ตอนที่ 680 เสียงมรณะ
“นายน้อย การที่ท่านปลอมตัวเป็นเขาเช่นนี้ หมายความว่ามีแผนการอยู่ในหัวแล้วใช่หรือไม่?” ฉานนู่ถามด้วยรอยยิ้ม
กู่ฉิงซานก้มลงมองซากศพของวังเฉิง ขมวดคิ้วมุ่น “นี่มันเป็นการลอบสังหารที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว นั่นหมายความว่ายังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ดังนั้น หากข้าที่ปลอมเป็นเขาเดินดุ่มๆ ออกไปภายนอกเพียงลำพัง เกรงว่ามันอาจจะนำไปสู่ปัญหามากมายที่จะตามมา ถึงเวลานั้นถ้าจะแก้มันคงยาก”
“เช่นนั้นพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่ถาม
“เจ้าจะไม่ช่วยข้าคิดหาทางออกสักหน่อยหรือ?” กู่ฉิงซานถามกลับ
“นายน้อย ท่านล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องยากๆ แบบนี้ ต้องเป็นท่านต่างหากถึงจะเหมาะสม”
“แล้วเจ้าเล่า?”
“ข้าเป็นแค่ดาบ ข้ามีหน้าที่รับฟังและคอยทำตามคำสั่งของนายน้อยเท่านั้น”
“…เฮ้อ”
“เหตุใดนายน้อยถึงถอนหายใจ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมานิดหน่อย”
ในเวลานั้นเอง เสียงเอะอะจากภายนอกซากยานก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“นายน้อย ช่วยคิดให้เร็วกว่านี้จะได้หรือไม่ มิฉะนั้นพวกเราคงไม่มีทางอื่นนอกจากกระโจนออกไปฆ่าพวกเขา”
กู่ฉิงซานมองไปยังฉานนู่ที่แม้ปากจะกล่าวแบบนั้น แต่กายกลับยังคงดูสงบและผ่อนคลาย ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉานนู่ เจ้าจงใช้วิชาลี้ลับ แล้วแปลงตนเป็นวังเฉิงแทนข้าเสีย”
“อ้าว? แล้วนายน้อยเล่า?”
“ข้าจะแปลงกายกลับเป็นตัวเอง”
ฉานนู่คิดและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว นายน้อยต้องการใช้ฐานะสมาชิกสมาคมกำปั้นเหล็กของตัวเอง แสร้งทำเป็นปกป้องวังเฉิงใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่แบบนั้น” กู่ฉิงซานหัวเราะ “ตอนนี้แบรี่กับเสี่ยวเหมียวกำลังปกป้องโลกของข้าอยู่ ข้าไม่สามารถให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้”
“แต่ด้วยชื่อเสียงของสมาคมกำปั้นเหล็ก มันก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นะ” ฉานนู่เผยรอยยิ้มจางๆ
กู่ฉิงซานนำชุดเกราะนายพลชั้นเฉินเว่ยออกมา สวมทับปกคลุมทั่วร่างกาย ตามด้วยหน้ากากเกราะทองคำ
ใบหน้าของเขาถูกซ่อนไว้เบื้องหลังหน้ากาก
ในเวลานี้ เขาก็เอ่ยปาก “ฉานนู่ บางครั้งเราสามารถพึ่งพาผู้อื่นได้ก็จริง แต่พอบ่อยครั้งเข้า เจ้าจะค้นพบว่าความจริงแล้ว ตนต่างหากที่เป็นที่พึ่งแห่งตน”
“เหตุใดนายน้อยถึงกล่าวเช่นนั้น?”
