ตอนที่ 603 ปกป้อง
โดยที่ไม่ทันจะได้เตรียมตัวหรือเตรียมใจใดๆ สถานการณ์สงครามของผู้เข้าสู่วิถีมารก็พุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุด
ท่ามกลางการต่อสู้ที่แสนเข้มข้น ทุกชนิดของการโจมตีจากภูตผีและปีศาจสอดประสานกันไปมา ส่งผลให้แนวป้องกันของผู้เข้าสู่วิถีมารเริ่มที่จะแตกพ่าย
กำลังพลที่ถูกนำพามาจากโลกอื่นโดยกษัตริย์ปีศาจและราชาภูต เป็นกองทัพทรงพลังที่มากไปด้วยประสบการณ์ และเคยข้ามผ่านคมเหล็กและการนองเลือดมาแล้วมากมาย
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพวกเขา เป็นเพียงรุ่นเยาว์ที่พยายามจะใช้ประโยชน์จากระบบของราชามารเป็นทางลัดในการเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง และยังอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ
ทว่าในเวลานี้ ระบบของราชามารกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการยกระดับ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารได้
สถานการณ์เริ่มที่จะเอนเอียง
และชัยชนะก็ตกเป็นของโลกทั้งเจ็ดอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเก็บเกี่ยวชีวิตของผู้เข้าสู่วิถีมารมากขึ้น มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนที่พอจะฉลาดอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันชักจะไม่ท่า ตนก็เร่งซ่อนอยู่เบื้องหลังคนอื่นๆ และเริ่มหาหนทางรักษาชีวิต
ไม่นานนัก ผู้หลบหนีคนแรกก็ปรากฏขึ้น
เห็นแค่เพียงตัวเขาที่ฉีกม้วนคัมภีร์ ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างจะถูกอาบไปด้วยอักษรรูนโบราณ และถูกส่งออกไป
หลังจากแสงกะพริบไหว เขาก็หายตัวไปจากโลกใบนี้
แต่แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานย่อมสังเกตเห็นถึงฉากนี้ตั้งนานแล้ว ทว่าตัวเขาก็ไม่คิดเข้าไปก้าวก่ายใดๆ
“ช่างไร้เดียงสา” เขาส่ายหัว
หลังจากนั้นไม่ถึง สองลมหายใจ
ร่างของผู้หลบหนีก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ตกกระแทกเข้ากับพื้น
ตามด้วยร่างเงาที่งดงามผุดขึ้นมาจากตัวเขาอย่างช้าๆ
“หนุ่มน้อยที่แสนจะไร้เดียงสา ไม่รู้หรือว่าตั้งแต่ที่เจ้าอยู่ในพิสัยของทัณฑ์สวรรค์แล้ว กฎเกณฑ์ฟ้าดินย่อมไม่อนุญาตให้เจ้าหลบหนี และส่งพวกเรามารสวรรค์ไปขัดขวาง”
มารสวรรค์กล่าว ขณะเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ
วินาทีต่อมา ดวงตาของเธอก็สว่างวาบขึ้นทันใด
ไม่ไกลจากเธอ ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนที่ในจิตใจฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว กำลังที่จะหยิบอุปกรณ์ที่ใช้หลบหนีออกมา
มารสวรรค์หญิงเช็ดมุมปากของเธอ ร่างกายวูบไหว หายเข้าไปในความว่างเปล่าทันที
…
เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ
ช่วงเวลานี้ ในที่สุดสงครามก็มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว
ฝนเพลิงบนท้องฟ้าค่อยๆ มอดดับลง
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบนำกำลังรบของตนเดินกลับมายังหากู่ฉิงซาน
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้ แต่ตัวข้ากลับไม่ได้พกอะไรที่พอจะใช้ตอบแทนเจ้าได้เลย จะมีก็แค่สิ่งนี้ที่พอจะมอบให้ได้” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบกล่าว
มันหยิบตราสัญลักษณ์เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ออกมา และโยนไปทางกู่ฉิงซาน
“เจ้าสามารถขยี้ตราสัญลักษณ์นั่น และเข้ามายังโลกของข้าได้เลยโดยตรง เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้ข้าได้ต้อนรับเจ้าในฐานะแขกด้วยเถิด!”
