webnovel

ข้ากลายเป็นสาวใช้ของแม่ทัพหนุ่ม

องค์หญิงอวี้หลัน องค์หญิงน้อยผู้แสนอาภัพ แห่งแคว้นโหย่ว ในวัยเพียงแปดชันษา พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมที่แสนเศร้าและเจ็บปวด ทั้งการกลั่นแกล้ง ใส่ความให้ร้ายของเหล่าคนรอบกาย เพื่อหวังจะยึดครองตำแหน่งองค์หญิงสุดที่รักจากท่านอ๋องใหญ่บิดาของนาง ซึ่งเป็นถึงองค์ รัชทายาทของแคว้นโหยว ความโชคร้ายไม่จบสิ้น มีคนร้ายได้ลอบวางยาพิษลงในสระน้ำส่วนตัวขององค์หญิงน้อย ทำให้นางต้องจบชีวิตลงในชั่วพริบตาที่สูดดมกลิ่นหอมพิษ ซึ่งโชยขึ้นมากับไอน้ำ ก่อนที่จะสิ้นใจตายพระนางได้อธิษฐานว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่ ตนก็ปรารถนาเกิดเป็นคนธรรมดา แม้จะไม่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่ร่ำรวยเงินทองอย่างที่เคยเป็น ก็ยินดีเช่นนั้น และแล้ว องค์หญิงน้อยก็ได้สิ้นพระทัยลงต่อหน้าธารกำนัลทุกคน ตลอดช่วงชีวิตที่มีมา องค์หญิงน้อยพบว่าไม่เคยมีใครสักคนที่รักนางจริงแม้แต่คนเดียว แต่พระนางคิดผิด... สิบปีผ่านไป องค์หญิงผู้แสนอาภัพ ได้มีชีวิตใหม่ในนาม ฟ่งหลันหลั่น หญิงสาวชาวยุทธ์ทั่วไป แม้ฝีมือด้านวิทยายุทธ์จะไม่เก่งกาจมากนัก แต่นางนั้นเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและคุณธรรมหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ด้วยนิสัยรักความยุติธรรมมากเกินไป นางจึงมักเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่หลายครั้ง จนมีครั้งหนึ่ง ฟ่งหลันหลั่นได้เกิดพลาดพลั้งเสียทีให้กับศัตรูที่ตามมาแก้แค้น หนึ่งในคนพวกนั้นได้ใช้อาวุธลับ ซัดใส่นางเองจนนางถูกพิษชนิดหนึ่งเข้า และทำให้สูญเสียวรยุทธ์ไปชั่วคราว พอรู้สึกตัวอีกที ฟ่งหลันหลั่นก็ได้กลายมาเป็นสาวใช้คนใหม่ของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหย่ว แม่ทัพใหญ่ของจวนนี้คือ หลงอี้หลิง ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงเลื่องลือเกรียงไกรด้านการรบ นามของเขานั้นเป็นที่โจษจันและเกรงกลัวของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก หลงอี้หลิง ได้ใช้พลังหยินในตัวของเขา ช่วยขับพิษในกายให้ฟ่ง-หลันหลั่น และได้เผลอเปิดจุดลมปราณที่เคยถูกสกัดไว้ให้นางด้วย ทำให้ความทรงจำที่เคยหายไปกลับคืนมา องค์หญิงอวี้หลันทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของตนได้ทั้งหมด ว่าตนไม่ได้ตายอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นเพราะพระองค์พยายามลบความทรงจำที่เจ็บปวดเลวร้ายนั้นให้หายไป เมื่อองค์หญิงน้อยอวี้หลันจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ จึงอยากที่จะเอาคืนทุกคนที่เคยทำร้ายนาง แต่ด้วยต้องแลกความทรงจำให้กลับมา ด้วยการที่ต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปโดยถาวร ทำให้ต้องตกเป็นหน้าที่ของหลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่ผู้คลั่งรักต้องออกโรง ช่วยแก้แค้นแทนและทวงคืนความยุติธรรมให้กับสาวใช้ของตน เรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไง หลงอี้หลิง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยว จะช่วยฟ่งหลันหลั่นหรือองค์อวี้หลัน แก้แค้นและทวงความยุติธรรมได้หรือไม่ ต้องมาติดตามไปพร้อม ๆ กัน

Anastazia23_Boss · Histoire
Pas assez d’évaluations
91 Chs

ตอนที่ ๘๕ การไต่สวนพิจารณาคดีของซ่งเฉาเกา

ที่ทำการศาลกรมยุติธรรม

 หลังจากที่เจ้ากรมศาลยุติธรรมได้สั่งลูกน้องสืบหาหลักฐานเพื่อมัดตัวเอาผิดเหล่าคนที่ทำผิด และวันที่จะต้องตัดสินความก็มาถึง