“เพราะแบรี่น่ะมีศัตรูอยู่มากมาย ทำให้ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ต้องเฝ้ารอจนกระทั่งขาของตัวเองหายดี ขณะที่เวลานี้ข้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และความแข็งแกร่งของข้ายังคงต่ำเกินไป”
“ตรงกันข้าม ศัตรูของแบรี่จะต้องแข็งแกร่งมากกว่าข้าอย่างแน่นอน หากข้ากระโจนออกไป พร้อมกับสำแดงตนเป็นสมาชิกของสมาคม บางทีคนเหล่านั้นอาจจะใช้ข้าเป็นตัวแทนในการระบายความเกลียดชัง หรืออาจถึงขั้นลอบสังหารข้าเลยก็ได้”
“ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าชื่อเสียงใหญ่โต จะให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป เพราะในบางครั้ง มันก็มีแนวโน้มที่อาจถูกโยนเข้าไปในวังวนที่อันตรายยิ่งกว่า”
“ขอบคุณที่สอนสั่ง ว่าแต่นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรดี?”
ฉานนู่กลายเป็นสับสน
กู่ฉิงซาน “ในเมื่อวังเฉินเป็นผู้อัญเชิญภูตผี เช่นนั้นข้าก็จะรับบทบาทเป็นภูตที่ถูกอัญเชิญเอง”
….
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา
ภายนอกซากปรักหักพังของยานอวกาศ หลายกลุ่มย่อยที่รับผิดชอบในการค้นหา ทั้งหมดได้กลับมาแล้ว
ตรงทางแยกที่จะนำไปสู่ยานอวกาศหลัก ห้าร่างที่ดูคลุมเครือของนักรบห้าคน กำลังถูกตะโกนสั่งให้นำของที่ค้นเจอจากยานลำอื่นออกมาแสดงอย่างซื่อสัตย์
และคนที่เหมือนจะเป็นผู้นำ ก็คือคนที่ทั้งตัวเป็นสีฟ้า ตลอดทั้งร่างคล้ายกับหิน
เขาคือเจ้าหน้าที่ลำดับสองคนใหม่ มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่นๆ ภักดีต่อกัปตัน เนื่องจากลำดับสองคนล่าสุดถูกมอนสเตอร์มิติกินไป เลยก็เป็นตาของเขาที่ได้ขึ้นมารับตำแหน่งนี้แทน
ปัจจุบัน เขาค่อนข้างจะหงุดหงิดเล็กน้อย หันไปพูดกับคนข้างๆ “ไปดูหน่อยสิ ว่าทำไมซากยานอวกาศลำที่สองมันถึงยังไม่มีใครออกมาเลย”
“เอ่อพี่ใหญ่หยาน นั่นมันก็เป็นเพราะว่า…” ชายคนนั้นเปล่งเสียงกระซิบกับเขา
แต่พี่ใหญ่ก็ยังคงร้อนใจ “ฉันรู้เหตุผลหรอกน่า ว่ามันเพราะอะไร แต่ฉันไม่สามารถปล่อยเวลาให้มันล่าช้าเกินไปได้ บอสน่ะไม่สนใจชีวิตของพวกมดปลวกหรอก แต่ถ้าประสิทธิภาพในการทำงานของเราต่ำเกินไป แล้วยังปล่อยให้ช้าแบบนี้…เอาเป็นว่า นายเข้าไปช่วยเจ้าจางยี่มันหน่อยก็แล้วกัน”
“รับทราบ”
ภายใต้การสั่งการนี้ ประกายสังหารก็พลันวาบผ่านเข้ามาในสายตาของเขา
เขาโค้งกายคำนับเจ้าหน้าที่ลำดับสอง และเตรียมที่จะเดินเข้าไปในซากยานอวกาศลำที่สอง
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง
ปัง!
เสียงอู้อี้หนักทึบก็ดังมาจากซากยาน บานประตูถูกเปิดออก
วังเฉิงก้าวออกมา พร้อมกับชายในชุดเกราะดำ และหน้ากากเกราะทอง
“วังเฉิง!” บางคนร้องอุทานด้วยความตกใจ
“โอ้ ก็เป็นฉันเองน่ะสิ ทำไมพวกนายทุกคนถึงได้ดูประหลาดใจกันจัง?” วังเฉิงกล่าวเบาๆ
โดยไม่รีรอให้ลูกน้องของเขาพูด เจ้าหน้าที่ลำดับสองได้แหวกฝูงชน ก้าวออกมา
“วังเฉิง แล้วเมียนายกับจางยี่ล่ะ?” เขาเอ่ยถามเสียงจม
“ตายแล้ว” วังเฉิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจ้าหน้าที่ลำดับสองแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็กลับมาตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าวังเฉิงรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากแค่ไหน แต่ถ้าวังเฉิงล่วงรู้ทุกอย่างจากปากจางยี่แล้วล่ะก็ วังเฉิงจะต้องตรงไปหากัปตันแน่ๆ
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ วังเฉิงจะต้องถูกจัดการทันที และจะต้องไม่ปล่อยให้กัปตันล่วงรู้ว่า ตัวเขาในฐานะเจ้าหน้าที่ลำดับและลูกน้อง ได้ถูกจางยี่ซื้อตัวไปแล้ว!
