ตอนที่ 270 ช่วยเหลือก่อนเป็นอันดับแรก
ติ๊ง!
เสียงระบบดังคมชัด
“คุณได้รับพลังขยายผลยับยั้งลมหายใจ”
“ขยายผลยับยั้งลมหายใจ...เมื่อคุณใช้วิชาลับยับยั้งลมหายใจ จิตสัมผัสเทวะใดๆ ก็มิอาจตรวจสอบมายังคุณได้”
“ระยะเวลาการแสดงผล...สามวัน ”
สิ่งนี้นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว และสลักทุกๆ ตัวอักษรของมันไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
เขาหยิบดิสก์ค่ายกลที่ได้จากเจ้าปลาน้อยออกมา และวางมันลงในฝ่ามือของตน
กู่ฉิงซานปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปกระตุ้นตัวดิสก์ แต่แล้วในขณะนั้นเอง จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขึ้นในถุงสัมภาระ
เขาตบลงบนถุง และตัวบาตรก็บินออกมา ลอยล่องอยู่กลางเวหา
ตัวบาตรเปล่งแสงรัศมีสีทอง ส่งเสียงฮึมฮัมเป็นท่วงทำนองสวดมนต์ของพุทธะออกมาอย่างแผ่วเบา
มันต้องการสื่อความหมายโดยการปลดปล่อยพลังกระจายตัวไปรอบๆ อย่างเคร่งขรึม
“เจ้าไม่ต้องการเริ่มใช้งานดิสก์ค่ายกลนี่หรอก” เสียงดังออกมาจากตัวบาตร
ใบหน้าของกู่ฉิงซานเผยถึงความฉงน เขามองไปยังตัวบาตรด้วยความสงสัย
วิญญาณที่อยู่ในบาตรยังคงเอ่ยต่อ “มีดาบนับไม่ถ้วนคอยเฝ้าปกป้องอยู่ในสถานที่แห่งนั้น แต่หากเจ้าไปยังสถานที่ที่ว่า ในที่สุดแล้ว เจ้าก็จะพบเจอกับ ‘จิตอาร์ติแฟคที่ไม่เหมาะสมกับตน’ อยู่ดี”
“หากเป็นเช่นนั้น แล้วข้าสมควรที่จะทำอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
บาตรบินวนไปรอบตัวเขา แล้วเอ่ยปากกล่าวอย่างช้าๆ “อันที่จริงแล้ว ในโลกใบนี้ ไม่ว่าสิ่งใดก็มิอาจหลบเร้นหนีรอดสายตาไปจากจิตอาร์ติแฟคของข้าได้ และข้ามั่นใจในวิสัยทัศน์ของตนเองเป็นอย่างมากสำหรับเรื่องนี้”
“ในอดีต ข้าเคยทำการเลือกสรรผู้สืบทอดมามากมาย แต่แล้วในที่สุด ข้าก็ค้นพบว่าเจ้านี่แหละคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดแล้วกับตำแหน่งที่ว่า”
ในตัวบาตร ดิสก์ค่ายกลที่เคยนำทางทีมของกู่ฉิงซานลงไปใต้ซากปรักหักพังพลันกระโดดออกมา
“เจ้าจงกระตุ้นดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้เสีย แล้วไปด้วยกันกับข้า” บาตรกล่าว
ดิสก์ค่ายกลทะยานตัวขึ้น แล้วลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานก้มลงมองดิสก์ค่ายกลในมือ ก่อนจะสลับไปมองดิสก์ค่ายกลที่ลอยอยู่กลางอากาศ และพบว่ามันช่างเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะตัดสินใจ
ดิสก์ค่ายกลทั้งสองนี้ แน่นอนว่าย่อมนำพาไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
“แล้วท่านจะพาข้าไปที่ใด?” เขาเอ่ยถาม
“ที่ซึ่งเซียนอมตะลู่เคยอยู่อาศัย มันเป็นสถานที่สันโดษที่ถูกแยกตัวออกจากโลก และไม่มีใครสามารถค้นหามันพบได้” บาตรกล่าว
“เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ และครั้งหนึ่งยังเคยถึงขั้นสามารถทะลวงกำแพงอุปสรรคที่ขวางกั้น ไปยังโลกอื่นมาแล้วด้วย”
“อย่างที่เจ้าพอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ไม่อาจต่อกรกับเผ่ามารได้ จึงจำต้องขอกำลังเสริมจากภายนอก เดิมทีแล้วจุดประสงค์ของพวกเขาคือต้องการเรียกตัวเซียนอมตะลู่กลับมา”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเราจะไปทำอะไรที่นั่น?”
