจ้าสมควรถูกสับอย่างละเอียดเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาไปให้หมูหมากินน่าจะสาสมมากกว่ากับความเลวของเจ้า"
นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่ แววตาเศร้าเจ็บปวด ระคนกับความโกรธเกรี้ยวในใจ จากนั้นก็ได้กล่าวต่อ
"...บิดาของข้าคอยสนับสนุนอุ้มชูเกื้อกูลเจ้ามานาน แต่เจ้ากลับทรยศท่าน และหันไปร่วมมือกับหยวนจูวเย่ผู้นั้น มิหนำซ้ำเจ้ายังตั้งใจแทงท่านพ่อเพื่อหวังจะฆ่าเขาให้ตายในคราวเดียว หากทำได้วันนี้ข้าเองก็อยากจะฆ่าเจ้าให้ตายด้วยมือของข้าเช่นกัน"
ธิดาอ๋องยืนกัดฟันกรอด ๆ ในขณะที่พูดกับอีกฝ่ายแววตาของนางที่จ้องมองเข้า ราวกับว่านางอยากจะฉีกเลือดฉีกเนื้อของเขาให้ตายเสียตรงนี้
ซ่งเฉาเกานั่งนิ่งฟังอยู่นาน จู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นราวกับคนขาดสติอีกครั้ง
ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า...
"เยี่ยชิงเซียว...บิดาของเจ้าก็เลวไม่ต่างจากข้านักหรอก เจ้าเองก็รู้เรื่องนั้นดีแก่ใจมิใช่รึ! และแม้แต่ตัวเจ้าเอง ก็เลวไม่ต่างจากพวกเราเช่นกัน ช่างน่าสมเพชนัก อุตส่าห์เฝ้าหลงรักเจ้าหลงอี้หลิงผู้นั้นมาตั้งแต่เด็ก สุดท้าย...เจ้าก็ไม่ได้หัวใจของเขามาครอบครองอยู่ดี ทำได้แค่เพียงเป็นสุนัขที่นั่งมองเนื้อแต่ไม่ได้กิน"
เขาหยุดพูดและพ่นลมหายใจออกทางจมูกเล็กน้อย ด้วยท่านั่งซังกะตาย
เฮอะ...
"แถมคนที่เจ้านั่นเลือกกลับเป็นญาติผู้น้องของตนเสียอีก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงข้าตายเป็นผีไปแล้วข้าก็จะกลับมาอยู่ข้างกายของเจ้าไปตลอดกาล"
พูดจบซ่งเฉาเกาพรวดพราดลุกขึ้นยืนและเอี้ยวตัวหันไปทางด้านข้าง พร้อมกับเอื้อมมือไปชักดาบของผู้คุมศาลที่เหน็บไว้ข้างเอวออกมาถือไว้
หลงอี้หลิงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เขาก็กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม เขาจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปยืนขวางเยี่ยชิงเซียวไว้อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องนาง
"ท่านแม่ทัพ" เยี่ยชิงเซียวเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความดีใจ
ด้านฟ่งหลันหลั่นยังคงยืนนิ่งสงบและใจเย็นอยู่ ส่วนคนอื่น ๆ ในห้องนั้นต่างก็พากันตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
ซ่งเฉาเกาหันมามองทางหลงอี้หลิงและเยี่ยชิงเซียวด้วยแววตาสิ้นหวัง ระคนกับความอาฆาตเคียดแค้น สลับกันไปมา
จู่ ๆ อดีตขุนนางขั้นสามก็เผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวกับเยี่ยชิงเซียว
"เยี่ยชิงเซียวรอข้าก่อนนะ แล้วข้าจะกลับมาอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างแน่นอน"
พูดจบเขาก็กดแรงลงบนมือทำให้คมบาดลำคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา และในจังหวะที่เขาจึงดึงมีดเพื่อหวังเชือดคอตัวเองนั้น
หลงอี้หลิงก็ได้ซัดพลังใส่เข้าที่ตัวดาบอย่างรวดเร็ว จนดาบได้หลุดออกจากมือของซ่งเฉาเกาและกระเด็นไปตกอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก
เคร้ง!
