ตอนที่ 463 แผนที่สมบูรณ์แบบ
ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย
อีกด้านหนึ่ง
ในช่วงที่ฉานนู่ไปปรากฏตัวต่อหน้าหวังหงษ์เต๋า
กู่ฉิงซานก็นำฉินรั่วและว่านเอ๋อมุ่งตรงไปยังส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า
สถานที่ซึ่งค่ายกลของตลอดทั้งนิกายกวงหยางถูกจัดวางเอาไว้ที่นี่
“การที่ค่ายกลสามารถปกคลุมทั่วทั้งเกาะได้ นั่นย่อมหมายความว่ามันจะต้องมีขนาดใหญ่มาก” ฉินรั่วกล่าว
“โดยปกติแล้ว จะต้องมีปรมาจารย์ค่ายกลอย่างน้อยสามคน จึงจะสามารถควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่นี้ได้” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริม
กู่ฉิงซานพยักหน้า จ้องมองดูค่ายกลขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางเรียงกันเป็นชั้นๆ
สีหน้าท่าทีของเขาค่อยๆ เริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง
“โชคดีจริงๆ ที่เราอยู่ภายในค่ายกลป้องกันอยู่ก่อนแล้ว มิฉะนั้น หากจักต้องบุกทำลายมันจากภายนอก ในระยะเวลาสั้นๆ มันคงยากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสรวงสวรรค์” กู่ฉิงซานกล่าว
ต้องไม่ลืมนะว่าความแตกฉานทางด้านค่ายกลของโลกใบนี้น่ะมันทรงประสิทธิภาพเพียงใด
ชุดค่ายกลป้องกันเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นชั้น เป็นชั้น แถมในแต่ละชั้นก็ยังมีค่ายกลเล็กๆ อยู่อีกกว่าหลายสิบค่าย
อธิบายเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอบ่งบอกได้แล้วว่ามันคงมิอาจทำลายได้โดยง่าย
กล่าวได้ว่าพวกมันสามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตได้เลยทีเดียว
ค่ายกลป้องกันทั้งหมดถูกจัดวางขึ้นอย่างแน่นหนา ตีวงล้อมเป็นทรงกลม คอยพิทักษ์ค่ายกลอื่นๆ ที่อยู่ภายใน
และนั่นคือค่ายขนาดใหญ่ที่สามารถซ่อมแซมค่ายกลในแต่ละกลุ่มได้
สามสิบหกค่ายกลซ่อมแซมอัตโนมัติถูกจัดวางเอาไว้ภายใน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเสียหายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และพร้อมทำงานตลอดเวลา
หากคุณทำลายหนึ่งในค่ายกลที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ลง ค่ายกลซ่อมแซมก็จักถูกเปิดใช้งาน เพื่อฟื้นฟูค่ายกลที่เกี่ยวข้องทันที
พวกมันจะทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อทำการซ่อมแซมค่ายกลที่ถูกทำลายไปโดยอัตโนมัติ
กล่าวได้ว่านี่คือการรังสรรค์ค่ายกลที่ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกล่องเวหา!
ด้วยพื้นฐานวรยุทธในด้านการจัดวางค่ายกลในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน เขาแทบจะไม่สามารถ ถอดรหัสค่ายกลเหล่านี้ได้เลย
แต่ถ้าจะให้นึกหาวิธีลบพวกมันออกไปแล้วล่ะก็ หากมีเวลาขบคิดอย่างช้าๆ ก็อาจจะพอทำได้
แต่ช้าๆ ที่ว่า บางทีอาจจะใช้เวลาหลายวัน หรือลากยาวไปถึงหลายสิบวัน!