 ยามซื่อ[1]ของวันนี้ศาลยุติธรรมได้เปิดศาลเพื่อเริ่มทำการไต่สวนคนผิด

 "เปิดศาล" 

 เจ้าหน้าที่ของศาลส่งเสียงพูดดังลั่นขึ้นก้องไปทั่วศาล พร้อมกันลากหางเสียงยาว เพื่อป่าวประกาศบอกให้ทั้งคนด้านในและด้านนอกที่มารอดูการไต่สวนครั้งนี้ได้ยินโดยทั่วกัน

 เวลาต่อมา ผู้ที่ถูกนำตัวมาเข้าไต่สวนเป็นคนแรก ก็คือ ซ่งเฉาเกา

[1] ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 - 10.59 น.

 ชายวัยกลางคนค่อนข้างสูงวัย ผมเผ้าปล่อยยาวยุ่งเหยิงรุงรัง ใบหน้าซีดตอบหมองคล้ำดูไร้ราศี เขาสวมชุดนักโทษสีขาวขุ่น ดูสกปรกและเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง มือและขาทั้งสองข้างถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้อย่างแน่นหนา 

 ในขณะที่เขาเดินตามผู้คุมเข้ามาภายในศาล เขาก็เหลือบมองไปทางด้านข้าง และได้เห็นฟ่งหลันหลั่นกำลังยืนเคียงข้างแม่ทัพหนุ่มไม่ห่างกาย

 ทันทีที่นักโทษนั่งคุกเข่าลงบนพื้นต่อหน้าศาล เจ้ากรมยุติธรรมก็วางตราประทับของศาลบนโต๊ะอย่างแรง เพื่อต้องการแสดงอำนาจและหวังข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามให้เกิดความเกรงกลัวต่อศาล

 ปัง!

 "นักโทษ คนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางศาลนี้คือผู้ใด" น้ำเสียงเข้มขึงขัง วางอำนาจอยู่ในทีกล่าวถามดังขึ้น

 ชายผู้ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ก็ได้กล่าวตอบห้วน ๆ "ข้าน้อยซ่งเฉาเกา"

 เมื่อเจ้ากรมยุติธรรมได้ยินชื่อของคนผู้นั้น เขาก็เอื้อมมือไปหยิบเอกสารตรงเบื้องหน้าขึ้นมาเปิดดู 

 เวลาผ่านไปเล็กน้อย เขาก็วางสิ่งนั้นลงที่เดิมและเงยหน้าขึ้นมองนักโทษอีกครั้ง

 "ซ่งเฉาเกา เจ้าทำความผิดไว้อย่างใหญ่หลวงนัก เมื่อครั้งในอดีต เจ้าได้ร่วมมือกับเยี่ยอ๋อง ลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน รวมถึงอยู่เบื้องหลังการสิ้นพระชนม์ขององค์น้อยอวี้หลัน หลักฐานและพยานทั้งหมดอยู่ในมือของข้าแล้ว เจ้าจะยอมรับผิดนั้นหรือไม่"

 ชายที่ถูกล่ามโซ่ตรวนทั้งมือและเท้า ได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและตอบสวนอย่างไม่คิด

 "ใต้เท้า ข้าน้อยขอปฏิเสธในข้อกล่าวหานั้น!"

 เจ้ากรมยุติธรรมได้ฟังคำปฏิเสธเสียงแข็งจากจำเลย ด้วยความโกรธ เขาจึงหยิบตราประทับของศาลวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงอีกครั้ง เพื่อเป็นการย้ำเตือนอีกฝ่ายถึงอำนาจในมือของเขา

 ปัง!

 "บังอาจ! หลักฐานแน่นหนาและสามารถมัดตัวเจ้าได้ขนาดนี้ เจ้ายังกล้าที่จะปฏิเสธศาลอย่างงั้นรึ!"

