webnovel

0306 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ตอนที่ 306 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

“ฉันได้ยินเสียงก็จริง แต่เสียงที่ว่านั่นมันก็มีแค่ไม่กี่เสียงเท่านั้น พูดได้เลยว่าน้อยมาก” เย่เฟย์หยูกล่าว 

“ที่ว่าน้อยเนี่ย ซักกี่คนกัน?” กู่ฉิงซานถาม 

“ถ้าให้พูดกันเฉพาะในสุสาน ฉันได้ยินเสียงของคนตายเพียงเจ็ดถึงแปดคนเท่านั้นเอง” เย่เฟย์หยูตอบ 

“นี่มันไม่ถูกต้อง สุสานที่ว่านั่น อย่างน้อยจะต้องมีหลายหมื่นคนถูกฝังอยู่ แล้วผีตนอื่นๆ เล่า?”  

“และนั่นคือสิ่งที่ฉันบอกว่ามันแปลกอย่างไรล่ะ” 

เย่เฟย์หยูยกไวน์ขึ้นดื่มและกล่าว 

กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก และเริ่มเอ่ยถามว่า “แล้วเรื่องที่ฉันขอให้นายถามคำถามกับแฟนของนายล่ะ เธอว่าอย่างไรบ้าง?” 

เย่เฟย์หยู “เธอบอกว่าหลังจากที่ตายลง ก็ราวกับมีบางสิ่งฉุดลากเธอไปในทิศทางหนึ่ง” 

ซางหยิงฮ่าวกับกู่ฉิงซานเหลือบตามองกันวูบหนึ่ง 

เย่เฟย์หยู “แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆ พลังอำนาจที่ฉุดลากเธอ จู่ๆ ก็ถูกตัดออกไปอย่างกะทันหัน ดังนั้นเธอเลยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหนดี เลยกลับไปอยู่ในหลุมฝังศพของตัวเอง” 

“พลังอำนาจฉุดลาก…ถูกตัดออกไป…” ซางหยิงฮ่าวเอียงคอ บ่นงึมงำ 

ทั้งสามตกอยู่ในความเงียบ 

โลกหลังความตายของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสามสามารถเข้าใจได้ 

มันไม่สามารถใช้ประสบการณ์และความรู้มาอ้างอิงได้ และไม่มีทางที่จะเข้าใจได้อย่างชัดเจน ว่าสิ่งนั้นมันหมายถึงอะไร 

กู่ฉิงซานหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาถือในมืออยู่นาน แต่ก็ยังไม่ได้ยกมันขึ้นจิบเสียที 

ถ้าแฟนของเย่เฟย์หยูรู้เรื่องราวเพียงเท่านี้แล้วล่ะก็ คงไม่จำเป็นต้องถามคำถามในเรื่องนี้กับเธออีก 

แล้วข้อมูลอื่นๆ ล่ะ? 

“ว่าแต่แฟนของนายได้บอกนายเกี่ยวกับสถานการณ์ของผีตนอื่นๆ ในสุสานรึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม 

“โอ้ เธอก็พอจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้างหรอกนะ แต่มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ทุกคนพึ่งจะเสียชีวิตลงเมื่อเร็วๆ นี้เหมือนกันก็เท่านั้นเอง” เย่เฟย์หยูกล่าว 

“พึ่งเสียชีวิตลงเมื่อเร็วๆ นี้!?” 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย 

ตัวเขาไม่เคยแสดงอารมณ์แปรปรวนอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้มาก่อน ซางหยิงฮ่าวจึงหันขวับไปมองเขา และเอ่ยถามไปอย่างไม่คิด “เกิดอะไรขึ้น นายกำลังคิดอะไรอยู่?” 