“เจ้าก็เพียงแค่มากับข้าและยอมรับสืบทอดมรดกของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกปรือวรยุทธและทำการทะลวงขอบเขตอย่างช้าๆ”
“ส่วนข้าจะร่วมมือกับจิตอาร์ติแฟคตนอื่นๆ เพื่อช่วยเร่งยกระดับให้เจ้าก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว...เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนวันหนึ่ง เจ้าจะก้าวขึ้นไปอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับเซียนอมตะลู่อย่างภาคภูมิ”
กู่ฉิงซานเริ่มลังเล แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะเอ่ยปากถามออกไปอีกอยู่ดีว่า “เช่นนั้น พวกเราจะต้องใช้เวลาอยู่ในสถานที่ดังกล่าวนานเพียงใด?”
“ประมาณหนึ่งปี” จิตวิญญาณในบาตรกล่าวอย่างช้าๆ “แต่เจ้าวางใจเถอะ พวกเราได้ทำการคำนวณเอาไว้แล้ว ว่ากว่าที่ชายในชุดคลุมม่วงจะทำการหลอมกลั่นโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ มันจำต้องใช้ระยะเวลาที่มากกว่าหนึ่งปี”
หนึ่งปี!
หากมันต้องใช้เวลามากถึงขนาดนั้นแล้วล่ะก็…
กู่ฉิงซานปฏิเสธทันที “ไมตรีของท่านข้าซาบซึ้งจับใจ แต่คงต้องขออภัยแล้ว นั่นเพราะข้ามิอาจไปที่นั่นได้”
จิตวิญญาณในบาตร “เจ้าต้องไปกับข้า ตราบใดที่ครบหนึ่งปี เจ้าจะมีพลังเทียบเคียงในระดับเดียวกันกับชายคนนั้น จิตอาร์ติแฟคในโลกทั้งใบนี้จะออกหน้าช่วยเหลือเจ้า”
มันเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะสามารถมอบความพ่ายแพ้ให้แก่เขาได้อย่างแน่นอน และจะสามารถกอบกู้โลกใบนี้ได้!”
“ระยะเวลาหนึ่งปีมันยาวนานเกินไป ข้าต้องขออภัยจริงๆ ข้ามิอาจไปได้” กู่ฉิงซานส่ายหัว เขาใช้หนึ่งมือผลักดิสก์ค่ายกลที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับไปยังบาตรพระอย่างแผ่วเบา
“เพราะเหตุใด? เจ้ามิเต็มใจที่จะกอบกู้โลกใบนี้กระนั้นหรือ?” จิตวิญญาณในบาตรเอ่ยด้วยความงงงวย
“โลกใบนี้เป็นเรื่องรองจำต้องละเอาไว้ข้างกาย นั่นเพราะเรื่องหลักคือข้าจำเป็นที่จะต้องช่วยท่านอาจารย์ก่อนเป็นอันดับแรก”
กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณลงไปกระตุ้นดิสก์ค่ายกลในมืออย่างรุนแรง
ดิสก์ค่ายกลเปล่งประกายแสงสดใส
ในวินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไปจากเต็นท์ทหาร
ณ สุดปลายซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของถ้ำลาวา
บริเวณเหวลึก
ในสถานที่ซึ่งจิตสัมผัสเทวะ และวิสัยทัศน์มิอาจเข้าถึงได้