 เจ้ากรมยุติธรรมตวาดเสียงกร้าวถามกลับไปจนอีกฝ่ายสะดุ้งตัวโหยงตกใจเล็กน้อย 

 "ใต้เท้า เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นมานานนับสิบกว่าปีแล้ว ผู้คนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ก็ล้วนได้ตายไปหมดแล้ว ท่านจะกล่าวออกมาได้มั่นใจเยี่ยงไรกันว่ามีทั้งหลักฐานและพยานเพื่อมาเอาผิดตัวข้า"

 ซ่งเฉาเกากล่าวโต้แย้งอย่างหน้าตาเฉย เพราะเขามั่นใจว่าเจ้ากรมยุติธรรมไม่มีหลักฐานเอาผิดเขาในเรื่องนี้ได้

 จากนั้นเขาได้ชำเลืองมองไปยังฟ่งหลันหลั่นด้วยสายตาเย้ยหยัน พร้อมทั้งเผยรอยยิ้มเยาะเย้นถากถางนางอย่างจงใจ

 'องค์หญิงอวี้หลัน! คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ตายตกไปตามกันแล้ว ถึงจะมีหลักฐานหลงเหลืออยู่บ้าง หากไม่มีพยาน เจ้าก็ไม่มีวันที่จะเอาผิดข้าได้'

 ด้านฟ่งหลันหลั่นยืนฟังคำโต้แย้งของซ่งเฉาเกา ที่กำลังโต้เถียงออกมาต่อหน้าศาลอย่างไร้ซึ่งความสำนึกผิด 

 นางยืนกำหมัดแน่นและจ้องหน้ากลับด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวอย่างสุดระงับ ความแค้นและความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในอก มันแทบจะทะลุออกมานอกหน้าอก และอยากพุ่งกระโจนเข้าฉีกเลือดฉีกเนื้อของเขาแยกออกเป็นชิ้น ๆ เสียตอนนี้ให้ได้ 

 และในขณะที่สตรีน้อยเผยอริมฝีปากบางขึ้น พร้อมกับขยับลำแขนเรียวเล็กได้เล็กน้อย 

 แม่ทัพหนุ่มก็ได้เอื้อมมือของเขาไปกุมมือของนางและกดแขนของอีกฝ่ายลงแนบลำตัวเช่นเดิม พร้อมกับส่ายหน้าเพื่อห้ามปรามเจ้าตัวไว้ 

 สตรีน้อยจึงจำใจต้องข่มใจและสะกดกลั้นอารมณ์ของตนเอาไว้อย่างขมขื่น

 เมื่อหลงอี้หลิงปรามคนของตนให้สงบอารมณ์ใจลงได้แล้ว เขาก็หันหน้าไปทางเจ้ากรมศาลยุติธรรมและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุม ใจเย็น

 "ใต้เท้า หากจำเลยผู้นี้ยังไม่ยอมรับสารภาพผิด ข้าอยากขอให้ท่านเบิกตัวพยานสำคัญออกมาด้วยเถิด"

 เจ้ากรมศาลยุติธรรมได้ฟังคำเสนอแนะของแม่ทัพหนุ่ม เขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย คล้ายกับว่าทุกอย่างได้ถูกเตรียมการมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเรียบร้อยแล้ว

 จากนั้นเจ้ากรมศาลยุติธรรมก็หันไปออกคำสั่งกับเจ้าหน้าที่เสียงดังก้องไปทั่วศาล

 "ผู้คุม เบิกตัวพยานสำคัญพร้อมกับหลักฐานได้!"

 "ขอรับ"

 เจ้าหน้าที่ศาลก็ขานรับด้วยน้ำเสียงเข้มขึงขัง ดังก้องไปทั่วศาลจนไปถึงด้านนอกศาลเช่นกัน

 "เบิกตัวพยานได้" (ลากหากเสียงยาว)

 ทุกคนภายในศาลที่มาร่วมฟังการตัดสินคดีในครั้งนี้ ต่างก็พากันเลิ่กลั่กหันซ้ายแลขวา และเริ่มส่งเสียงซุบซิบพูดคุยกันอย่างสงสัยและแปลกระคนกัน จนเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นภายในศาลแห่งนั้น 

 ในระหว่างที่ร่วมฟังคำไต่สวนคดี เจ้ากรมศาลยุติธรรมเห็นเช่นนั้น เขาจำเป็นต้องแสดงอำนาจเพื่อห้ามปรามพวกเขา ที่ไม่เคารพต่อศาล 

 ตราประทับของศาลถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ดังก้องไปทั่วศาลเป็นครั้งที่สาม

 ปัง!