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “สมมติว่าคนตายทุกๆ คนจะถูกฉุดลากโดยพลังอำนาจไปยังอีกโลกหนึ่ง…” 

“แต่เมื่อไม่นานมานี้ พลังอำนาจที่ว่านั่นกลับถูกทำลายลง ดังนั้นใครก็ตามที่พึ่งเสียชีวิตลงเมื่อไม่นานมานี้ เลยกลายเป็นผี และถูกทิ้งไว้ในโลกของพวกเรา” 

“สมมติฐานนี้พอจะสมเหตุสมผลรึเปล่า” เขาเอ่ยถาม 

“มันค่อนข้างสมเหตุสมผลเลยล่ะ” ซางหยิงฮ่าวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็พอจะอธิบายได้ว่าทำไมเย่เฟย์หยูถึงได้ยินเสียงของคนตายแค่เพียงไม่กี่คน” 

 เย่เฟย์หยูงง “แล้วทำไมไอ้แรงฉุดลากที่ว่านั่นจู่ๆ ถึงหายไปอย่างกะทันหันล่ะ?” 

ซางหยิงฮ่าว “บางที...บางทีนะ มันอาจจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นในอีกโลกก็ได้” 

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว และกล่าว “ไม่รู้สิ แต่ฉันหวังนะว่า ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จะเกิดขึ้นในโลกที่พวกเรารู้จัก จะได้สามารถรับมือกับมันได้ 

“เพราะถ้าในกรณีนี้ อย่างน้อยเราจะยังสามารถพยายามค้นหาวิธีแก้มันได้” กู่ฉิงซานยกไวน์ขึ้นจิบแล้วกล่าวต่อ “แต่ถ้าปัญหาที่ว่านั่น มันเกิดขึ้นจากทางฝั่งโลกของคนตาย พวกเราที่ยังมีชีวิตคงไม่มีทางจะแก้ไขมันได้แน่ๆ” 

โลกของคนตาย 

ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูชะงักงัน นิ่งเงียบไปชั่วเวลาหนึ่ง 

มีบางอย่างผิดปกติขึ้นกับทางฝั่งโลกของคนตาย…  

เพียงแค่คิดมันก็บ้าเกินกว่าจะยอมรับได้แล้ว  

กู่ฉิงซานแอบระลึกถึงช่วงเวลาในชีวิตก่อนหน้าที่ผ่านมาภายในจิตใจของเขาอย่างเงียบๆ 

มีภัยพิบัติไม่มากนักหรอก ที่มันเกี่ยวโยงกับเหล่าวิญญาณคนตาย

หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะมีก็เพียงแต่ภัยพิบัติเยือกแข็ง…  

มันคือช่วงระยะเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ที่เผ่ามารออกมาร่ายระบำสร้างความปั่นป่วนโกลาหล นำไปสู่การล่มสลายของโลก 

มันเป็นภัยพิบัติ...เป็นหายนะที่มนุษย์ไม่อาจต้านทานได้เลย 

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกำหมัดของเขาจนแน่น 

โชคยังดีที่ตอนนี้มีเพียงวิญญาณคนตายบางส่วนเท่านั้นที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งนี่มันเลยแตกต่างที่เขาเคยพบเจอ 

หวังว่านะ... 

ฉันหวังว่ามันจะไม่ได้เป็นในกรณีที่ว่านั่น! 

เขาลอบสวดอธิษฐานอ้อนวอน 

ณ ภายในห้องนอนของเหลียวฮัง 

เจ้าตัวกำลังศึกษาวิธีฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธ แล้วเฝ้าตริตรองมันอยู่ในหัวใจ 

ต้องยอมรับว่าการทำความเข้าใจและทักษะในการคิดของบางคนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป 

เขาวางหนังสือลง หลับตา และเริ่มทดลองที่จะสัมผัสถึงพลังวิญญาณ 

อีกไม่นานหรอก 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหลียวฮัง 

“พละกำลัง…พลังอันน่าอัศจรรย์ใจ…” 

สายลมพัดไหว เวียนวนรอบตัวเขา แต่ไม่แตกแยกกระจายตัวออกไป 

นี่คือปรากฏการณ์ของการควบรวมพลังวิญญาณ 

“ฉันต้องการ...แข็งแกร่งกว่านี้ เสริมสมรรถภาพให้ร่างกายตัวเองกลับมาฟิตปั๋ง!” 

แต่แล้วพลังวิญญาณก็แตกกระเจิงอย่างฉับพลัน 

“บ้าจริง!” 