กู่ฉิงซานยืนอยู่ริมขอบหน้าผา เขาทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกล เพื่อเรียกขานสองดาบกับหนึ่งปลาเล็กให้มาหา
ในขณะที่กำลังเฝ้ารออย่างสงบ
ดาบเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาจากความมืดในฉับพลัน ตามด้วยดาบอีกเล่มที่ลอยประกบมาติดๆ
สุดท้ายก็เป็นร่างของปลาเล็กที่ปรากฏขึ้น
จิตวิญญาณของมันดูดีขึ้นกว่าในคราก่อนมาก มันว่ายวนไปรอบๆ กู่ฉิงซานอย่างสนิทสนม
“อะไรนะ? นี่เจ้าไม่คิดว่าข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งจริงๆ อย่างนั้นหรือ? มันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก เพราะข้ามาแล้วอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ” กู่ฉิงซานกล่าวพลางหัวเราะ
“…อืม ข้าพร้อมแล้ว”
“ขอให้สุภาพเข้าไว้? เช่นนั้นโปรดวางใจเถอะ ข้าจะรักษาความสุภาพเอาไว้อย่างแน่นอน”
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังกล่าว เขาก็เห็นว่าปลาตัวเล็กได้เบนสายตาหันกลับไปมองสองดาบยาววูบหนึ่ง
หนึ่งเป็นดาบยาวที่แตกหัก และอีกหนึ่งเป็นดาบยาวที่ได้รับการช่วยเหลือจากเขาในทะเลสาบลาวา
เวลานี้ ทั้งสองดาบถูกประกบติดเข้าด้วยกัน และค่อยๆ ผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ปลาเล็กว่ายไปเวียนวนรอบดาบยาว และเอาหัวชนเข้ากับอักษรโบราณลึกลับที่แกะสลักไว้บนด้ามดาบ
สองตัวอักษรพลันเปล่งแสงสว่างไสว ก่อนจะซึมซับหายลงไปในด้ามดาบอย่างรวดเร็ว
จากนั้นมันก็ลอยมาร่วงตกลงในมือของกู่ฉิงซาน
บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยกระโดดขึ้นมา
“ค้นพบดาบจากยุคโบราณอันไกลโพ้น ชื่อของมันคือ ‘ดาบเช่าหยิน[footnoteRef:1]’ (เสียหาย)” [1: เช่าหยิน – เสียงคลื่นกระทบ]
“ในสมัยโบราณ โลกเทวะนั้นเต็มไปด้วยมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด และเทพวิญญาณก็ได้โยนดาบเล่มนี้ทิ้งลงในสี่ห้วงสมุทร”
“ผู้ที่ถือครองดาบนี้ จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล”
“ดาบเล่มนี้ถูกทิ้งไว้มานานนับปี จนตอนนี้อยู่ในสภาพเสียหาย คุณจำเป็นต้องทำการซ่อมแซมมันให้กลับมาสมบูรณ์ จึงจะสามารถกระตุ้นพลังที่แฝงอยู่ของมันกลับคืนมาได้”
มันเป็นเพียงบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรที่มีไม่กี่คำเขียนอยู่อย่างเรียบง่าย และไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสกิลของตัวดาบปรากฏออกมาเลย
กู่ฉิงซานมองไปยังดาบยาวและเอ่ยปากถาม “ครั้งหนึ่ง ท่านเคยถูกเรียกว่าเช่าหยินกระนั้นหรือ?”
