ตอนที่ 230 หมื่นอาณาจักรสิ้นกาลปาวสาน
จ้าวมณฑลคนแล้วคนเล่าต่างพากันหันมามองสีหน้าตกตะลึงของซูเซี่ยเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม
ครั้งแรกที่พวกเขาได้ตระหนักถึงความจริงของเรื่องนี้ สีหน้าท่าทีที่แสดงออกของพวกเขาก็ไม่แตกต่างไปจากเธอเช่นเดียวกัน
“รีบไปกันเถอะ พวกเราควรจะไปถึงเชิงเขาก่อนที่จะมืด ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเหล่าสิ่งที่ดุร้ายและน่าหวาดกลัวปรากฏออกมา มันจะเป็นปัญหาเอา” จ้าวมณฑลที่ยืนอยู่หัวแถวกล่าว
เมื่อแต่ละคนได้ยินคำกล่าวของเขา สีหน้าของเหล่าจ้าวมณฑลพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา และต่างก็เร่งฝีเท้าของพวกเขาให้ไวขึ้น
ที่แห่งนี้คือขั้วโลกเหนือ
ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาค่ำ ท้องฟ้าก็จะไม่มืดมิด
ทว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้ม เมฆหมอกจะเริ่มหนาขึ้นจนดวงอาทิตย์ถูกบดบัง
แสงอาทิตย์เริ่มมืดลง และมืดลงเรื่อยๆ จนในที่สุด พวกเขาก็จะถูกปกคลุมโดยความมืด
ท่ามกลางพายุลมและฝน ในที่สุด กลุ่มคนเดินเท้ามาก็ถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขา
“ฉันขอพูดอะไรกับคุณสักหน่อยจะได้ไหม” จ้าวมณฑลคนหนึ่งเอ่ยออกมาพลางหอบหายใจ
“เรื่องอะไรล่ะ?” อีกคนถาม
“ปีหน้าอย่าตายเชียวนะ ฉันไม่อยากจะต้องมาทนเดินแบบนี้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ในเร็วๆ นี้”
“มีชุดคลุมดวงดาราคอยสนับสนุน คุณไม่น่าจะเหนื่อยขนาดนั้นหรอก”
“แต่มันลำบากมากเกินไป”
ในขณะที่หลายคนกำลังสนทนากัน ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็หันไปมองรอบๆ
ที่แห่งนี้คือภูเขาสูงที่ถูกทำขึ้นจากโลหะผสม และถูกปกคลุมปิดทับด้วยชั้นน้ำแข็งอีกที
เมื่อพวกเขาเดินเท้าเข้ามาถึงเชิงภูเขา แท่นโลหะขนาดเล็กก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
จ้าวมณฑลทั้งแปดก้าวไปข้างหน้า และวางมือลงบนแท่นดังกล่าวทีละคน
“มานี่สิ จ้าวมณฑลซู เธอก็ต้องวางมือลงด้วยนะ” บางคนเอ่ยเรียก
ซูเซี่ยเอ๋อร์ก้าวออกไปข้างหน้าและวางมือของเธอลงบนแท่นโลหะ
เมื่อได้รับรอยประทับพิมพ์มือของจ้าวมณฑลทั้งเก้า ปุ่มสีเขียวและสีแดงก็เด้งขึ้นมาจากแท่นโลหะ
“จงจดจำทั้งสองปุ่มนี้เอาไว้ให้ดี” จ้าวมณฑลกล่าว
“พวกมันมีไว้ทำอะไรอย่างนั้นหรือคะ?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม
“มันคือตัวสร้างคลื่นความผันผวนที่มีไว้ใช้ในการอำพรางพื้นผิวดาวโลก เป็นเพราะมัน อสูรกายเอกภพจึงไม่สามารถตรวจจับการดำรงอยู่ของโลกใบนี้ได้”
“กดปุ่มสีเขียวคือเริ่มต้นการทำงาน ส่วนปุ่มสีแดงคือหยุดการอำพราง”
“แล้วตอนนี้มันอยู่ในสถานะที่กำลังทำงานอยู่รึเปล่าคะ”
“มันถูกเปิดให้ทำงานมาตั้งนานแล้วจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ไม่อย่างนั้นพวกอสูรกายเอกภพจำนวนมาก คงไม่มีทางเมินดาวเคราะห์โลกที่แสนจะมีชีวิตชีวาของพวกเราไปหรอก”
“นี่คือเหตุผลที่ไม่มีศัตรูคนใดกล้ารุกรานรัฐบาลกลาง”
“ใครก็ตามที่กล้าต่อกรกับรัฐบาลกลาง พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝูงของอสูรกายเอกภพ”
“เจ้าจงจำไว้ให้ดี ว่าตราบใดที่ไม่มีใครกล้าบุกโจมตีสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางก็จะเป็นของพวกเราเก้าตระกูลใหญ่ตลอดไป”
จ้าวมณฑลกำลังเอ่ยสอนเธออย่างจริงจัง
“หนูจะจำเอาไว้” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว
“หากมีผู้รับสืบทอดคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น ก็ขอให้เจ้าชี้ทางและให้คำแนะนำแก่เขาเหมือนดั่งที่ฉันทำกับเจ้าในตอนนี้” จ้าวมณฑลที่ยืนอยู่ตรงแท่นโลหะกล่าว
“กำหนดตัวแน่ชัดแล้วใช่ไหม?” บนแท่นโลหะปรากฏน้ำเสียงที่ฟังดูทุ้มลึกดังออกมา
“ใช่ เธอมาถึงแล้ว”