เหลียวฮังลืมตาขึ้น 

พร้อมกับบังเกิดความเสียวซ่านขึ้นเล็กน้อยตามร่างกาย 

นี่คือปฏิกิริยาจากการกระตุ้นเส้นชีพจรลมปราณ 

และนั่นบ่งบอกว่า หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น เกรงว่าคืนนี้คงไม่สามารถฝึกฝนได้อีกแล้ว 

“ให้ตายสิ ไอ้พวกสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือนี่มันจะดื้อรั้นเกินไปไหม?” 

เหลียวฮังเปิดจอม่านแสง เอนกายลงบนเตียง และเริ่มต้นค้นหาเอกสารบางอย่าง 

แต่แล้วมือของเขาก็หยุดกึกลงอย่างกะทันหัน 

“สูญเสียสมรรถภาพ สาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายสึกกร่อน…” 

อ่านมาถึงจุดนี้ เขาก็เปลี่ยนใจ หันมาเปิดช่องข่าวดูแทน 

บนจอม่านแสง ปรากฏภาพของประธานาธิบดีกำลังยืนอยู่หน้าหลุมศพ และกล่าวคำไว้อาลัย 

“ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องคิดถึงผู้ก่อตั้งพันธุศาสตร์สมัยใหม่ ดอกเตอร์ถังจุน ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์…” 

ประธานาธิบดีกล่าวผ่านทีวี 

“โอ๋? ตาแก่ถังตายแล้วอย่างงั้นหรือนี่ ไม่สิ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน คนบ้าอย่างมันไม่น่าจะตายง่ายๆ นี่นา ถึงมันจะแก่ แต่ก็เป็นตาแก่ที่สุขภาพแข็งแรงดี” 

เขาแตะลงบนสมองควอนตัมตัวส่วนบุคคลและเริ่มดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกมา 

“ดอกเตอร์ถังจุน ผู้ก่อตั้งพันธุศาสตร์สมัยใหม่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายตาย ในขณะที่เขาได้พบกับท่านประธานาธิบดีเมื่อไม่กี่วันก่อน” 

ดวงตาของเหลียวฮังที่เดิมทีเผยร่องรอยของความเศร้า บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่นอย่างรวดเร็ว 

เขาวางสมองควอนตัมลง และจ้องมองไปยังจอม่านแสงชนิดหัวชนฝา 

ประธานาธิบดียังคงพูดอยู่ 

เหลียวฮังเอียงศีรษะ แต่ขณะเดียวกันสายตาก็ยังจดจ้องข่าวบนจอไม่กะพริบ 

ณ ห้องนั่งเล่น 

“เอาล่ะ ฉันนึกหาคำตอบไม่ได้อีกแล้วล่ะ ขอไปคิดต่อในฝันก็แล้วกัน ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อนเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว 

ซางหยิงฮ่าวพูด “เย่เฟย์หยู กู่ฉิงซาน อย่าลืมนะว่าพวกนายจะต้องเข้าร่วมฝึกกับทีมของฉันในวันพรุ่งนี้ เรามีทักษะใหม่ๆ ที่ต้องศึกษาเรียนรู้กัน” 

ทั้งสองพยักหน้ารับ 

แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปคนละทาง 

ซางหยิงฮ่าวปลีกตัวออกไปพร้อมหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา เพื่อสั่งการเตรียมพร้อมสำหรับในวันพรุ่งนี้ 

ส่วนกู่ฉิงซานกลับไปในห้องของเขา 

สำหรับเย่เฟย์หยูเขาเป็นผีดิบนักฆ่า เขาเลยไร้ซึ่งความเหนื่อยล้า จึงเลือกที่จะนั่งคนเดียวอยู่บนโซฟา 

มันยังไม่ถึงชั่วโมงที่จะได้ยินเสียงของคนตาย ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรทำไปสักพักใหญ่ 

เย่เฟย์หยูกำลังคิดจะเล่นเกม แต่ก็นึกได้ว่าเขาควรจะฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธที่กู่ฉิงซานให้มาจะดีกว่า 

เขาหยิบหนังสือฝึกยุทธขึ้นมา และพลิกหน้ากระดาษออก 

ตามด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหมึกพิมพ์ลอยฟุ้งขึ้นมา 

“มันพึ่งถูกตีพิมพ์นี่…” เย่เฟย์หยูพึมพำ 

เขาพลิกหน้าแรก 

เห็นแค่เพียงในหน้าแรก มีสามตัวอักษรจีนขนาดหนา พิมพ์อยู่บนบรรทัดใหญ่ใจความว่า “ต้องการที่จะเห็นวิญญาณคนตายหรือไม่?” 

