ตอนที่ 331 มาตรฐานความเป็นมืออาชีพ
“ทรยศ? นี่เจ้าด่าว่าข้าเป็นคนทรยศอย่างนั้นหรือ?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะกระตุก ราวกับว่าคำนี้มีผลต่อความโกรธในจิตใจของเขา
องค์จักรพรรดิกล่าว “ทางข้ามีมืออาชีพขั้นห้าอยู่มากมาย แต่เจ้ามีเพียงลำพัง มิรู้หรือ ว่าหากข้าเปล่งวาจาสั่งแม้เพียงครึ่งคำ ปากที่พ่นคำเน่าเหม็นนั่นออกมาเมื่อครู่จะต้องหุบลงไปตลอดกาล!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเคยคิดว่าท่านเป็นผู้พิชิต และหากท่านยังเป็นบุคคลดังที่ว่า ที่หมายมั่นจะโค่นล้มเก้าตระกูลใหญ่ ตราบใดที่ทุกๆ การกระทำหรือเคลื่อนไหวของท่านมันไม่ก่อให้เกิดสงคราม กระหม่อมย่อมไม่คิดก้าวเข้ามาแทรกแซงอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเงินลงบนใบหน้าของเขาและเอ่ยต่อว่า “แต่ผมไม่คิดเลย ว่าจริงๆ แล้วท่านจะเป็นเพียงสุนัขขี้ขลาด ถ้าเป็นในกรณีนี้ ตัวเลือกของผมคงเหลือเพียงปลดปล่อยท่านจากตราบาปนี้โดยการฆ่าเท่านั้น”
“บังอาจ!” องค์จักรพรรดิไม่อาจแบกรับคำครหาได้อีกต่อไป เขาคำรามก้อง “ทุกคน ฆ่ามันซะ!”
“ลงมือได้!” หลี่ตงหยวนและซ่งเทียนหวู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน
ร่างโคลนทั้งหมดก็ตะเบ็งเสียงขานรับคำ “ฆ่า!”
รัศมีแสงเรืองรองของธาตุทั้งห้าผุดออกมาจากพวกเขา เปล่งประกายระยับไปทั่วฟ้า
“ใช้วิธีหมาหมู่แบบนี้...ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องมอบบทเรียนแก่ท่านเสียแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว
เขาล็อกสมญาเทพสงครามเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมด้วยทั้งคนทั้งร่างที่หายวับไปอย่างกะทันหัน
เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีทองเพียงหนึ่งพุ่งปะทะปัง! เข้ากลางดงศัตรู
ในพริบตา ปราณดาบเหลือคณาก็พรั่งพรูไปทั่วผืนฟ้า
ตามด้วยการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของชั้นอากาศโดยรอบ
ทั้งสองฝ่ายก้าวเข้าสู่สนามรบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
…
ณ สาธารณรัฐฟูซี
วังโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย
บนบัลลังก์ว่างเปล่า
ตลอดทั้งห้องโถงใหญ่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เว้นไว้แต่เพียงคนหนึ่งๆ
จักรพรรดินียืนอยู่ตรงหน้าต่าง จ้องมองลงไปยังโอเอซิสเบื้องล่าง
แล้วทันใดนั้นจู่ๆ ประตูห้องโถงใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดออกอย่างกะทันหัน
ตามด้วยซางหยิงฮ่าวที่เดินเข้ามา
ในฐานะผู้รับหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัย จึงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่นี่
“ฝ่าบาท มีรัฐมนตรีหลายคนต้องการขอเข้าเฝ้าท่าน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
จักรพรรดินีมิได้เบนสายตาหันกลับมามอง
“ปฏิเสธไปซะ บอกให้พวกเขาถอนตัวกลับไป มาเจอข้าตอนนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?” จักรพรรดินีกล่าวอย่างสงบ
“ท่านลองไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนท่านนะ” ซางหยิงฮ่าวพยายามโน้มน้าว
“โอ้? แล้วเจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร?”