ลำดับสองหัวเราะหยัน “ตายแล้ว? แสดงว่านายฆ่าพวกเขาสินะ จำได้ใช่ไหมว่ากฎของยานเรา การฆ่าพรรคพวกเดียวกัน ชีวิตย่อมต้องแลกด้วยชีวิต…ทุกคนจงไปฆ่าเขาเสีย!”
ทุกคนที่ได้รับคำสั่ง ปรี่ตรงเข้าหาวังเฉิงทันที
ดูจากท่าทีของเจ้าหน้าที่ลำดับสอง พวกเขาก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้
เจ้าหน้าที่ลำดับสองต้องการชีวิตของวังเฉิง!
ในช่วงเวลานี้ อีกฝ่ายน่ะมีแค่คนเดียว ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องระแวดระวัง หรือคิดกังวลจนมากเกินไปเกี่ยวกับมัน
คนของเจ้าหน้าที่ลำดับสอง กระทั่งทีมค้นหาทั้งหมดต่างก็โจมตีพร้อมกัน ใช้กำลังคนที่มากกว่าโถมเข้าสังหารชีวิตของวังเฉิง
ฝูงชนเฮเข้ามาจากทุกทิศทาง พวกเขาล้อมรอบวังเฉิง เรียกได้ว่าจากทั้งสามร้อยหกสิบองศา ปิดล้อมโจมตีชนิดไม่มีที่ให้หลีกลี้จากความตาย
วังเฉิงหัวเราะ ทว่ามิได้เคลื่อนไหว แต่เป็นชายในเกราะดำที่อยู่ข้างกายเขา ที่ชักดาบยาวออกมา
ดาบยาวกวาดรอบตัววังเฉิงเป็นวง กรีดตัดอากาศเป็นเส้นยาว
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของทุกผู้คน
นั่นเขาทำอะไรน่ะ? มันไม่เห็นจะโดนสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม ในพริบตาต่อมา อาวุธมากมายก็ร่วงตกลงกับพื้น สกิลถูกระงับ เทคนิคมนตรากระจัดกระจาย กำปั้นคลายลง
ทุกชนิดของการโจมตีสูญสิ้นกำลังของมันไปกลางคัน
ผู้คนพบว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองไป ยืนแข็งทื่ออยู่ในจุดเดิม มิอาจขยับเขยื้อนได้
ส่วนเจ้าหน้าที่ลำดับสอง ที่ข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย พลันตระหนักถึงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งร่างของเขาขยายตัวขึ้น และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ประกอบไปด้วยหินโดยสมบูรณ์
เคร้ง!
ดาบเช่าหยินสับผ่านอากาศ ประกายสายฟ้าวาบออกมา
“เห?” กู่ฉิงซานส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อย อีกฝ่ายสามารถแปลงเป็นหินได้อย่างกะทันหัน
และหินน่ะ มันไม่เพียงแต่จะไม่หวั่นเกรงต่อสายฟ้า แต่ยังไม่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต ส่งผลให้การระเบิดโจมตีที่เกิดจากการผสานรวมของสกิลล่าชีพไม่ได้ผล
ช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากจริงๆ
แต่ถึงลำดับสองจะรอด แต่คนอื่นน่ะไม่!
พวกมันที่คิดโจมตีฉัน จะต้องได้พบกับความเจ็บปวด!