ดาบยาวสั่นเล็กน้อย และพริบตาเดียวกันมันก็เปล่งแสงออกมา ทิ่มทะลุเหวอันมืดมิด เปิดทางนำกู่ฉิงซานบินลงไปยังเบื้องล่างของก้นเหว
รังสีแสงนี้มิเพียงทำหน้าที่เปิดทาง แต่มันยังคอยห่อร่างของกู่ฉิงซานเอาไว้อย่างแน่นหนา เพื่อปกป้องเขาจากทุกๆ ภยันตรายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
ข้ามผ่านช่วงเวลาอันยาวนาน ในที่สุดทั้งคนทั้งดาบก็ลงมาถึงเบื้องล่างของหุบเหว
พื้นดินที่นี่แข็งเป็นหิน และโดยรอบก็ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
อย่างไรก็ตาม ทั่วทุกตารางนิ้วกลับเต็มไปด้วยปราณดาบอันน่าหวาดหวั่น มันอัดแน่นจนทำให้กู่ฉิงซานแทบจะหายใจไม่ออก
โชคยังดีที่กู่ฉิงซานเคยฟันฝ่าสกิลดาบทั้งหลายจนก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตนักดาบนิรันดร์มาก่อน มิฉะนั้นปราณดาบที่คุกรุ่นอยู่ที่นี่คงตัดสะบั้นห้วงสตินึกคิดของเขาออกไปแล้ว
หากเป็นดั่งในกรณีที่ว่ามา ตัวกู่ฉิงซานก็จะกลายเป็นเพียงตัวโง่งม ที่ไม่สามารถนึกคิดอะไรได้อีกเลย
ดาบเช่าหยินในมือฉุดลากเขาไป นำทางไปยังมุมๆ หนึ่งของหุบเหว
ที่แห่งนี้ปรากฏให้เห็นถึงโพรงถ้ำที่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยหิน ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด
เช่าหยินกับกู่ฉิงซานก้มตัวลง มุดเข้าไปในโพรงและซ่อนตัวอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ
“มีใครบางคนกำลังมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ดาบยาวผงกหัวเล็กน้อย และในตอนนั้นเอง
ร่างของเหล่าผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าที่สวมหมวกไม้ไผ่ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานคิดว่าเวลานี้แลจึงเหมาะสมแล้วที่จะใช้วิชาลับยับยั้งลมหายใจออกมาเลยโดยตรง
ติ๊ง!
“ขยายผลยับยั้งลมหายใจ ถูกเปิดใช้งานแล้ว เมื่อคุณเก็บลมหายใจของตน ร่องรอยทั้งหมดของคุณจะหายไป ไม่ว่าใครก็มิอาจเห็นหรือตระหนักถึงคุณได้ จนกว่าพวกเขาจะพบเห็นคุณด้วยสองตาของตนเอง”
กู่ฉิงซานคว้าจับหินอีกสองสามก้อนขึ้นมาวางบดบังร่างของตนเอง และเฝ้ารอชมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปอย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก ก็บังเกิดเสียงสายลมเล็กน้อยดังลอดผ่านมาในอากาศที่ว่างเปล่า จากระยะไกลและกำลังใกล้เข้ามา
“เร่งลงมือเร็วเข้า”
เสียงของชายที่เปี่ยมบารมีตะโกนดังขึ้น
ตามด้วยเสียงที่ฟังดูนอบน้อมราวๆ เจ็ดถึงแปดเสียงขานรับ
มองไปยังเหล่าผู้ฝึกยุทธที่สวมหมวกไม้ไผ่ ในมือกุมดาบยาวที่น่าจะเป็นของโลกใบนี้ ปรากฏตัวขึ้นเบื้องล่างของเหวลึก
พวกเขาล้อมหน้าล้อมหลังเป็นวงกลม และทิ่มแทงดาบยาวที่มีจิตอาร์ติแฟคแทรกลงไปในพื้นดิน
“ดีมาก เอาล่ะ มาเปิดประตูสู่เบื้องล่าง และชมดูว่ามีสิ่งใดกันแน่ที่หลบซ่อนตัวอยู่กันเถอะ” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว
ดาบยาวสั่นไหวเล็กน้อย มันส่งเสียงครวญที่ฟังคล้ายกับหินกระทบกันดังกึกๆ
เจ้าของเสียงเปี่ยมบารมีเอ่ยปากกล่าว “จงอย่าดิ้นรนขัดขืนไป นี่คือวิชาลับที่นายน้อยนิกายเราจำต้องจ่ายออกไปด้วยราคาที่มหาศาลยิ่งจึงจะแลกมันมาได้ และมันมีพลังที่สามารถควบคุมจิตอาร์ติแฟคของพวกเจ้าได้โดยสมบูรณ์!”
เหล่าดาบยาวพอได้ฟังก็นิ่งไป มิเคลื่อนไหวขัดขืนอีกเลย
ไม่นานนักภายใต้พื้นดินก็บังเกิดเสียงหึ่งๆ ดังลอดขึ้นมา
ผืนดินเบื้องล่างเริ่มที่ปริออก
“ยอดเยี่ยม ต้องแบบนี้สิถึงจะถูกต้อง” เสียงเปี่ยมบารมีเอ่ยออกมาด้วยความพึงพอใจ
หลังจากเกิดการสั่นสะเทือนอยู่นาน ในที่สุดพื้นผิวดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกระแหงและดาบยาวทั้งหลายก็ฉวยโอกาสที่ว่านั่น ทิ้งดิ่งตนเอง ร่วงตกลงไปในรอยร้าวอย่างรวดเร็ว
“ฮี่ๆ คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ ลองเจอกับวิชาลับควบคุมของข้าหน่...”