ซึ่งเขาไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น
กู่ฉิงซานตรวจดูค่ายกลทั้งหมดเบื้องหน้า จนในหัวใจของเขามั่นใจ
เขาหันหน้าไปมองสองสาวใช้และกล่าว “มีบางสิ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลือ”
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวเป็นเสียงเดียว “นายน้อยโปรดพูด”
“ด้วยความรอบรู้ในด้านค่ายกลของข้าในขณะนี้ อาจจะซื้อเวลาได้ประมาณหนึ่งในสี่ชั่วยาม”
“หนึ่งในสี่ชั่วยาม?” ว่านเอ๋อย้อนคำด้วยความสงสัย
“ใช่ หลังจากที่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ถูกทำลายลง ค่ายกลซ่อมแซมเหล่านี้ก็จะเริ่มทำงานทันที และภายในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฉินรั่วเอ่ยถาม
“จงปกป้องที่นี่ และห้ามอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาเร่งเวลาในการซ่อมแซมค่ายกลเด็ดขาด”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะข้าแทบจะไม่อาจสัมผัสได้เลยว่ามีคนรอดชีวิตอยู่ที่เกาะนี้” ฉินรั่วกล่าว
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจหวังหงษ์เต๋า ไม่ไว้ใจเซ่าหวูชุ่ย กระทั่งเย่หยิงเหมยเองก็เช่นกัน พวกเขาเหล่านี้อาจจะก่อปัญหาให้เราได้ เจ้าทั้งสองจะต้องแน่ใจว่าจักปกป้องไม่ให้ค่ายกลถูกซ่อมแซมเสร็จก่อนเวลาที่กำหนด”
“เข้าใจแล้ว! เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง” ว่านเอ๋อตอบรับ
“นายน้อย ท่านเองก็ระมัดระวังตัวด้วย” ฉินรั่วเตือน
สองหญิงสาวจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด
จนถึงขณะนี้ พวกเธอก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
เพราะสิ่งที่กู่ฉิงซานจะทำต่อไปนี้ อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของพวกเธอไปโดยสมบูรณ์
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เดินเข้าไปในกลุ่มค่ายกล
เขาเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหนึ่งในค่ายกลที่พิเศษที่สุด
‘ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่’
ด้วยค่ายกลนี้ มารโลกาจะไม่สามารถตรวจสอบหรือรับรู้ถึงพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธได้
หากอยู่ในค่ายกลนี้ ผู้ฝึกยุทธจะสามารถฝึกฝนได้อย่างปลอดภัย
กู่ฉิงซานเฝ้าเพ่งพิจารณาค่ายกลที่ว่า
‘ถูกรายล้อมด้วยค่ายกลป้องกันนับสิบ ซ้อนทับด้วยค่ายกลซ่อมแซมที่พร้อมทำงานตลอดเวลาอีกที’
หากคุณต้องการที่จะทำลายค่ายกลพิเศษนี้ ก็จำเป็นต้องเป็นปรมาจารย์ค่ายกลหรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จึงจะสามารถบรรลุได้
หากจะทำลายมัน สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว พวกเขาจะรู้ว่าองค์ประกอบใดสำคัญที่สุดในค่ายกลนี้ และเริ่มทำการจู่โจมตำแหน่งนั้นจากภายใน
ขณะเดียวกันหากเป็นผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตที่คิดทำลายมัน ก็เพียงแค่ระเบิดพลังอำนาจทั้งหมดที่เขามีออกมา แล้วทำการจู่โจมเข้าไปจากภายนอกก็เท่านั้นเอง
แต่มันก็ยังใช้เวลานานยิ่งกว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานกำลังจะทำนับจากนี้ไปอยู่ดี
กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กขึ้นมา และเริ่มใช้มันทำการเชื่อมต่อกับค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่
อย่างรวดเร็ว! เขาก็สามารถควบคุมศูนย์กลางของค่ายกลได้สำเร็จ!
ท้ายที่สุดนี้ ต้องรู้นะว่าเขาไม่เพียงมีดิสก์ค่ายกลของนิกายกวงหยางอยู่ในกำมือ แต่ยังได้ล่วงรู้ถึงองค์ประกอบของค่ายกลและวิชาต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋าในห้องลับมาแล้วอีกด้วย!
ค่ายกลทั้งหมดเริ่มตอบรับการปรับแต่งโดยเขา
สักพักหนึ่ง
กู่ฉิงซานก็หยุดมือลง
“มีเวลา … เพียงแค่หนึ่งในสี่ชั่วยามเท่านั้น” ปากเอ่ยเสียงกระซิบ
หลังจากหนึ่งในสี่ชั่วยาม ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่ก็จะถูกซ่อมแซมจนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมทันที
กู่ฉิงซานหลับตาลง กระตุ้นพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างกาย ใช้ออกด้วยวิชาลับ ผลักดันพวกมันทั้งหมดเข้า ไปในศูนย์กลางสำคัญของค่ายกล
ตลอดทั้งค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกขนาดใหญ่บังเกิดกระบวนการไหลย้อนกลับทันที
ปัง!