เห็นวิญญาณคนตาย! 

เย่เฟย์หยูดึดตัวขึ้นจากโซฟา หลังตั้งตรงและเริ่มกวาดสายตาอ่านหน้าต่อๆ ไปของมันอย่างรอบคอบ 

… 

กู่ฉิงซานกลับมาที่ห้องของเขา จากนั้นก็นั่งขาซ้ายทับขาขวา เริ่มทำการควบคุมลมหายใจ ขณะเดียวกันก็หยิบใบหยกที่ฉินรั่วมอบให้ขึ้นมา 

เขาถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป จากนั้นก็เริ่มเฝ้ามอง เฝ้าสังเกต ใคร่ครวญตริตรองถึงข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของฉีหยานอย่างรอบคอบ 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลายชั่วโมง 

ตกดึก กู่ฉิงซานก็วางใบหยกลง 

เขาเริ่มระดมพลังวิญญาณจากตันเถียน ค่อยๆ ปรับมันให้เข้ากับพลังวิญญาณที่เปลี่ยนไปในขอบเขตก้าวสู่เทพ 

ทั้งหมดไม่มีใครรู้เลยว่า เหลียวฮังที่อยู่ในห้องนอนของตัวเอง กำลังจดจ้องจอม่านแสงชนิดหัวชนฝา และทำการดูวิดีโอที่บันทึกภาพคำกล่าวอาลัยของประธานาธิบดีผ่านทางโทรทัศน์เป็นรอบที่สอง 

กลางคืนได้ผ่านพ้นไป 

เช้าวันรุ่งขึ้น 

ซางหยิงฮ่าวตื่นก่อนเป็นคนแรก 

ส่วนเหลียวฮังได้ขึ้นเรือรบประจัญบานขนาดเล็ก มุ่งหน้าไปยังป้อมปราการเฉินเตี้ยนเฮ่า เพื่อดำเนินการจัดหมวดหมู่และเขียนวิธีการฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธ 

เทพธิดากงเจิ้งได้ส่งตัวอย่างการตัดแต่งพันธุกรรมมาเป็นการชั่วคราว 

กู่ฉิงซานขบคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะใช้ให้เย่เฟย์หยูเป็นตัวทดลอง 

แล้วเย่เฟย์หยูก็กลายสภาพเป็นนายน้อยชุดคลุมม่วงทันที 

“ดูเหมือนว่ากระทั่งผีดิบนักฆ่าก็ยังคงสามารถทำการตัดแต่งศัลยกรรมใบหน้าได้นะ” กู่ฉิงซานสำรวจลักษณะที่เปลี่ยนไปของเย่เฟย์หยูอย่างรอบคอบและกล่าว 

“แต่ดวงตาของฉันก็ยังคงเป็นสีแดงเลือดอยู่ดี” 

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “หลังจากทดลองไปกว่าเจ็ดพันเก้าร้อยสี่สิบเอ็ดกระบวนการ ข้อสรุปสุดท้ายที่ได้ก็คือ เอกลักษณ์บางอย่างที่โดดเด่นของผีดิบนักฆ่า ไม่สามารถแปลงโฉมมันได้ด้วยน้ำยาตัดแต่งพันธุกรรม” 

เย่เฟย์หยูพอได้ยิน ทั้งคนทั้งร่างก็แลดูเหี่ยวเฉาเศร้าสร้อยลง 

“เป็นอะไรไป?” กู่ฉิงซานถาม 

เย่เฟย์หยูยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “ก็ไม่เป็นอะไรหรอก แค่อยากจะรู้ว่ารูปร่างหน้าตานี้ของฉันมันจะอยู่ได้นานแค่ไหนกันน่ะ?”