แต่แล้วในวินาทีต่อมา ก็พลันบังเกิดเสียงดังหึ่งๆ อันน่าสะพรึงกลัวกังวานขึ้น “นะ...นี่มันเสียงอะไรกัน?”
เสียงฮึมฮัมที่ดูแข็งกร้าว ดังกึกก้องไปทั่วเบื้องล่างของเหวลึก
ตามด้วยเสียงโวยวายและกรีดร้องอันน่าสมเพชของมนุษย์ และในวินาทีต่อมา ทุกสรรพสิ่งก็เงียบลงในฉับพลัน
กระทั่งกู่ฉิงซานที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงถ้ำ ก็ยังไม่แคล้วได้รับผลกระทบจนเกิดอาการวิงเวียน และยังคงมีเสียงหึ่งๆ ตกค้างอยู่ในหัวของเขา
เขาหลับตาลง เอนอิงแนบชิดแผ่นหลังกับผนังถ้ำ ปล่อยให้สายลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาตามรอยเชื่อมของหิน เสียงสายลมที่แทรกมาตามรอย ฟังดูแลคล้ายเสียงของปีศาจที่กำลังร่ำไห้
เสียงร่ำไห้จากสายลมพัดผ่านอยู่หลายสิบลมหายใจ ก่อนที่จะสงบลงในที่สุด
กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับตัว และออกไปเดินสำรวจภายนอก
ทว่าสิ่งที่เขาพบเห็นกลับมีเพียงพื้นที่เปิดโล่ง…เบื้องล่างหุบเหวบัดนี้ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย
ทุกคนหายตัวไปหมด แม้กระทั่งเลือดสักหยดก็ยังไม่มีย้อยลงมาให้เห็น
กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว
ฉากที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่มันน่าตกใจจริงๆ
มันเริ่มต้นจาก ผืนดินปริร้าว แตกระแหงออกจากกัน แล้วเบื้องล่างของมันก็ปรากฏให้เห็นเจี้ยนไห่[footnoteRef:2] พวกมันทั้งหมดบินว่อนไปมาไม่รู้จบ [2: มหาสมุทรแห่งดาบ หมายถึงที่ซึ่งเต็มไปด้วยดาบอันมากล้น]
ภายในเจี้ยนไห่ ดาบแล้วดาบเล่านับล้านๆ เรียกร้องหากัน จากนั้นก็ร่วมมือประสานกันระเบิดปราณดาบขึ้นในฉับพลัน กวาดสังหารทุกสรรพชีวิตเบื้องบนที่คิดรุกรานลงมาจนเหี้ยนในพริบตาเดียว
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ เขาไม่คาดคิดเลยว่าหุบเหวลึกที่อยู่สุดปลายทางของถ้ำลาวาแห่งนี้ แท้จริงแล้วจะมีเจี้ยนไห้ตั้งอยู่เบื้องล่าง
ดาบเช่าหยินลอยตามเขาออกมา และปักลงบนพื้นดินเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“ท่านต้องการที่จะพาข้าลงไปอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัมตอบรับ
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเอื้อมมือไปจับลงบนด้ามดาบ และทั้งร่างของเขาก็ค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยชั้นรังสีแสงอีกครั้ง
พื้นดินปริร้าว และเริ่มแยกตัวออกอีกครา
และดาบเช่าหยินก็นำพาเขาร่อนลงไปมาลอยอยู่เหนือเจี้ยนไห่
อย่างไรก็ตาม คราวนี้ แทนที่จะเป็นดาบนับล้านเบื้องล่างที่เริ่มส่งเสียงหึ่งๆ แต่กลับกลายเป็นดาบเช่าหยินที่ส่งเสียงสื่อสารออกมาก่อนแทน
ดังนั้นภายในเจี้ยนไห่ ดาบทั้งหมดจึงยังคงล่องลอยอย่างสงบ มิคิดเข่นฆ่าสังหารเขาเหมือนดั่งที่ทำกับกลุ่มคนเมื่อครู่
แล้วดาบเช่าหยินก็นำพากู่ฉิงซานร่อนลงไป
แต่ทันใดนั้นเอง ดาบยาวนับไม่ถ้วนก็อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหว พวกมันลอยเข้ามาขวางทางทั้งสอง
ทว่าดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาอีกครั้ง