 ชาวบ้านที่กำลังยืนซุบซิบกันอยู่ตกใจจนสะดุ้งตัวโหยง

 "บังอาจ! ไม่ว่าผู้ใด เมื่ออยู่ต่อหน้าศาลทุกคนจะต้องสำรวม หากใครไม่ยอมทำตามกฎแต่โดยดี ข้าจะสั่งให้ผู้คุมศาลมาลากตัวออกคนผู้นั้นไปลงโทษโบยหลังทันที"

 เมื่อเจ้ากรมศาลยุติธรรมประกาศกร้าวดังก้องไปทั่วศาลเช่นนั้น ชาวบ้านที่ยืนซุบซิบกันอยู่ก่อนหน้านี้ต่างก็พากันเงียบเสียงลง และยืนก้มหน้าตัวสั่นไปตาม ๆ กัน

 ไม่นานผู้คุมศาลก็ได้พาตัวพยานคนสำคัญเดินเข้ามาด้านใน

 สตรีผู้มีใบหน้าสะสวย ผิวพรรณสดใสดูสะอาดสะอ้าน สวมอาภรณ์ แพรไหมปักลายดอกโบตั๋นสีชาดเดินก้าวขาจังหวะสั้น ๆ เข้ามา และได้นั่งคุกเข่าลงใกล้ ๆ กันกับซ่งเฉาเกา โดยมีระยะห่างเพียงแค่หนึ่งช่วงแขน

 "ข้าน้อยเยี่ยชิงเซียว ธิดาของเยี่ยอ๋อง ขอแสดงความเคารพต่อศาลและเจ้ากรมศาลยุติธรรม"

 เจ้ากรมศาลพยักหน้าตอบรับในการแสดงความเคารพของอีกฝ่าย 

 ซ่งเฉาเกาหันขวับไปมองธิดาอ๋องด้วยสายตาประหลาดใจ 

  'เยี่ยชิงเซียว! นางมาที่นี่ทำไมกัน หรือว่านางจะมาช่วยข้าและช่วยเยี่ยอ๋องงั้นรึ!'

 แม้แต่ฟ่งหลันหลั่นเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเยี่ยชิงเซียวมาปรากฏตัวขึ้นที่ศาลในเวลานี้

  'เยี่ยชิงเซียวงั้นรึ! เรื่องนี้แม้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเสด็จลุง แต่เมื่อสิบปีก่อน นางเองก็คงยังเป็นแค่เด็กสาวอยู่ ดูไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องได้ หรือว่านางต้องการมาช่วยแก้ต่างให้กับบิดาและคนของเขากันนะ'

 ด้านหลงอี้หลิง เขายังคงวางตัวนิ่งขรึมดูสงบเยือกเย็นไร้ความกังวลใด ๆ เผยออกมาให้เห็นเช่นเดิม

 จากนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่า เจ้ากรมศาลยุติธรรมก็ไม่รอช้า เริ่มทำการไต่สวนต่อทันที

 "เยี่ยชิงเซียว เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการเป็นพยานเอาผิดกับคนที่ได้ก่อเรื่องร้ายไว้เมื่อสิบปีก่อน ใช่หรือไม่!"

 ธิดาอ๋องหันไปชำเลืองมองยังฟ่งหลันหลั่นกับแม่ทัพหนุ่มและได้สบตากับคนทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนที่นางจะหันกลับมาจ้องหน้าชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวและอาฆาตเคียดแค้น

 โดยที่อีกฝ่ายยังคงมองใบหน้านางด้วยสายตาฉงนสงสัยระคนแปลกใจ

 จากนั้นธิดาอ๋องก็ได้เบนสายตาของตัวเองกลับมายังตรงกลางศาล และตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นใจ

 "ใช่! ข้าต้องการเป็นพยานให้กับคดีของพระตำหนักต้องห้าม เพื่อเอาผิดคนร้ายให้ได้รับการลงโทษทัณฑ์อย่างสาสมกับความชั่วที่ได้ทำเอาไว้" 

 ซ่งเฉาเกาได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ปะทุความโกรธออกมา พร้อมกับปฏิเสธอย่างร้อนรนใจ

 "ใต้เท้าได้โปรดอย่าไปฟังเรื่องที่นางผู้นี้กล่าวมานะขอรับ คดีนั้นเกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนั้นนางเองก็ยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยอยู่ด้วยซ้ำ แล้วคำพูดของนางจะเชื่อถือได้เยี่ยงไรกัน"

 จากนั้นเขาก็หันไปต่อว่าธิดาอ๋องอย่างเดือดดาล

 "เยี่ยชิงเซียว! หากเจ้าโกรธเคืองข้า ในเรื่องที่ข้าเคยหลงรักเจ้าหัวปักหัวปำ ถึงขนาดไปสู่ขอเจ้ากับท่านอ๋อง เรื่องนั้นข้าขอโทษเจ้าด้วย หรือหากเจ้ายังโกรธแค้นที่ข้าเคยพูดจาลวนลามเจ้า ข้ายินดีรับโทษในส่วนนั้นเช่นกัน แต่ในเรื่องนี้..เจ้าไม่ควรที่จะกล่าวความเท็จใส่ร้ายข้าต่อหน้าศาลอันศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้"