ค่ายกลถูกทำลาย
ตึ่ง!
ตึ่ง! ตึ่ง!
ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!
เสียงกลองที่หนักทึบ ดังสะท้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เสียงแจ้งเตือนของนิกายดังขึ้นทันใด
เสียงกลองเช่นนี้ คล้ายดั่งกลองศึกในสมัยโบราณ ที่พวกมันมักจะถูกเคาะหลายตัวพร้อมๆ กันในยามก่อนการต่อสู้
เสียงกลองศึกนี้ ทำให้เลือดในกายเดือดพล่านยิ่งกว่าเสียงแจ้งเตือนจากค่ายกลหรือยันต์อย่างเทียบไม่ติด!
กู่ฉิงซานที่อยู่ในใจกลางต้นกำเนิดเสียงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดหู
ฉินรั่วเมื่อเห็นแบบนั้นก็เอ่ยว่า “นายน้อย นี่คือกลองศึกของนิกายกวงหยาง มันจะถูกตีขึ้นทุกครั้งในยามที่พวกเขาจะบุกไปยังต่างโลกหรือในยามที่ต้องเริ่มทำการปกป้องนิกาย”
“อย่างงั้นหรือ แต่เสียงของมันก็ฟังดูหนักแน่นและทำให้รู้สึกปลุกใจเพิ่มมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละ ”
กู่ฉิงซานหันหลังกลับไป และโบกมือให้หญิงสาวทั้งสอง
“ที่นี่ฝากพวกเจ้าด้วย”
“ขอนายน้อยโปรดวางใจ” สองหญิงสาวเอ่ยเป็นเสียงเดียว
กู่ฉิงซานพยักหน้า ช่วงล่างเกร็งแน่น และเริ่มทะยานตัว วิ่งตรงไปยังทิศทางของฉานนู่อย่างรวดเร็ว
ในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามนี้ จักไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่สามารถใช้พลังวิญญาณได้!
กู่ฉิงซานพยักหน้า และย่ำฝีเท้าเหินไปด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี
เขาจะต้องเร่งไปยืนอยู่เคียงข้างกับฉานนู่ให้เร็วที่สุด!
จะต้องจบทุกอย่างลงในช่วงเวลาที่หวังหงษ์เต๋าหวาดกลัวมารโลกา จนมิกล้าใช้ออกด้วยพลังวิญญาณนี้นี่แหละ!
ภายในหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม จักต้องสังหารหวังหงษ์เต๋าให้จงได้!
ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!
กลองศึกกระตุ้นใจให้ผู้ที่กำลังจะต่อสู้คึกคะนอง
หวังหงษ์เต๋าจ้องมองฉานนู่ด้วยดวงตาที่สั่นไหว และไม่เอ่ยอะไรออกมาอยู่เนิ่นนาน
ในระหว่างหลายลมหายใจที่เงียบงันนี้ ในสมองของเขาปั่นความคิดอันหลากหลายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แต่ไม่นานนัก หวังหงษ์เต๋าก็ได้ข้อสรุปที่เป็นไปได้มากที่สุดออกมา
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกู่ฉิงซานสินะ? และข้าก็คิดว่าฉีหยานคงจะตกตายไปแล้วด้วยน้ำมือของเจ้า”
“ที่แท้เจ้าก็มาจากโลกอื่น แน่นอนว่าเจ้าย่อม-”
“เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว มาต่อสู้กันซะทีเถอะ” ฉานนู่ขัดจังหวะเขา
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้? เหตุใดพวกต้องมีฝ่ายหนึ่งรอดและอีกฝ่ายหนึ่งตายด้วย?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม
“ยิ่งกล่าววาจาไร้สาระมากเท่าใด ตัวแปรก็จะยิ่งผกผันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว” ฉานนู่เอ่ยสวน
หวังหงษ์เต๋าพอได้ยินก็ชะงักงัน
เพราะประโยคเมื่อครู่ เป็นคำที่เขาเพิ่งจะเอ่ยกับอีกฝ่ายไป แต่ตอนนี้มันดันโดนตอกย้อนกลับมาเสียเอง
“เจ้าหนู รู้ไหมว่านี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว … ”
หวังหงษ์เต๋าอ้าปาก บ่นพึมพำราวกับต้องการจะกล่าวบางสิ่งต่อ
แต่ฉานนู่ก็ควงดาบเดินเข้าหาเสียก่อน
เธอไม่สนแม่งแล้วว่าอีกฝ่ายอยากจะพูดอะไร ตอนนี้เธอต้องการจะสังหารเขาในทันที!