ผู้คุมศาลเห็นเช่นนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหยิบดาบขึ้นมา และมาเหน็บไว้ที่ข้างเอวของเขาเช่นเดิม
"หลงอี้หลิง เจ้ามาขวางไว้ข้าทำไมกัน" ซ่งเฉาเกาหันไปชี้หน้าและตวาดเสียงดังใส่หน้าแม่ทัพหนุ่มอย่างเกรี้ยวกราด
แต่ไม่ทันที่หลงอี้หลิงจะตอบก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายอย่างทันทีทันใด
ลูกหินเล็ก ๆ ได้ลอยพุ่งมาโดยไม่รู้ทิศทางและซัดเข้าไปโดนจุดสำคัญบนลำตัวของซ่งเฉาเกาอย่างรวดเร็ว
วินาทีต่อมาเลือดก็ได้ไหลออกมาจากทหารทั้งห้าของเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทุกคนเห็นดังนั้นต่างก็พากันตกใจ และยืนงงเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้
ทันใดนั้นเอง เรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น และวินาทีต่อมาจู่ ๆ ร่างกายของซ่งเฉาเกาก็ระเบิดขึ้นจากภายใน
ตู้ม!
แผละ!
อวัยวะร่างกายทุกชิ้นส่วน รวมทั้งเนื้อหนังและเลือดของเขาได้แตกกระจายกระเด็นกระดอนไปทั่วทุกทิศทาง
คราบเลือดเปรอะเปื้อนตามร่างกายและเสื้อผ้าของทุกคน โดยเฉพาะ ผู้คุมศาลคนที่ยืนติดกับเขา แดงฉานเลือดโชกไปทั่วใบหน้าและลำตัว แม้กระทั่งเศษชิ้นเนื้อยังคงติดอยู่ตามเส้นผมและเสื้อผ้าของเขา
ภาพในศาลยุติธรรมที่เกิดขึ้นตอนนี้ ช่างน่าสะอิดสะเอียนและน่าขยะแขยง เห็นแล้วชวนให้อาเจียนยิ่งนัก
ยกเว้นหลงอี้หลิง เขาเอี้ยวตัวหันหลบได้ทันการณ์ และได้โอบกอดเยี่ยชิงเซียวเอาไว้ทัน จึงช่วยนางไว้ได้เช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยชิงเซียวรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ทัพหนุ่ม นางจึงได้แต่ยืนอมยิ้มหวานอย่างมีความสุขภายใต้ร่างกายอันแข็งแรงของอีกฝ่าย โดยนางไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังอลหม่านวุ่นวายอยู่รอบข้างในเวลานี้
ทว่ากลับมีหนึ่งคนที่ไม่มีแม้แต่คราบเลือดหรือเศษชิ้นเนื้อของซ่งเฉาเกาสัมผัสร่างกายเลยสักนิด นั่นคือฟ่งหลันหลั่น เพราะนางได้ไปถอยไปยืนแอบอยู่ทางด้านหลังผ้าม่านของศาลตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ล่วงหน้ามาก่อน ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
สตรีน้อยโผล่ใบหน้างามสะสวยของตนยื่นออกมาตรงริมผ้าม่านเล็กน้อย สายตาทอดมองออกไปดูเหตุการณ์ตรงกลางศาล จากนั้นพลันแสยะยิ้มขึ้น เรือนร่างอรชรสั่นระริกตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคออย่างสะใจ
หึ ๆ ...
"ซ่งเฉาเกา! เจ้าร่วมมือกับเยี่ยอ๋องฆ่าท่านพ่อ และวางแผนใช้ผงปลิดวิญญาณในการพรากชีวิตของข้า เช่นนั้นเจ้าก็สมควรตายด้วยสิ่งนั้น มันถึงจะสาสมกัน"
....
เซียงไค 盛開