“กระหม่อมย่อมทราบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับลูกค้าอยู่แล้ว เพราะมันจะช่วยให้กระหม่อมสามารถบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”
“หากไม่สามารถเข้าม่านเหล็กได้ จะทำสิ่งใดมันก็ล้วนไร้ประโยชน์” จักรพรรดินีถอนหายใจ
ซางหยิงฮ่าวขบคิดและกล่าวว่า “รอบตัวผมพอจะมีแฮ็กเกอร์อยู่บ้าง บางทีท่านอาจจะอยากสนทนาและบอกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิต หรือความเป็นอยู่ของพระสวามีท่านแก่พวกเขา”
“ทำเช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”
“หลังจากที่พวกเขาเข้าใจถึงความคิดและการกระทำขององค์จักรพรรดิอย่างถ่องแท้ พวกเขาอาจจะค้นพบกุญแจแห่งความหวังที่จะใช้เจาะเข้าไปยังม่านเหล็กได้ก็เป็นได้”
จักรพรรดินีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
“เข้าใจเขา? เข้าใจสวามีข้าอย่างนั้นหรือ?”
ความโศกเศร้าพาดผ่านลงบนใบหน้างดงามของเธอ
“ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เมื่อนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งข้าเคยจดจำได้ว่า ยามที่เขาเมาและเผลอบอกข้าว่าเขามีความใฝ่ฝันว่าได้ครอบครองมงกุฎทองคำบริสุทธิ์ตั้งแต่ในวัยเด็ก และฝังอัญมณีหาได้ยากยิ่งในโลกลงไป”
จักรพรรดินีเอ่ยต่อย่างช้าๆ “และหลังจากที่ข้าเฝ้าสรรหาอัญมณีที่ว่ามาตลอดถึงสิบปี ในที่สุดก็ค้นพบอัญมณีเอกภพ มณีนี้มีเอกลักษณ์และงดงามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่ามันมีเพียงชิ้นเดียวในโลก”
“หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาในการเฟ้นหาและหลอมสร้างมาอย่างยาวนาน มงกุฎก็ถูกรังสรรค์จนสมบูรณ์ และในวันงานเทศกาลประจำปี ข้าก็ได้เซอร์ไพรส์โดยการมอบมันให้แด่เขา”
“หลังจากที่เขาได้เห็นมัน นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งเลยที่ใบหน้าของเขาปรากฏถึงร่องรอยแห่งความสุขออกมา เขาขอบคุณสำหรับน้ำใจและความมุ่งมั่นของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า และสวมใส่มงกุฎที่ว่าตรงนั้นทันที”
“แล้วมันไม่ดีหรือ?” ซางหยิงฮ่าวงง
“แต่หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยสวมใส่มงกุฎที่ว่านั่นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ใด ไม่เคยอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
จักรพรรดินีกล่าวด้วยความคับข้องใจ “เขามักจะแสดงความผิดปกติทางอารมณ์ออกมาอยู่เสมอ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว เจ้าจะยังให้ข้าบอกข้อมูลแด่คนของเจ้าไปทำการวิเคราะห์ที่ว่านั่นอยู่อีกไหม?”
ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “นั่นมันคงยากเกินไป ถ้าเป็นอย่างในกรณีนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าทางเราก็จนปัญญาจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”
ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นจากภายนอก
ไม่นานเกินรอ รัฐมนตรีคนหนึ่งก็ถูกคุมตัว และถูกบังคับให้คุกเข่าลงตรงทางเข้าห้องโถง
ตามตัวรัฐมนตรีคนที่คุกเข่ามีคราบเลือดเกรอะกรัง เขาเอ่ยร้องตะโกนออกมา “ฝ่าบาท ท่านจะต้องคิดหาหนทางแก้ไขให้เร็วที่สุดแล้ว อีกสองร้อยไมล์ หุ่นรบของฟูซีจะเข้าสู่อาณาเขตของรัฐบาลกลางแล้ว!”