แม้สิ่งนี้จะไม่ใช่ตราสัญญาณที่สามารถใช้สื่อสารกันได้ แต่มันก็นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
“อืม ขอบคุณเจ้ามาก” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพยักหน้าให้เขา ก่อนจะก้าวเข้าไปในความว่างเปล่า หายไปจากโลกใบนี้
อีกด้านหนึ่งของสนามรบ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ศพในบริเวณตำแหน่งนี้ได้หายไป
ชั้นเงาที่ทับซ้อนพื้นน้ำแข็งก็หายไปแล้วเช่นกัน บัดนี้บนพื้นน้ำแข็งว่างเปล่า เหลือทิ้งไว้เพียงสีแดงของเลือด
กษัตริย์อสูรเงาหยุดยืนอยู่ที่นั่น มันนิ่งอย่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงกลับมายังค่ายสัตว์ประหลาดผี
มันผุดขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็งเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“นี่สินะคำที่กล่าวว่า ‘อัธยาศัยดีเป็นต้นเหตุของความร่ำรวย’ แม้ว่าข้าจะโกรธเจ้าที่ทำลายร่างเงาของข้า แต่เจ้าก็ยังแลกเปลี่ยนกับข้าอย่างซื่อตรง ฉะนั้นตัวข้าเองก็สมควรที่จะปฏิบัติตามบ้างเช่นกัน”
กษัตริย์อสูรเงาเดินมาด้านข้างของกู่ฉิงซาน และขยับปากร่ายคาถาเบาๆ ลงบนแขนเขา
เปลวไฟสีทมิฬผุดออกมาจากแขนของกู่ฉิงซาน
นี่คือคำสาปที่จ้าวแห่งแดนชำระล้างสาปแช่งทิ้งไว้บนแขนของกู่ฉิงซาน ในตอนที่เขาอยู่ในโลกเบื้องล่างของสายพันธุ์เทพ
คำสาปแช่งนี้จะมีผลเมื่อกู่ฉิงซานตาย เมื่อเขาตาย จ้าวแห่งแดนชำระล้างจะตามรอยคำสาปนี้ เพื่อมารับเอาจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานไป
กษัตริย์อสูรเงาเอื้อมมือของมันไปยังเปลวไฟสีดำ
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็ถือเสียว่าสิ่งนี้เป็นรางวัลแด่ข้า ที่ช่วยถอนคำสาปให้แก่เจ้าจะได้หรือไม่?”
มันชี้ที่เปลวไฟสีดำและกล่าว
“ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเอามันไปเถอะ รีบเอาไปเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ
ก่อนหน้านี้ ตัวเขาได้ทดลองมาหลากหลายวิธีการแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกำจัดคำสาปนี้ออกไปได้
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่ากษัตริย์อสูรเงาจะมีวิธีกำจัดคำสาปนี้ลงได้ ดังนั้นในเมื่อเจ้าตัวเอ่ยปากขอ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดปฏิเสธ
หลังจากที่เปลวไฟสีดำไม่ได้อยู่กับตัวกู่ฉิงซาน จ้าวแห่งแดนชำระล้างก็จะไม่สามารถตามหาตัวเขาได้อีกต่อไป
กษัตริย์อสูรเงากุมเปลวไฟสีดำไว้ในมือ และพยักหน้าให้แก่กู่ฉิงซาน
“ลาก่อน”
“ลาก่อน”
กษัตริย์อสูรเงาจมลงไปในพื้นน้ำแข็งอย่างเงียบๆ และสุดท้ายก็หายตัวไป
อีกด้านหนึ่ง กษัตริย์อาชูร่าที่กำลังขี่ช้างเผือกตะโกนร่ำลากับกู่ฉิงซานจากระยะไกล
“ข้ายังมีธุระอื่นที่จะต้องไปจัดการ! เอาไว้หากมีเวลาว่างเว้นพวกเราค่อยกลับมาสนทนากันอีกครั้ง!”