 ธิดาอ๋องเห็นท่าทางลนลานร้อนรนใจราวกับหมาจนตรอกของซ่งเฉาเกา จนไม่เหลือสภาพความหยิ่งยโสและท่าทางอวดดีที่เขามักวางอำนาจต่อหน้านางและคนอื่น ๆ แม้มันจะมีอยู่แค่น้อยนิดก็ตาม และเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายสิ้นท่าอับจนหนทางหนีรอดไปได้ นางก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และกล่าวยอกย้อนประชดประชันเสียดสีเขากลับไปอย่างเย้ยหยัน

 "หึ! น่าขันเสียจริง อดีตขุนนางขั้นสาม ผู้ที่มักทำตัวหยิ่งยโส อวดดีและชอบวางอำนาจอันน้อยนิดในการเหยียบย่ำข่มเหงรังแกผู้อื่นมาเนิ่นนาน ในวันนี้กลับสิ้นท่า มีสภาพไม่ต่างจากหมาจนตรอก ถึงขนาดยอมสารภาพความเลวของตนที่ซ่อนไว้ตั้งนานมาออกจนได้ ทว่าช่างน่าสมเพชเสียจริง ข้า...ไม่ใช่คนดีผู้ที่จะยอมอภัยให้เจ้าได้อย่างง่ายดายเสียด้วยสิ"

 ซ่งเฉาเกาได้ฟังคำพูดเสียดสีประชดประชันทิ่มแทงใจจากธิดาอ๋อง เขาก็บันดาลโทสะขึ้นอย่างเดือดดาล จนถึงขนาดลุกขึ้นยืนและกระโจนเข้าไปหวังทำร้ายนาง 

 สองมืออันไร้เรี่ยวแรงพยายามบีบรัดลำคอเรียวยาวของหญิงสาวอย่างขึงขัง

 เยี่ยชิงเซียวก็พยายามปัดป้องมือเขาเพื่อปกป้องตัวเองอย่างแข็งขืนเช่นกัน

 ฟ่งหลันหลั่นกับหลงอี้หลิงเห็นเช่นนั้น ต่างฝ่ายก็ขยับตัวพร้อมกันทันที เพื่อหวังจะเข้าไปช่วยหญิงสาว แต่พอเห็นผู้คุมศาลพุ่งเข้าไปหาคนทั้งสองถึงสามนาย พวกเขาจึงหยุดชะงัก และยืนดูเหตุการณ์ต่อไป

 แค่ก แค่ก 

 เยี่ยชิงเซียวลูบบนลำคอของตัวเองเล็กน้อย เพราะตอนถูกมือของอีกฝ่ายบีบรัดแน่น นางได้ขาดอากาศหายใจไปชั่วครู่หนึ่งซึ่งสังเกตได้จากรอยนิ้วแดงปื้นที่เกิดขึ้นบนลำคอของนาง

 เจ้าหน้าที่ศาลได้เข้ามาดูอาการของธิดาอ๋องและพอเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงได้แจ้งต่อเจ้ากรมศาลให้ทราบ 

 ส่วนทางด้านซ่งเฉาเกา ตอนนี้เขาก็ถูกผู้คุมศาลสองคนยืนขนาบข้าง โดยเอามือเข้าไขว้ไปทางด้านหลังและผู้คุมศาลทั้งสองใช้ไม้โบยหลังดันหลังเขาคนละข้างและออกแรงกดตัวเขาลงบนพื้น เพื่อไม่ให้เจ้าตัวขยับเขยื้อนได้อีก 

 แม้ว่าเขาจะพยายามออกแรงดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผล

 ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายและเสียเวลาไปมากกว่านี้ เจ้ากรมศาลยุติธรรมจึงได้นำหลักฐานทั้งหมดออกมา พร้อมทั้งการให้ปากคำจากพยาน ซึ่งก็คือเยี่ยชิงเซียว 

 ไม่นาน เขาก็อ่านรายละเอียดต่อหน้าทุกคนจนเสร็จเรียบร้อย

 ในขณะที่คนอื่น ๆ ยืนฟังอย่างตั้งใจ ฟ่งหลันหลั่นก็ได้แต่ทนอดกลั้นสะกดอารมณ์โกรธและความแค้นที่มันฝังลึกในใจเอาไว้ข้างใน เพราะแม้ว่านางอยากจะฆ่าชายผู้นี้ให้ตายตกไปตามบิดาด้วยมือของนางเอง แต่นางก็ไม่อาจจะทำตามใจตนเองได้ เพราะไม่งั้น นางก็คงไม่ต่างอะไรจากพวกเขา 