หากหุ่นรบแนวหน้าของฟูซีรุกล้ำเข้าไปยังรัฐบาลกลาง นั่นหมายถึงไฟแห่งสงครามครั้งใหญ่ได้ถูกจุดขึ้น
จักรพรรดินีเฝ้ามองดูรัฐมนตรีคนที่ว่า
เขาคือรัฐบุรุษเก่าแก่ที่รับใช้ฟูซีมายาวนานกว่าสามแผ่นดิน เป็นอาวุโสเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดินีมาโดยตลอด
ในเวลานี้ เขากลับกำลังคุกเข่าบนพื้น ร่ำไห้น้ำตาเป็นสาย
“ฝ่าบาท เก้าตระกูลใหญ่ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อเลือกที่จะต่อสู้แล้ว ทางเรามิอาจรู้ได้เลยว่าจะสามารถคว้าชัยชนะหรือพ่ายแพ้กลับมา แต่ที่รู้แน่ๆ คืออีกไม่กี่ปีนับจากนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องตกตายลงในสงคราม!”
จักรพรรดินีถอนหายใจ ก้าวเดินไปข้างหน้าและพยุงชายชราขึ้น
“แต่ข้าไม่มีวิธีใดที่จะหยุดยั้งมันเลย” เธอกล่าวด้วยความหดหู่
จากนั้นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งก็แทรกตัวผ่านเข้ามาและคุกเข่าลง “ฝ่าบาท ทั้งสามเหล่าทัพของรัฐบาลกลางเริ่มทำการระดมพลแล้ว กองกำลังของพวกเขาเคลื่อนพลมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว คาดว่าไม่นานคงจะมาถึงชายแดน”
“และผู้นำกองทัพของรัฐบาลกลางในครั้งนี้ ก็คือเทพนักสู้ซางซ่งหยาง!”
เทพนักสู้ ซางซ่งหยาง
ชายผู้นี้เปรียบดั่งเทพสงครามแห่งรัฐบาลกลาง มีเขาเพียงหนึ่ง ก็เปรียบดั่งมีทหารกล้านับพันในสนามรบ
เมื่อสองกองทัพเข้าปะทะกัน และเขาเริ่มลงมือ สถานการณ์จะเข้าสู่ช่วงเลวร้ายที่สุดทันที
และต่อให้รัฐบาลกลางจะไม่ชนะ แต่สาธารณรัฐย่อมต้องประสบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง
จักรพรรดินีเวโรน่าในที่สุดก็เริ่มวิตกกังวล
เธอเดินวนไปรอบๆ กลับไปกลับมาด้วยใบหน้าสลด
“ข้าสมควรทำอย่างไรดี...”
ซางหยิงฮ่าวเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน “ฝ่าบาท กระหม่อมจดจำได้ว่าท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงม่านเหล็กเช่นกัน”
“ข้าไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ องค์จักรพรรดิได้ทำการล็อกอำนาจของคนทั้งหมดเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงเขาที่สามารถสั่งกองทัพได้!” จักรพรรดินีกล่าว
ซางหยิงฮ่าวนิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยสวนไปว่า “เช่นนั้นหากเขาตายเล่ามันจะเกิดอะไรขึ้น? กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสิทธิ์อำนาจในการเข้าถึงม่านเหล็กมีไว้สำหรับราชวงศ์เท่านั้นมิใช่หรือ”
“หากเขาตายลง แน่นอนว่าสิทธิ์อำนาจของม่านเหล็กย่อมตกมาถึงข้าเป็นธรรมดา แต่ในโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่สามารถสังหารเขาได้อีกหรือ?”
จักรพรรดินีส่ายหัวซ้ำๆ เอ่ยปากกล้าวด้วยความโศกเศร้าว่า “ไม่มีวิธีที่เราจะสามารถหยุดเขาได้เลย”
ซางหยิงฮ่าวโค้งศีรษะลง และเอ่ยถามผ่านทางสมองควอนตัม “กู่ฉิงซานรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้หรือเปล่า?”
เทพธิดากงเจิ้ง “เขารู้ดี”
“แล้วเขาพบองค์จักรพรรดิหรือยัง?”
“ใต้เท้ากู่ฉิงซานค้นพบถึงร่างจริงขององค์จักรพรรดิแล้ว และพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง”
ซางหยิงฮ่าวพยักหน้า และหันไปพูดกับจักรพรรดินีว่า “กระหม่อมคิดว่าท่านสมควรจะลองพยายามดู ว่าท่านจะสามารถเชื่อมต่อกับม่านเหล็กได้หรือไม่”
“ข้าจะลองดู” จักรพรรดินีกล่าว
“ลองมันอีกครั้ง หากมิได้ก็อีกครั้ง และอีกครั้ง บางทีอาจจะมีครั้งที่ท่านสามารถเข้าสู่ระบบของมันได้ก็ได้”
จักรพรรดินีมองไปยังอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนั้น?”