กู่ฉิงซานพอได้เห็นถึงฉากนี้ ปากก็เอ่ยกล่าวออกมาทันใด “ถูกต้องแล้วล่ะ ข้ามิใช่ผู้รุกรานจากโลกนั้นหรอก ตรงกันข้ามเลย ข้าเป็นผู้ที่ต่อต้านพวกเขาเสียด้วยซ้ำ”
เพียงแค่น้ำเสียงนี้ตกลง ก็บังเกิดเสียงปัง! ขึ้นในอากาศ และดาบยาวทั้งหมดก็ถอยฉากออกมา เปิดเส้นทางให้แก่เขาอย่างง่ายดาย
เส้นทางเข้าอันกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“ขอบพระคุณมาก ขอบพระคุณจริงๆ” กู่ฉิงซานหนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ ปากเอ่ยกล่าว
แล้วดาบเช่าหยินก็นำกู่ฉิงซานร่อนลงไปตลอดเส้นทาง
ทุกที่ที่พวกเขาข้ามผ่าน ไม่ว่าที่ใด หากมีดาบยาวลอยล่องขวางทางอยู่ พวกมันจะหลีกทางอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ทั้งสองดำดิ่งลึกลงไปในมหาสมุทรแห่งดาบ
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ และเห็นแค่เพียงปราณดาบอันคมกริบ ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบยาวทั้งหลาย
ดาบยาวบางเล่มเปล่งประกายสดใส บางเล่มเสียหายแตกหัก ขณะที่บางส่วนบริเวณใบดาบถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
ดูเหมือนว่าดาบเกือบทุกเล่มในโลกแห่งเทวะเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ทั้งหมดยังคงลอยนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ และแม้ว่าพวกมันจะอยู่รวมกัน แต่กลับแสดงออกให้เห็นถึงความเฉื่อยชาราวกับคนตายออกมาอย่างชัดเจน
กู่ฉิงซานที่มองเห็นเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “แล้วดาบเหล่านั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ดาบเช่าหยินสั่นเล็กน้อย
“…เจ้าของตกตายลงไปกันหมดแล้ว? เลยไม่มีสถานที่ไปอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
หากกล่าวอย่างเคร่งครัด จิตอาร์ติแฟคนับว่ามีการดำรงอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ พวกมันมีความปรารถนาที่จะเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ก็ไม่สามารถแยกตัวออกจากจิตสัมผัสเทวะที่ผสานเข้ากับของผู้เป็นนายได้
มนุษย์คือจุดสูงสุดของทุกสิ่งมีชีวิต ดังนั้นเมื่อผู้ฝึกยุทธยกระดับพัฒนาพื้นฐานวรยุทธตนอย่างต่อเนื่อง จิตเทวะก็จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ทว่าสำหรับจิตอาร์ติแฟค หากต้องการที่จะยกระดับตนเองต่อไป พวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำการเชื่อมต่อกับจิตเทวะของผู้ฝึกยุทธ เพื่อให้ได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงโดยจิตเทวะ เพื่อที่จะสามารถยกระดับจิตวิญญาณธรรมชาติของตนได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไป
ทว่าผู้ฝึกดาบของโลกใบนี้ล้วนตกตายลงสิ้นแล้วอย่างแน่นอน
ดังนั้น จิตแห่งดาบเหล่านี้จึงสูญสิ้นการพึ่งพาอาศัยเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา และทำได้เพียงปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปอย่างสูญเปล่า ไร้ซึ่งความหวังใดๆ ในอนาคต
และสิ่งที่กำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า คือความเปล่าเปลี่ยวอันชั่วนิรันดร์…
...................................................