“ห้าวัน”

“ถือว่านานจริงๆ” 

“ด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการจะไล่ล่าตัวนาย เพราะงั้น ถ้าอยู่ในสภาพนี้นายจะปลอดภัยกว่า” 

“เข้าใจแล้ว” 

ภายนอกบ้าน รถเหินเวหาได้มาถึงแล้ว 

กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูเดินขึ้นไป  

และรถเหินเวหาก็ออกจากวิลล่าบนภูเขา 

“พวกเราจะไปไหนกันตอนนี้?” เย่เฟย์หยูถาม 

“ไปเมืองหลวง ซางหยิงฮ่าวได้จัดเตรียมคนไว้ช่วยฝึกฝนพวกเราไว้เป็นพิเศษแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว 

“คนอื่นอย่างงั้นเหรอ?” 

“ใช่ ส่วนเขากำลังไปเตรียมของน่ะ” 

เย่เฟย์หยูถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ฟังดูค่อนข้างยิ่งใหญ่จังนะ ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะใส่ใจถึงขนาดนี้” 

กู่ฉิงซาน “ใช่ ฉันก็คิดว่างั้นเหมือนกัน” 

“ว่าแต่พวกเราจะต้องเรียนรู้เรื่องอะไรกัน?” 

พอได้ยินคำถามนี้ กู่ฉิงซานก็นิ่งงันไป 

เขารู้แค่ว่าซางหยิงฮ่าวจะเป็นคนจัดการออกแบบบางสิ่งบางอย่างให้ทั้งสองได้เรียนรู้มาโดยเฉพาะเท่านั้น 

แต่เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องศึกษาสิ่งใด 

“ฉันคิดว่าคงเป็นการฝึกฝนเรียนรู้เรื่องการปลอมตัวนั่นน่ะแหละ และนายสมควรที่จะเรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้” กู่ฉิงซานกล่าว 

ไม่นานนัก เสียงอิเล็กทรอนิกส์จากรถเหินเวหาก็ดังขึ้น แจ้งเตือนทั้งสองว่ากำลังจะถึงปลายทางในไม่ช้า 

“ฝึกน่ะฝึกได้ แต่ฉันจะต้องกลับไปหาเธอในช่วงเวลาตอนเย็นนะ” เย่เฟย์หยูบอก 

“เวลาของนาย นายก็ต้องเป็นคนควบคุมมันเองสิ” กู่ฉิงซานกล่าว 

เย่เฟย์หยูสวมหมวก ตามด้วยแว่นกันแดด 

“นายไม่จำเป็นต้องใช้แว่นกันแดดหรอก” 

“อ๋า? ทำไมล่ะ” 

จู่ๆ กู่ฉิงซานก็หยิบกล่องขนาดเล็กที่แลดูสวยงามขึ้นมาวางบนโต๊ะ 

“นี่สำหรับนาย” เขากล่าว 

“มันคืออะไร?” เย่เฟย์หยูถามอย่างอยากรู้อยากเห็น 

“ก่อนหน้านี้ฉันได้เคยให้คำมั่นกับนายไว้พอจะจำได้ไหม ว่าเมื่อนายสามารถควบคุมเจตนาฆ่าในจิตใจลงได้ นายก็จะมีชีวิตได้เหมือนกับคนปกติ” 

“นี่คือความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุด มันคือเลนส์กระจกตาชีวภาพรุ่นสมบูรณ์แบบ” กู่ฉิงซานกล่าว “ด้วยเจ้าสิ่งนี้ นายจะสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนปกติ หลังจากการฝึกฝนนี้จบลง นายก็สามารถไปเยี่ยมแม่นายได้ตลอดเวลา” 

“จริงๆ เหรอ!?” เย่เฟย์หยูรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที 

“จริงสิ นายไม่จำเป็นต้องคอยอยู่แต่ในวิลล่าทั้งวัน เอาแต่เฝ้ารอให้วันเวลาผ่านพ้นไปเรื่อยๆ อีกต่อไปแล้ว…เทคโนโลยีนี่ มันเปลี่ยนชีวิตของคนเราได้จริงๆ นะ” 

เย่เฟย์หยูมองดูเขาด้วยแววตาซาบซึ้ง “ฉันจะจดจำน้ำใจในครั้งนี้ของนายเอาไว้ สลักมันลึกลงในหัวใจ” 

เขาเปิดกล่องดู 

ภายในคือคู่เลนส์อันสวยงามสำหรับแปะทับลงบนดวงตา

........................................