ทว่ากลับเห็นเพียงสีหน้ายิ้มแย้มของหวังหงษ์เต๋าขึ้นทันใด “ใจเย็นๆ สิ ข้ายังมีอีกเรื่องสุดท้ายที่ต้องการจะบอกเจ้า”
ฉานนู่เงียบ และยังคงถือดาบมุ่งต่อไป
ระหว่างทั้งสอง ระยะห่างลดฮวบๆ ลงอย่างรวดเร็ว
“อันที่จริงแล้ว สถานการณ์แบบนี้น่ะ … ก็อยู่ในการคำนวณของข้าเช่นกัน”
หวังหงษ์เต๋ากล่าวพร้อมกับปรบมือของเขา
เสียงปรบมือนี้ดังฟังชัด ชนิดที่ว่ากลบเสียงของกลองศึกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง และกังวานก้องไปตลอดทั้งเกาะลอยฟ้า
ขณะที่ร่างไร้จิตสำนึกของมารโลกาก็ยังมิเคลื่อนไหว
เพราะพวกมันรับรู้เพียงแค่พลังวิญญาณ มิใช่เสียง
อย่างไรก็ตาม กลับมีร่างๆ หนึ่งที่ตอบรับถึงเสียงๆ นี้ และมุ่งทะยานตรงมายังต้นเสียงด้วยความว่องไวยิ่ง!
แน่นอน ว่าหากเป็นไปในสถานการณ์ปกติแล้ว ความเร็วระดับนี้ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ ก็สามารถทำได้
แต่ตอนนี้ … ในช่วงเวลาที่มิอาจใช้ออกด้วยพลังวิญญาณ การที่สามารถสับขาด้วยความว่องไวในระดับนี้ได้ ย่อมมีน้อยคนนัก!
ผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ ย่อมไม่สามารถครอบครองความว่องไวถึงเพียงนี้ได้อย่างแน่นอน!
เว้นไว้ก็แต่คนผู้หนึ่ง-
ฉานนู่หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน
“เซ่าหวูชุ่ย … ”
ปากเอ่ยเสียงกระซิบ
เซ่าหวูชุ่ย ผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า!
ในแง่ของพละกำลังกายมนุษย์เพียงอย่างเดียว ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ นักสู้หวูเต๋านับว่าทรงพลังมากที่สุด!
นี่คือสามัญสำนึกทั่วๆ ไปที่มิอาจปฏิเสธได้
ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถใช้พลังงานวิญญาณได้ สำหรับนักสู้หวูเต๋าดั่งเช่นเซ่าหวูชุ่ยแล้ว เขาเพียงอาศัยร่างกายและกระบวนท่าหมัดจู่โจมเหยื่อ ก็สามารถระเบิดพลังโจมตีอันน่าทึ่งออกมาได้แล้ว!
เพราะขนาดเพียงแค่ทะยานมุ่งตรงมายังที่นี่ ความรวดเร็วของเขาก็ยังเทียบเปรียบได้กับผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไปเลย!