ทั้งหมดล้มลงกับพื้น สิ้นสติไปทันที กู่ฉิงซานไม่ได้สังหารพวกเขาถึงตาย เพียงน็อกคนเหล่านี้ให้สลบไป
สำหรับเจ้าหน้าที่ลำดับสอง...
กู่ฉิงซานยิ้ม “ร่างนั่นมันน่าสนใจมากทีเดียว นับว่าช่วยเปิดหูเปิดตาได้ไม่เลวเลย”
เขายกดาบขึ้นและการฟาดฟันครั้งที่สองนี้ มันจะไม่ง่ายเหมือนกับในครั้งแรก!
ฉับพลันนั้นเอง เสียงแหบแห้งตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หยุดนะ!”
วู้ม...
บังเกิดลมกระโชกแรง กำแพงสายลมได้แยกตัวกู่ฉิงซานออกจากคนอื่นๆ
ชายคนหนึ่งที่สวมหมวกกัปตันปรากฏตัวขึ้นตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน เขามีแผ่นหลังที่โก่งและใหญ่ ตรงส่วนผมชุ่มด้วยน้ำมัน จมูกงองุ้มราวตะขอ คู่ดวงตาหรี่แคบจิกมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรู้จักบุคคลคนนี้
ตามความทรงจำของวังเฉิง เขารู้ดีว่าคนคนนี้คือกัปตันของยานอวกาศ และเป็นบอสของคนทั้งหมด
กัปตันจ้องเขม็งไปยังหลายคนที่นอนนิ่งกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงหม่น “วังเฉิง! นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?”
วังเฉิงเอ่ยเสียงเย็น “ก็คนอื่นๆ ต้องการจะฆ่าผม เลยเป็นธรรมดาที่ผมจะต่อต้าน”
กัปตันเพ่งมองอย่างระมัดรัวง เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ที่นอนอยู่บนพื้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ความตึงเครียดในหัวใจของเขาก็คลายลงอย่างช้าๆ
เขาชี้ไปทางกู่ฉิงซานแล้วเอ่ยถาม “แล้วไอ้หมอนั่นเป็นใคร?”
“กัปตัน ผมเป็นผู้อัญเชิญภูตผีนะ เขาก็ต้องเป็นภูตที่ผมเรียกมาอยู่แล้วน่ะสิ” วังเฉิงกล่าว
กัปตันเหลียวกลับไปมองเบื้องหลังตน
ท่ามกลางบรรดาชายนับสิบ หนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเงียบๆ กระซิบข้างหู “เป็นภูตจริงๆ แถมยังเป็นระดับราชาภูตด้วย”
เจ้าหน้าที่ลำดับสองใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เปลี่ยนกลับเป็นคน และกล่าวอีกครั้ง “กัปตัน! วังเฉิงเรียกภูตผีออกมา แล้วได้ฆ่าภรรยาของตัวเองกับจางยี่ นี่มันเป็นการละเมิดกฎของยาน!”
“กัปตัน เขาเพิ่งจะทำลายกฎของคุณไป แต่ยังปฏิเสธหัวชนฝาไม่ยอมรับผิด ดังนั้น ผมเลยสั่งให้ทุกคนจับตัวเขา” เจ้าหน้าที่ลำดับสองอธิบาย พลางสาดสายตามองวังเฉิงกับกู่ฉิงซานด้วยความเกลียดชัง ในหัวใจนึกคิด
‘บัดซบ!’
‘วังเฉิงมันไปหาภูตผีที่ร้ายกาจขนาดนี้มาได้อย่างไรกัน!’
‘ทั้งๆ ที่มันไม่สมควรจะรอดมาได้แท้ๆ…’
แรงกดดันของกัปตันแปรเปลี่ยนไป
“วังเฉิง! ฉันได้ตั้งกฎเอาไว้ตั้งนานแล้วนะ ว่าห้ามฆ่ากันเอง นี่แกพยายามที่จะแหกกฎของฉันหรือ?” เขากล่าวอย่างมืดมน
วังเฉิงหัวเราะขึ้นทันใด “กัปตัน พวกเขาต้องการจะฆ่าผมนะ จะไม่ให้ผมต่อต้านเลยหรือ?”