เขาตะโกนเสียงดัง
หลังจากนั้นกษัตริย์อาชูร่าก็นำพากองทัพอันเกรียงไกรของเขาหายกลับเข้าไปในความว่างเปล่า
พวกเขายังมีสงครามกับโลกอื่นที่จะต้องไปจัดการ ดังนั้นเมื่อจบธุระที่นี่ พวกเขาจึงเร่งร้อนจากไปทันที
กษัตริย์ปีศาจทั้งสามได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก หลังจากที่ร่ำลากู่ฉิงซาน และบรรลุภารกิจตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็กลับไปยังโลกภูตผีของตน
แม่มารสวรรค์ร่อนลงมาจากฟากฟ้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกชัดเจนถึงความสุข
“ช่างเป็นงานเลี้ยงฉลองที่ยิ่งใหญ่นัก ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกสิ่งที่เจ้าตระเตรียมการเอาไว้ มันไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย”
เธอลดเสียงลงและกล่าวกระซิบ “ดังนั้น ข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าอยู่กับบุตรสาวแห่งข้า หลี่อัน อยู่กันตามลำพัง เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างใกล้ชิด”
โดยแม่มารเน้นย้ำหนักแน่นตรงคำว่า ‘ใกล้ชิด’
จากนั้น แม่มารก็ถอยกลับเข้าไปในความว่างเปล่า และจากไปอย่างเงียบๆ
มารสวรรค์ทั้งหมดก็จากไปกับเธอเช่นกัน
ภูตผี และปีศาจได้จากโลกใบนี้ไป
สักพักหนึ่ง
สายลมก็หยุดลง
โลกกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
มีเฉพาะเพียงเกล็ดหิมะเท่านั้นที่ยังคงร่วงโรยลงมา
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของค่ายสัตว์ประหลาดผี และหันไปมองรอบๆ
เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ได้กระจายไปแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีกเลย
จิตวิญญาณของสองร้อนล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร ได้ถูกแบ่งๆ กันออกไปโดยเหล่าภูตผีและปีศาจโดยสมบูรณ์
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของฉากนี้ ก็คงจะเป็นพื้นน้ำแข็งทั้งหมดที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
สายตาของกู่ฉิงซานกะพริบไหวอย่างกะทันหัน
เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงคราม
“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์สู่ร่างเทวะ ได้จบลงแล้ว”
ราวกับบางจุดในร่างกายถูกชำระล้าง แม้กระทั่งกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินก็ยังยอมรับมัน พลังวิญญาณในตันเถียนของกู่ฉิงซานพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในความรู้ความเข้าใจของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ทุกๆ ครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์สามารถยกระดับขอบเขตได้ อายุขัยของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ขีดจำกัดอายุยังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย
แน่นอนว่าอาชีพอื่นๆ ก็มีวิธีการเพิ่มอายุขัยของพวกเขาขึ้นเช่นกัน แต่นั่นก็แค่เฉพาะเพียงอายุขัยเท่านั้น
แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แท้จริงมันคือการวิวัฒนาการของรูปแบบชีวิตทั้งหมด
นั่นคือการได้รับพลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก จนอยู่เหนือกว่ากฎเกณฑ์
ดังนั้นฟ้าดินจึงจำต้องส่งโทษทัณฑ์ลงมา เพื่อเป็นการทดสอบผู้ฝึกยุทธ์
กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างรอบคอบ
ขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณสูงสุดขยายขึ้นเป็นหกร้อยแต้ม
ขณะที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่า
อายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองพันปี
อำนาจของจิตเทวะแข็งแกร่งขึ้น พิสัยของมันครอบคลุมไกลกว่าเดิมเป็นสองเท่า เวลานี้แม้กระทั่งเกล็ดหิมะบางเบามากมายที่ร่วงโรยลงมา เขาก็ยังสามารถตรวจจับถึงมันได้
“ขอบเขตร่างเทวะ...”