“ขออภัยที่ต้องกล่าวแบบนี้ แต่กู่ฉิงซานย่อมต้องมีวิธีที่จะสังหารพระสวามีของท่านอย่างแน่นอน”
“บางทีเขาอาจจะลงมือทำมันในอีกวินาทีต่อไปเลยก็ได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“เรื่องนี้...” กล่าวยังไม่ทันจบ จักรพรรดินีก็นึกขึ้นมาได้ถึงพลังของกู่ฉิงซานในตอนที่เขาอยู่ในวัง เธอกัดฟันกรอด และทำการตัดสินใจในที่สุด
เธอหยิบสมองควอนตัมของตัวเองออกมา และตัดสินใจพรมมือลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่หน้าต่างในส่วนปฏิบัติการ
ปรากฏกำแพงเหล็กอันเยียบเย็น สูงตระหง่าน
“ม่านเหล็ก ข้าคือจักรพรรดินีเวโรน่า เมดิซี โปรดให้ข้าเข้าสู่ระบบด้วย” จักรพรรดิพูดกับสมองควอนตัม
และเสียงจักรกลก็ดังสวนตอบกลับมา “คุณไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ระบบ”
จักรพรรดินีโกรธ และตบลงบนสมองควอนตัม “เข้าไม่ได้!”
ดูเหมือนว่าการต่อกรกับองค์จักรพรรดิจะไม่ง่ายเลย อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่
ดวงตาของซางหยิงฮ่าวกะพริบไหว และเอ่ยถาม “ถ้างั้นตอนนี้ใครกันที่เป็นผู้บัญชาการหุ่นรบขับเคลื่อนของสาธารณรัฐ?”
จักรพรรดินีเข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที และหันไปมองรัฐมนตรีอาวุโส
เนื่องจากไม่สามารถเข้าสู่ระบบของม่านเหล็กได้โดยตรง ถ้าเช่นนั้นก็เข้าหาผู้บัญชาการกองทัพโดยตรงแทนเสียเลยสิ หากเป็นในกรณีที่ว่า บางทีอาจจะสามารถหยุดการบุกโจมตีได้ก็ได้
ตอนนี้สิ่งที่ขาดมากที่สุดก็คือเวลา
เราจะต้องหาหนทางที่จะชะลอการปะทุของสงครามจนกว่ากู่ฉิงซานและองค์จักรพรรดิจะตัดสินผลแพ้ชนะ!
รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวว่า “เป็นจอมพลจางเพ่ยเจี่ย กระหม่อมจะคุยกับเขาทันที!”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็เปิดสมองควอนตัมและโทรไปยังหมายเลขหนึ่ง
ทว่าการเชื่อมต่อกลับถูกปฏิเสธ
สองตาของรัฐมนตรีหรี่แคบลง เขาลังเลก่อนจะกล่าว “เขาปฏิเสธคำขอเชื่อมต่อกับข้า...”
จักรพรรดินี “นั่นเพราะสถานการณ์มันแตกต่างกันออกไป นี่คือช่วงเวลาสงคราม มันยังพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่อาจมุ่งสมาธิมาสนทนากับเจ้าได้ แต่หากเป็นข้า เขาอาจจะยังพอฟัง”
จักรพรรดินีตัดสินใจทันที “แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องส่งราชทูตออกไปเป็นการส่วนตัว บางที นี่อาจจะช่วยให้เขาหยุดกองนำทัพได้ชั่วคราว”
แม้ว่าจอมพลจะสามารถชะลอสงครามได้แค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่สถานการณ์ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ได้
รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว “แต่ใครเล่าจะเป็นราชทูตผู้ส่งสาร? ระหว่างทางมีหลายคนคอยจับตามองท่านจอมพลอยู่ตลอดเวลา และหากท่านจอมพลเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งองค์จักรพรรดิ ตัวผู้ส่งสารเองก็จะได้รับอันตราย...”