ร่างของเขาทะยานผ่านฟากฟ้าราวกับนางแอ่นเหิน
ก่อนที่จะค่อยๆ ตกลงมาข้างกายของหวังหงษ์เต๋าอย่างแผ่วเบา
เวลานี้ ในมือของเขาสวมใส่ถุงมือสีแดงเข้มคู่หนึ่ง ขณะที่ช่วงบนยังคงเปลือยเปล่าเผยให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้าเช่นเดิม
“ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว”
เซ่าหวูชุ่ยคุกเข่าลงกับพื้น โค้งกายคำนับ
หวังหงษ์เต๋าเดินไป แล้ววางมือลูบลงบนศีรษะของเซ่าหวูชุ่ย
มองไปยังการลูบบนมือของเขา ราวกับกำลังลูบหัวหมาที่เชื่อฟังอยู่อย่างไรอย่างงั้นเลย
หวังหงษ์เต๋าหันไปกล่าวกับฉานนู่ “ต้องยอมรับว่าความคิดของเจ้ามันไม่เลวเลย – หากมิใช้พลังวิญญาณ แล้วต้องต่อสู้กันด้วยกำลังมนุษย์เพียงอย่างเดียว สภาพร่างกายของข้าย่อมไม่มีทางคว้าชัยชนะได้อย่างแน่นอน”
“ยังไงก็ตาม เวลานี้ ข้ามีร่างของผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าอยู่ในมือ และสถานการณ์ของพวกเราก็เป็นสองต่อหนึ่ง”
หวังหงษ์เต๋ายิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
แต่ฉานนู่กลับส่ายศีรษะของเธอและกล่าว “คาดคำนวณเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์พิเศษเช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อคำคุยโวของเจ้าหรอก”
หวังหงษ์เต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเวลานานมากแล้ว ยามที่ข้าได้บรรลุขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ข้าก็เริ่มคิดถึงบางสิ่งที่อาจจะก่อให้เกิดภัยคุกคามแด่ข้า”
“และสถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในกรณีที่ว่านั่น?” ฉานนู่เอ่ยถาม
“ถูกต้อง”
หวังหงษ์เต๋ากล่าวต่อ “ดังนั้น ข้าจึงมองหาอัจฉริยะในด้านนักสู้หวูเต๋ามา รับมันเป็นศิษย์ และเฝ้าฝึกฝนมันจนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่า เพื่อเตรียมพร้อมไว้รับมือกับสถานการณ์ดั่งเช่นในวันนี้”
พอได้ฟัง ฉานนู่ที่มีสีหน้าเย็นชาเสมอมาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการหวั่นไหว
หลายปีนับไม่ถ้วนที่เธอใช้ชีวิตมา ก็เพิ่งจะเคยพบเจอกับชายเช่นนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ
เกือบทุกภัยคุกคามที่เป็นไปได้ ถูกคาดคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วโดยเขา
“เหตุใดกัน เหตุใดเจ้าต้องคาดคำนวณมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าหวาดเกรงความตายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?” ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
ที่แท้การที่อีกฝ่ายถ่วงเวลาในตอนแรกก็เพราะเหตุนี้นี่เอง
แม้กระทั่งในตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายยังคงจะใช้สมอง คาดคำนวณถึงบางสิ่งอยู่เลย
ว่าแต่เขากำลังคำนวณสิ่งใดกัน?
แต่ฉานนู่ก็ไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป
เพราะคนเหล่านี้ .. มันไม่คุ้มค่าที่จะให้เธอต้องใช้สมอง!
ตึ่ง! ตึ่ง!
ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!