กู่ฉิงซานพึมพำด้วยอารมณ์
ในที่สุด...ในที่สุดเขาก็สามารถเดินตามรอยเท้าอาจารย์จนมาถึงตำแหน่งเดียวกันแล้ว!
ตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตร่างเทวะ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็บังเกิดแรงฉุดดึงขึ้น
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไป
เขาพลันนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง
“เช่าหยิน เจ้าจงรับหน้าที่คอยปกป้องข้า หากมีสถานการณ์ผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ข้ามี ช่วยปกป้องข้าได้เลยไม่ต้องลังเล” เขากล่าวอย่างรวดเร็ว
เช่าหยินผุดออกมาจากในความว่างเปล่า เปล่งเสียงฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง
ถัดมา กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลป้องกันขึ้นมา อันแล้วอันเล่า เริ่มจัดวางมัน
แสงสวรรค์สาดประกายออกมา
ในช่วงเวลาสั้นๆ ดิกส์ค่ายกลทั้งหมดก็ถูกเปิดใช้งานโดยสมบูรณ์!
กู่ฉิงซานโยนฟูกลงวาง แล้วนั่งลง
“ฉานนู่ ดาบพิภพ จงไปพร้อมกันกับดวงจิตของข้า!”
“เข้าใจแล้ว” ดาบพิภพกล่าว
“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ตอบรับ
กู่ฉิงซานปิดตาลง
ทันใดนั้นเอง แรงฉุดดึงอันทรงพลังก็ผุดออกมาจากในความว่างเปล่า
ดวงจิตของเขาผละออกจากกายเนื้อ และบินขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งเข้าสู่กระแสมิติอันโกลาหลโดยตรง
สองดาบบินไปตามจิตวิญญาณของเขาไปอย่างใกล้ชิด
ท่ามกลางพื้นน้ำแข็งและมหาสมุทร ความเงียบงันกลับคืนมาอีกครั้ง
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนฟูก ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ดวงตาปิดสนิท
ขณะที่เช่าหยินแขวนเด่นอยู่กลางอากาศ คอยปกปักอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ปรากฏถึงรังสีแสงดั่งดวงอาทิตย์แทรกเข้ามาในท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
ตามด้วยเสียงขับขานท่วงทำนองอันไพเราะของหญิงสาว
เห็นแค่เพียงเด็กสาวที่แสนงดงามในชุดดำบินออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า
เธอลอยมาตกลงหน้าค่ายสัตว์ประหลาดผี
“เอ๊ะ? ค่ายกลงั้นหรือ?”
เด็กสาวในชุดดำยื่นมือของเธอออกไปสัมผัสกับในอากาศที่ว่างเปล่าด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นแสงสวรรค์สีสดใสก็สว่างวาบออกจากมันทันที
“ถึงจะได้ผลกับตนอื่นๆ แต่สำหรับมารสวรรค์แล้ว...”
เด็กสาวในชุดดำยิ้ม และร่างก็เธอก็กะพริบไหว
เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในค่ายกองทัพ
เมื่อเข้ามา เธอก็เห็นถึงกู่ฉิงซานที่อยู่ตรงกันข้าม เด็กสาวชุดดำจึงเอ่ยถามเขาอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเพิ่งจะตัดผ่านมาได้ พักผ่อนสักเล็กน้อยแล้วค่อยรวบรวมขอบเขตมันจะไม่ดีกว่าหรือ?”
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานมิได้ตอบกลับไป
“ซูม...”
ดาบเช่าหยินจู่ๆ ก็เริ่มส่งเสียงกระหึ่มอย่างรวดเร็ว
มันลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
เด็กสาวชุดดำเลื่อนสายตาลงมามองมัน
“เจ้าดูให้ดีสิ นี่ข้าเอง ข้าหลี่อันไง” เด็กสาวชุดดำกล่าว
เธอลองขบคิด และเอ่ยต่อว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำอะไรกับเขาหรอก”
“อืม...”