 บ้านมีกฎบ้าน 

 เมืองมีกฎเมือง

 ด้วยเหตุนี้สตรีน้อยจึงทนยืนฟังนิ่ง ๆ และรอความยุติธรรมคืนให้กับทุกคนที่สูญเสียชีวิตไป

 หลงอี้หลิงยังคงกุมมือของสตรีอันเป็นที่รักและบีบรัดให้กำลังใจนางเป็นช่วง ๆ เขาเข้าใจและรับรู้ในความเจ็บปวดนั้นของสตรีน้อยเป็นอย่างดี และภูมิใจในตัวนางเป็นยิ่งนัก ที่เจ้าตัวยอมรับฟังในเหตุผลของเขา และยอมสงบสติอารมณ์ของตนได้ดีขนาดนี้

 จากนั้นผู้ช่วยก็ได้นำเอกสารไปวางลงตรงหน้าของอดีตขุนนางขั้นสาม เพื่อให้เขาได้ลงนาม ยอมรับสารภาพในความผิดของตนที่ได้กระทำไว้

 ทันทีที่จำเลยอ่านเอกสารตรงหน้าจบ เขาก็นั่งคอตกสีหน้าแววตาเผยความสิ้นหวังออกมา และไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ และปฏิกิริยาที่เขาเผยให้เห็นในตอนนี้ คงจะเป็นคำตอบได้ดี

 นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลก็ได้นำแท่นหมึกและพู่กันออกมาวางลงตรงหน้าของซ่งเฉาเกา จากนั้นก็ถอดโซ่ตรวนที่มือของเขาออก เพื่อให้เจ้าตัวสะดวกลงลายมือชื่อยอมรับสารภาพผิด

 อดีตขุนนางขั้นสามยืนมือไปหยิบพู่กันไม้ตรงหน้า มือของเขาสั่นระริก และร่างกายก็สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา 

 ในขณะที่เขากำลังลงลายมือชื่อนั้น หูของเขาก็ได้ยินเสียงสาปแช่งก่นด่าและคำสมน้ำหน้าจากผู้คนในศาล 

 เพราะทุกคนที่มาร่วมฟังการพิจารณาตัดสินคดีในวันนี้ ล้วนต่างก็เคยถูกเขาเอาเปรียบและข่มเหงเหยียบย่ำมาก่อนนั่นเอง

 เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อรับสารภาพเสร็จเรียบร้อย เจ้ากรมศาลยุติธรรมก็ได้ประกาศผลลงโทษคนทำผิด

 "ซ่งเฉาเกา เจ้าเป็นถึงขุนนางขั้นสามซึ่งได้รับการแต่งตั้งและได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ ให้ช่วยดูแลทุกข์สุขของประชาชน เจ้าไม่เพียงไม่ทำตาม แต่เจ้ายังใช้อำนาจบาตรใหญ่ของตน เที่ยวไปข่มเหงรังแกและเอาเปรียบคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าตน มิหนำซ้ำความผิดใหญ่หลวงของเจ้าอีกหนึ่งเรื่อง คือเจ้าได้ร่วมมือกับเยี่ยอ๋องบังอาจวางแผนร้ายลอบสังหารองค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน พร้อมกับอยู่เบื้องหลังการวางยาพิษเพื่อปลิดชีพองค์หญิงอวี้หลัน และยังสั่งฆ่าผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั้นทุกคน..."

 เจ้ากรมศาลยุติธรรมหยุดพักเว้นช่วงหายใจครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ

 "...การกระทำของเจ้า มันช่างอำมหิตและเลือดเย็นยิ่งนัก ชีวิตย่อมชดใช้ด้วยชีวิต เจ้าเข่นฆ่าผู้คนราวผักปลาไร้จิตเมตตา ตามกฎหมายของบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่น ข้าในฐานะเจ้ากรมศาลยุติธรรม ขอสั่งตัดสินลงโทษเจ้าด้วยโทษทัณฑ์สูงสุด นั่นคือการประหารชีวิต จากนั้นให้นำหัวไปเสียบประจานไว้บนกำแพงเมือง ส่วนร่างกายก็ให้เอาไปโยนทิ้งไว้นอกกำแพงเมือง เพื่อเป็นอาหารของแร้งกา"

 เมื่อสิ้นคำตัดสินจบลง ซ่งเฉาเกาได้ฟังแล้วเขาก็เนื้อตัวอ่อนยวบลงอย่างหมดแรงทันที และหัวเราะเสียงดังขึ้นมาราวกับคนเสียสติอยู่หลายครั้ง

 ฮะ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า....