จักรพรรดินีขบคิดและกล่าว “ไม่อาจส่งเจ้าหน้าที่พลเรือน ข้าราชบริพารก็ไม่ได้ รวมไปถึงคนจากทางกองทัพด้วย”
รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวต่อ “ทหารย่อมไม่ดี เพราะท่านจอมพลเป็นผู้บัญชาการสูงสุด หากนายทหารเผชิญหน้ากับถ้อยคำรุนแรงของจอมพล เขาคงจะทำตามที่พวกเราต้องการไม่สำเร็จ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังหารือ จู่ๆ จักรพรรดินีก็หันไปทางซางหยิงฮ่าว
“มีอะไรหรือท่าน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม
จักรพรรดินีขบคิดอย่างจริงจังและกล่าว “ข้าได้ทราบถึงความสามารถของเจ้ามาแล้ว เจ้าเป็นถึงราชานักฆ่าแห่งรัฐบาลกลาง ในมือมียอดนักฆ่านับไม่ถ้วนที่ยินดีอุทิศชีวิตให้แก่เจ้า แม้ว่าช่วงหลังๆมานี้ เจ้าจะถอยห่างเลือกที่จะคอยหลบอยู่หลังฉาก แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบัน ย่อมต้องเพิ่มพูนยิ่งกว่าในครั้งอดีตเป็นแน่”
“แล้วสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อก็คือ?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“ด้วยกลยุทธ์และความแข็งแกร่งของเจ้า แน่นอนว่าย่อมสามารถทำมันได้ ดังนั้นข้าขอให้เจ้ารับหน้าที่ส่งจดหมายลับของข้า นั่งรถเหินเวหาไปมอบมันให้แด่ท่านจอมพลโดยเร็ว”
จักรพรรดินีจับปากกาไว้ในมือ และเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
“จอมพลจาง...แล้วทัศนคติของคนคนนี้ล่ะ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม
“เป็นกลาง แต่บางครั้งก็เอนเอียงมาทางฝั่งพวกเรา” รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว
ซางหยิงฮ่าวไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
จักรพรรดินี “เจ้าจงนำตราประทับและลายลักษณ์อักษรของข้าไปให้จอมพลจาง และทำการโน้มน้าวเขาหรือหาหนทางอะไรก็ได้เพื่อชะลอการปะทุของสงคราม”
“แล้วเขาจะฟังหรือ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามต่อ
“ข้าคิดว่าเขาจะต้องฟังข้าแน่ๆ” จักรพรรดินีกล่าว
ซางหยิงฮ่าวเริ่มตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคือนักฆ่า กล่าวได้ว่ากระหม่อมมีหน้าที่สังหารผู้คน แต่เรื่องที่ท่านกำลังร้องขอนี้ มันมิได้อยู่ในธุรกิจของกระหม่อม”
จักรพรรดิจับจ้องเขาอย่างจริงจัง “รางวัลของเจ้า ข้าจะเพิ่มให้สองเท่า”
ซางหยิงฮ่าวชะงักงันไปหนึ่งถึงสองวิ
“จักรพรรดินีผู้แสนจะใจกว้าง กระหม่อมขอสัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการ” เขาเอ่ยปากตอบรับคำทันที
“หลังจากที่เจ้าไป แม้ว่าจะไม่สามารถพูดคุยกับจอมพลจางได้ แต่เจ้าก็ต้องหาวิธีการที่จะชะลอสงครามให้จงได้”
จักรพรรดินีเอ่ยประโยคที่สำคัญที่สุดออกมา
“โปรดวางใจในมาตรฐานความเป็นมืออาชีพของกระหม่อม” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
หลังจากนั้นไม่นาน จดหมายลับของจักรพรรดินีก็ถูกเขียนขึ้น
เธอถึงขั้นอ่านย้อนทวนเนื้อความในจดหมายอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยื่นมันให้แก่ซางหยิงฮ่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ซางหยิบฮ่าวหยิบเอาตราประทับและจดหมายลับจากจักรพรรดินีมา
พร้อมกับร่างของคนในชุดดำหลายคนที่โผล่ออกมาจากเงามืด และติดตามเขาออกจากพระราชวังอย่างรวดเร็ว
………………..………………..