เสียงกลองดังกึกก้อง จนไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟังก็ล้วนเกิดอารมณ์พุ่งพล่าน หมายมั่นต้องการที่จะต่อสู้
ทว่าฉานนู่กลับยังคงกุมดาบค้างไว้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง
นักสู้หวูเต๋าขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เธอจักรับมือได้
นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังมีหวังหงษ์เต๋าอยู่อีก
สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือไปโดยสมบูรณ์
เป็นดั่งที่หวังหงษ์เต๋ากล่าวจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีสอง แต่ตนมีเพียงหนึ่ง
คราวนี้ จึงเป็นตาของเธอที่จักต้องถ่วงเวลาแทนบ้างแล้ว
ถ่วงเวลาไปจนกว่ากู่ฉิงซานจะมาถึง
หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างสบายๆ ไร้กังวล “ข้ามิได้หวาดเกรงความตาย แต่การเสียสละอย่างไร้ความหมายนั้น มันไม่มีความจำเป็นเลย นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มฝึกยุทธ ข้าก็ก้าวเดินด้วยแนวคิดเช่นนี้เสมอมา”
แม้กระทั่งในตอนนี้ ขณะกล่าว หวังหงษ์เต๋าก็ยังคาดคำนวณถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจอย่างลับๆ
ถึงแม้ว่า ‘ฉีหยาน’ อีกคนหนึ่งจะได้ทำลายค่ายกลขนาดใหญ่ลงแล้วก็ตามที แต่ตัวค่ายกลก็ไม่สมควรที่จะถูกทำลายลงได้โดยสมบูรณ์
เพราะค่อยกลซ่อมแซมนับสิบในสถานที่แห่งนั้น จะเริ่มทำการฟื้นฟูมันทันที
หลังจากผ่านไปหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามแล้ว หากต้องการให้ค่ายกลขนาดใหญ่ใช้การไม่ได้ต่อไป ‘ฉีหยาน’ ก็จะต้องอาศัยช่วงเวลานี้ คอยทำลายค่ายกลซ่อมแซมทั้งหมด
มิฉะนั้นแล้ว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อพลังวิญญาณสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โชคชะตาเดียวที่เฝ้ารอคอยเขาอยู่คงมิแคล้วมีเพียงความตาย
นอกจากนี้ เทคนิคค่ายกลก็มิใช่ว่าผู้ใดอยากจะเรียนรู้ ก็สามารถเรียนรู้มันได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าจะมีสองสาวใช้ของฉีหยานอยู่ด้วยก็ตามที แต่สถานะของพวกนางมันก็ชัดเจน
นั่นคือ ‘พวกนางมิได้แตกฉานในด้านค่ายกล’
ดังนั้น ‘ฉีหยาน’ อีกคนจักต้องคอยปกป้องที่นั่นอยู่เป็นแน่
ในแง่มุมปัจจุบันนี้ จึงกล่าวได้ว่ามันจะยังคงเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องสองต่อหนึ่งด้วยซ้ำไป
เพราะแค่เซ่าหวูชุ่ยเพียงผู้เดียว ก็สามารถสังหารอีกฝ่ายลงได้แล้ว
มันเป็นเกมที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็เห็นแต่ชัยชนะ!
หวังหงษ์เต๋ากล่าวต่อ “อาจารย์ของข้าสามารถมองทะลุห้วงอารมณ์และนิสัยโดยกำเนิดของข้าได้ ดังนั้น แม้ว่าข้าจักอ้อนวอนเพียงใด ท่านอาจารย์ก็ไม่เต็มใจที่จะถ่ายทอดทักษะดาบที่แท้จริงให้แก่ข้า ”
“แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ เป็นเพราะข้านิสัยที่ยึดหลักแนวคิดนี้นั่นเอง ที่ทำให้ข้าสามารถคาดคำนวณทุกสิ่งอย่างได้ถูกต้องเสมอมา”
“แม้กระทั่งบุคคลที่ทรงพลานุภาพและหลักแหลมดั่งเช่นท่านอาจารย์ ก็ยังต้องตกตายลงด้วยน้ำมือข้า!”
ฉานนู่ถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามคำจากในจิตใจของเธอ “เจ้าคาดคำนวณมากมายถึงเพียงนี้ แล้วยังมีอะไรที่เจ้าไม่เคยคาดคำนวณอีกบ้างไหม?”
พอได้ฟัง คราวนี้หวังหงษ์เต๋าชะงักไปจริงๆ
คำถามของอีกฝ่ายที่จี้ตรงมา ราวกับกระตุ้นความกระหายในอาหารของเขา
เขาขบคิดอย่างจริงจังและรอบคอบ ปากบ่นพึมพำด้วยความใคร่ครวญว่า “ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของข้า ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่ข้ามิได้คาดคำนวณ”
หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทีการแสดงออกค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“กระทั่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้าก็ยังเลือกหนทางที่ดีที่สุด … ”
ใช่แล้วล่ะ
ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือไปจากการควบคุมของเขาจริงๆ
ตอนนี้ก็มาเริ่มสู้กันได้ซะที
เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ ปากของชายชราก็เอ่ยสั่งอย่างช้าๆ
“จงไปสังหารมันซะ”
“ขอรับ!”
เซ่าหวูชุ่ยรับคำ และเคลื่อนกายวูบไหวทันที
…………………………………..........