 "ขนาดตายไปแล้ว ข้าก็ยังไม่มีแม้แต่ผืนดินกลบหน้าสักเม็ดเลยสินะ"

 ทุกคนที่ได้ฟังคำตัดสินคดีจากเจ้ากรมศาลยุติธรรม ต่างก็พากันคิดว่าโทษทัณฑ์นี้เหมาะสมแล้วต่อความผิดของเขาที่ได้กระทำไว้ 

 รวมทั้งหลงอี้หลิงก็เช่นกัน

 ส่วนเยี่ยชิงเซียว นางยังมีความแค้นส่วนตัวอีกอย่างหนึ่งกับซ่งเฉาเกา นางจึงได้หันไปกล่าวเยาะเย้ยถากถางเขาอย่างสะใจ

 "โทษตัดหัวเสียบประจานสำหรับเจ้ามันยังนับว่าน้อยเกินไป เจ้าสมควรถูกสับอย่างละเอียดเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาไปให้หมูหมากินน่าจะสาสมมากกว่ากับความเลวของเจ้า"

 นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่ แววตาเศร้าเจ็บปวด ระคนกับความโกรธเกรี้ยวในใจ จากนั้นก็ได้กล่าวต่อ

 "...บิดาของข้าคอยสนับสนุนอุ้มชูเกื้อกูลเจ้ามานาน แต่เจ้ากลับทรยศท่าน และหันไปร่วมมือกับหยวนจูวเย่ผู้นั้น มิหนำซ้ำเจ้ายังตั้งใจแทงท่านพ่อเพื่อหวังจะฆ่าเขาให้ตายในคราวเดียว หากทำได้วันนี้ข้าเองก็อยากจะฆ่าเจ้าให้ตายด้วยมือของข้าเช่นกัน"

 ธิดาอ๋องยืนกัดฟันกรอด ๆ ในขณะที่พูดกับอีกฝ่ายแววตาของนางที่จ้องมองเข้า ราวกับว่านางอยากจะฉีกเลือดฉีกเนื้อของเขาให้ตายเสียตรงนี้

 ซ่งเฉาเกานั่งนิ่งฟังอยู่นาน จู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นราวกับคนขาดสติอีกครั้ง 

 ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า...

 "เยี่ยชิงเซียว...บิดาของเจ้าก็เลวไม่ต่างจากข้านักหรอก เจ้าเองก็รู้เรื่องนั้นดีแก่ใจมิใช่รึ! และแม้แต่ตัวเจ้าเอง ก็เลวไม่ต่างจากพวกเราเช่นกัน ช่างน่าสมเพชนัก อุตส่าห์เฝ้าหลงรักเจ้าหลงอี้หลิงผู้นั้นมาตั้งแต่เด็ก สุดท้าย...เจ้าก็ไม่ได้หัวใจของเขามาครอบครองอยู่ดี ทำได้แค่เพียงเป็นสุนัขที่นั่งมองเนื้อแต่ไม่ได้กิน"

 เขาหยุดพูดและพ่นลมหายใจออกทางจมูกเล็กน้อย ด้วยท่านั่งซังกะตาย

 เฮอะ...

 "แถมคนที่เจ้านั่นเลือกกลับเป็นญาติผู้น้องของตนเสียอีก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงข้าตายเป็นผีไปแล้วข้าก็จะกลับมาอยู่ข้างกายของเจ้าไปตลอดกาล"

 พูดจบซ่งเฉาเกาพรวดพราดลุกขึ้นยืนและเอี้ยวตัวหันไปทางด้านข้าง พร้อมกับเอื้อมมือไปชักดาบของผู้คุมศาลที่เหน็บไว้ข้างเอวออกมาถือไว้

 หลงอี้หลิงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เขาก็กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม เขาจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปยืนขวางเยี่ยชิงเซียวไว้อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องนาง

 "ท่านแม่ทัพ" เยี่ยชิงเซียวเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความดีใจ

 ด้านฟ่งหลันหลั่นยังคงยืนนิ่งสงบและใจเย็นอยู่ ส่วนคนอื่น ๆ ในห้องนั้นต่างก็พากันตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

 ซ่งเฉาเกาหันมามองทางหลงอี้หลิงและเยี่ยชิงเซียวด้วยแววตาสิ้นหวัง ระคนกับความอาฆาตเคียดแค้น สลับกันไปมา