กัปตันนิ่งค้างไป
แล้วจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวในคราวนี้มันคงจะไม่ง่าย
ตอนนี้ คนทั้งลำเรือกำลังเฝ้าดูฉากนี้อยู่ ถ้าเขาจัดการไม่ดี เกรงว่ามันอาจเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ตามมา
“วังเฉิงไอ้บ้าเอ๊ย” กัปตันสบถ “ไม่ว่าจะนายหรือใครก็ตามที่กล้าหลอกฉัน ขอสาบานเลยว่ามันจบไม่สวยแน่”
เขาเอื้อมมือไปในอกเสื้อ แล้วหยิบเอานาฬิกาสีดำขนาดเล็กออกมาวางไว้ในมือ
กว่าจะได้นาฬิกาเรือนนี้มา เขาต้องจ่ายทรัพย์สมบัติออกไปมากมาย
“วังเฉิง ไหนลองเล่าเรื่องของนายมาอีกครั้งสิ แต่ฉันขอเตือนเลยนะ ว่าอย่าโกหก ไม่อย่างนั้น ‘เสียงมรณะ’ จะดังขึ้นทันที และขอสาบานเลยว่าถ้ามันดัง ฉันไม่เอานายไว้แน่!” กัปตันขู่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” วังเฉิงรับคำอย่างแผ่วเบา บอกเล่าเรื่องราวออกไป “ไป่หยูมันเป็นนังผู้หญิงราคาถูก มันสมรู้ร่วมคิดกับจางยี่ ติดสินบนคนมากมายเพื่อปกปิดการกระทำอันชั่วร้าย ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาค้นหา กำจัดสามีของตัวเอง นั่นแหละข้อเท็จจริงทั้งหมด!”
กัปตันก้มลงมองดูนาฬิกาดำในมือของเขา นาฬิกาดำมิได้ส่งเสียงแต่อย่างใด
กัปตันค่อยๆ ผ่อนคลายลง กลับกลายเป็นว่ามันคือความจริง เหตุผลที่วังเฉิงฆ่าคน นั่นก็เพราะเพื่อปกป้องตัวเอง
กัปตันเริ่มไตร่ตรอง เนื่องจากมันเป็นการป้องกันตัวเอง ฉะนั้นเรื่องนี้คงจัดการได้ไม่ยากจนเกินไป
“เอาล่ะ ในเมื่อมันเป็นความเข้าใจผิด ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้เรื่องราวมันจบลงแค่นี้เถอะ” กัปตันกล่าว
โดยไม่คาดคิด ภูตอัญเชิญที่ยืนอยู่ข้างกายวังเฉิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะบาดแหลมออกมา
เสียงหัวเราะนี้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของผู้คน ชวนให้ทั้งหมดรู้สึกอึดอัด
ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าทางฝั่งนั้นไม่ได้มีเพียงวังเฉิง แต่ยังมีภูตผีทรงพลังที่ถูกอัญเชิญมารวมอยู่ด้วย
ภูตผีที่โจมตีเพียงครั้งเดียว ก็สามารถโค่นหลายสิบคนลงได้ในเวลาเดียวกัน หากวังเฉิงไม่หยุดเอาไว้ เกรงว่าคนพวกนั้นคงตายไปแล้ว
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นไพ่ตายของวังเฉิง
ช่างน่าขันนัก ที่ไป่หยูกับจางยี่ไม่แม้แต่จะตระหนักได้ถึงไพ่ตายของศัตรู ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่จะลอบสังหารอีกฝ่าย
วังเฉิงหันไปมองภูตผีข้างตัวเอง ก่อนจะมองกลับมาที่กัปตัน
“กัปตัน ภูตของผมมีอะไรบางอย่างจะบอกคุณ” วังเฉิงกล่าว
“จะบอกอะไร?” กัปตันถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
“มันบอกว่า เมื่อครู่นี้เจ้าหน้าที่ลำดับสองต้องการจะฆ่าผม ตอนนี้เลยอยากจะขอร้องกัปตัน ให้สั่งเขาพูดความจริงออกมาสักสองสามประโยคบ้างจะได้หรือไม่?”
........................................