เช่าหยินแม้จะส่งเสียงที่ดูลังเลออกมา แต่แท้จริงแล้วมันก็ยังไม่ยินยอมเปิดทางอยู่ดี
จักรพรรดินีหลี่อันตระหนักได้ถึงความผิดปกติในที่สุด
เธอจ้องมองกู่ฉิงซาน และตรวจสอบเขาอย่างระมัดระวัง
“หืม? จิตวิญญาณของเขาหายไป...ในสถานที่แบบนี้เนี่ยนะ? ทำแบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลย เขามีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน?” หลี่อันอุทาน
“ฉวัดเฉวียน!”
เช่าหยินผงกด้ามดาบลง
หลี่อันจึงค่อยเข้าใจ
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
เธอเอ่ยกับเช่าหยิน “ข้าเข้าใจ นี่คือช่วงเวลาที่กายมนุษย์ของเขาอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเจ้าเลยกำลังปกป้องเขาอยู่ใช่หรือไม่?”
ดาบเช่าหยินผงกด้ามของมันลงอีกครั้ง
หลี่อัน “งั้นก็วางใจเถอะ ข้าจะไม่ไปเข้าใกล้เขาแล้ว”
เธอโบกมือเรียกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา และนั่งลง
“ฉวัดเฉวียน?” เช่าหยินเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่เกรงว่าเจ้าเพียงลำพังจะปกป้องเขาได้ไม่ดีพอ ดังนั้นข้าจึงจะอยู่ที่นี่ คอยปกป้องเขาด้วยเช่นกัน” หลี่อันอธิบาย
เช่าหยินกลับคืนสู่ความเงียบ และไม่ได้ส่งเสียงอีกต่อไป
มันเริ่มที่จะยอมรับการกระทำของอีกฝ่าย
แต่มันก็ยังไม่ยินยอมออกจากไปข้างกายของกู่ฉิงซาน
ห่างออกไป หลี่อันนั่งลงตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
เธอพยายามรับรู้ทุกสิ่งรอบตัวอย่างระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน
เธอก็มั่นใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอบๆ แล้ว
หลี่อันจึงค่อยผ่อนคลายลง
เธอยิ้มกับตัวเองและพึมพำเบาๆ “มารสวรรค์กำลังปกป้องมนุษย์...เกรงว่าหากข้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง คงจะไม่มีใครเชื่อ”
แล้วเธอก็เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานโดยไม่รู้ตัว
พร้อมกับแววตาที่ค่อยๆ อ่อนโยนลง
แต่ในไม่ช้า เธอก็ตระหนักได้ถึงมันและเร่งส่ายหัวทันที
ดาบเช่าหยินเมื่อเห็นถึงฉากนี้
มันก็ย้อนนึกไปถึงคำสอนของดาบพิภพ
ในเวลาต่อมา ดาบเช่าหยินก็ผงกด้ามดาบเบาๆ ตัดสินใจได้ในที่สุด
แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะป้องกันภัย มันหายเข้าไปหลบอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ ไม่คิดเผยรูปอีกต่อไป
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เกล็ดหิมะมากมาย ยังคงตกลงมาเบาๆ จากท้องฟ้า
ในพื้นน้ำแข็งและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เลือดที่เอ่อนองสีแดงฉานค่อยๆ ถูกหิมะสีขาวกลบกลืนลงไป
ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง ทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว
โลกนี้ช่างเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว
มีแค่เพียงเด็กสาวชุดดำที่อยู่ในซากค่ายกองทัพ คอยเฝ้าระวังสถานการณ์โดยรอบอย่างจริงจัง
ในบางช่วงเวลา เธอก็มักจะเหลียวมองชายที่อยู่ตรงกันข้ามบ้างเป็นครั้งคราว
เธอยังคงอยู่ที่นี่
คอยปกป้องเขา
........................................................