 จู่ ๆ อดีตขุนนางขั้นสามก็เผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวกับเยี่ยชิงเซียว

 "เยี่ยชิงเซียวรอข้าก่อนนะ แล้วข้าจะกลับมาอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างแน่นอน"

 พูดจบเขาก็กดแรงลงบนมือทำให้คมบาดลำคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา และในจังหวะที่เขาจึงดึงมีดเพื่อหวังเชือดคอตัวเองนั้น

 หลงอี้หลิงก็ได้ซัดพลังใส่เข้าที่ตัวดาบอย่างรวดเร็ว จนดาบได้หลุดออกจากมือของซ่งเฉาเกาและกระเด็นไปตกอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก

 เคร้ง!

 ผู้คุมศาลเห็นเช่นนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหยิบดาบขึ้นมา และมาเหน็บไว้ที่ข้างเอวของเขาเช่นเดิม

 "หลงอี้หลิง เจ้ามาขวางไว้ข้าทำไมกัน" ซ่งเฉาเกาหันไปชี้หน้าและตวาดเสียงดังใส่หน้าแม่ทัพหนุ่มอย่างเกรี้ยวกราด 

 แต่ไม่ทันที่หลงอี้หลิงจะตอบก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายอย่างทันทีทันใด

 ลูกหินเล็ก ๆ ได้ลอยพุ่งมาโดยไม่รู้ทิศทางและซัดเข้าไปโดนจุดสำคัญบนลำตัวของซ่งเฉาเกาอย่างรวดเร็ว

 วินาทีต่อมาเลือดก็ได้ไหลออกมาจากทหารทั้งห้าของเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 ทุกคนเห็นดังนั้นต่างก็พากันตกใจ และยืนงงเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้

 ทันใดนั้นเอง เรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น และวินาทีต่อมาจู่ ๆ ร่างกายของซ่งเฉาเกาก็ระเบิดขึ้นจากภายใน

 ตู้ม!

 แผละ!

 อวัยวะร่างกายทุกชิ้นส่วน รวมทั้งเนื้อหนังและเลือดของเขาได้แตกกระจายกระเด็นกระดอนไปทั่วทุกทิศทาง 

คราบเลือดเปรอะเปื้อนตามร่างกายและเสื้อผ้าของทุกคน โดยเฉพาะ ผู้คุมศาลคนที่ยืนติดกับเขา แดงฉานเลือดโชกไปทั่วใบหน้าและลำตัว แม้กระทั่งเศษชิ้นเนื้อยังคงติดอยู่ตามเส้นผมและเสื้อผ้าของเขา

 ภาพในศาลยุติธรรมที่เกิดขึ้นตอนนี้ ช่างน่าสะอิดสะเอียนและน่าขยะแขยง เห็นแล้วชวนให้อาเจียนยิ่งนัก

 ยกเว้นหลงอี้หลิง เขาเอี้ยวตัวหันหลบได้ทันการณ์ และได้โอบกอดเยี่ยชิงเซียวเอาไว้ทัน จึงช่วยนางไว้ได้เช่นกัน

 นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยชิงเซียวรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ทัพหนุ่ม นางจึงได้แต่ยืนอมยิ้มหวานอย่างมีความสุขภายใต้ร่างกายอันแข็งแรงของอีกฝ่าย โดยนางไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังอลหม่านวุ่นวายอยู่รอบข้างในเวลานี้

 ทว่ากลับมีหนึ่งคนที่ไม่มีแม้แต่คราบเลือดหรือเศษชิ้นเนื้อของซ่งเฉาเกาสัมผัสร่างกายเลยสักนิด นั่นคือฟ่งหลันหลั่น เพราะนางได้ไปถอยไปยืนแอบอยู่ทางด้านหลังผ้าม่านของศาลตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ 

 แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ล่วงหน้ามาก่อน ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

 สตรีน้อยโผล่ใบหน้างามสะสวยของตนยื่นออกมาตรงริมผ้าม่านเล็กน้อย สายตาทอดมองออกไปดูเหตุการณ์ตรงกลางศาล จากนั้นพลันแสยะยิ้มขึ้น เรือนร่างอรชรสั่นระริกตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคออย่างสะใจ

 หึ ๆ ...

 "ซ่งเฉาเกา! เจ้าร่วมมือกับเยี่ยอ๋องฆ่าท่านพ่อ และวางแผนใช้ผงปลิดวิญญาณในการพรากชีวิตของข้า เช่นนั้นเจ้าก็สมควรตายด้วยสิ่งนั้น มันถึงจะสาสมกัน"

....

เซียงไค 盛開