จากนั้น ก็ไม่มีเสียงใดดังลอดออกมาอีก
อย่างไรก็ตามบริเวณเชิงเขา จู่ๆ ก็ปรากฏประตูโลหะและเส้นทางเส้นหนึ่งขึ้น
ภายในประตู เป็นห้องโลหะที่มีขนาดความกว้างราวๆ หนึ่งร้อยตารางเมตร กำลังค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างช้าๆ
ส่วนทางอีกสายหนึ่ง ทอดยาวขึ้นไปบนภูเขา
จ้าวมณฑลหลายคนเลื่อนสายตาตาม ทั้งหมดต่างบรรเทาลมหายใจออกและพากันเดินเข้าไปในห้องโลหะ
อุณหภูมิภายในห้องพักอบอุ่นให้ความรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ มีเก้าอี้นอนดูสะดวกสบาย อาหารว่างไว้ขบเคี้ยว และน้ำร้อนๆ เตรียมไว้พร้อมอาบ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมีเตียงเล็กๆ ไว้ใช้สำหรับพักผ่อน
เมื่อซูเซี่ยเอ๋อร์เห็นมัน เธอก็เดินติดตามพวกเขาเข้ามาข้างในทันที
“ไม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามา” จ้าวมณฑลคนหนึ่งกล่าว
“เอ๋? ทำไมกันล่ะคะ?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม
“เพราะเจ้าคือผู้สืบทอดคนใหม่ ดังนั้นเจ้าจะต้องเดินปีนป่ายขึ้นไปตามเส้นทางภูเขา ส่วนพวกเราจะอยู่ที่นี่ และปล่อยให้ผู้สืบทอดคนใหม่อย่างเจ้าปีนขึ้นไป”
“มันมีอะไรอยู่บนภูเขาอย่างนั้นหรือคะ?” ซุเซี่ยเอ๋อถาม
“พิธีสืบทอด”
“ก็แล้วสิ่งที่เรียกว่าพิธีสืบทอดนั้นคืออะไร?”
“เจ้าจะต้องไปดูมันด้วยตาของตัวเอง พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราต้องปฏิบัติตามกฎและเคารพมัน”
จ้าวมณฑลทั้งแปดมองหน้าเธอ ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“แต่มีคำแนะนำเพียงหนึ่งเดียว” จ้าวมณฑลที่มักจะเดินนำหน้าเอ่ยปากกล่าว
“ในฐานะที่เจ้าเป็นจ้าวมณฑล เจ้าจะมีสิทธิ์ร้องขอให้ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่ให้ความช่วยเหลือได้ แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะใช้สิทธิ์นั้น จงคิดตริตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วจึงตัดสินใจ”
ซูเซี่ยเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินออกไปตามเส้นทางที่พึ่งปรากฏขึ้นมาเมื่อครู่
ชุดคลุมดวงดาราส่องแสงสลัวๆ ออกมา คอยปกคลุมรอบกายซูเซี่ยเอ๋อร์
ระหว่างทาง ซูเซี่ยเอ๋อร์ไม่เห็นถึงสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่เลย ที่เธอทำก็เพียงแค่เดินปีนเขาขึ้นไปตามทางเท่านั้น
ภูเขาทั้งลูก เรียกได้ว่าเปลือยเปล่า
ท่ามกลางพายุร้าย บางครั้งก็พบเจอกับซากร่างส่วนหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งยื่นออกมาให้เห็น
ศพเหล่านี้คือคนที่ต้องการสืบค้นความลับหลังจากที่ดิ้นรนจนเฮือกสุดท้าย ความตายก็พรากจิตวิญญาณของพวกเขาออกจากร่างไป และปล่อยให้มันต้องลมหนาวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในขั้วโลกเหนือไปตลอดกาล
ทว่าสำหรับซูเซี่ยเอ๋อร์ ลมฝนไม่อาจพัดผ่านร่างกายของเธอได้ แต่ในขณะที่ปีนป่ายขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เธอก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายกำลังเริ่มลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
แม้จะมีชุดคลุมดวงดาราเปล่งประกายแสงแวววาวจางๆ ครอบคลุมทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อร์โดยสมบูรณ์แล้วก็ตามที
เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงระดับที่มนุษย์ไม่สามารถอยู่รอดได้ พลังเส้นสายหนึ่งจากภายในร่างกายของซูเซี่ยเอ๋อร์ จู่ๆ ก็เกิดการระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน!
มันคือพลังอันยิ่งใหญ่และไร้ที่สิ้นสุด ปรากฏออกมาในรูปแบบของแสงและความร้อน ห่อหุ้มร่างของซูเซี่ยเอ๋อร์เอาไว้อย่างแน่นหนา
ความอบอุ่นกลับคืนสู่ร่างกายของซูเซี่ยเอ๋อร์
“แปลกจัง นี่มันไม่ใช่พลังของฉันนี่นา” ซูเซี่ยเอ๋อร์ลองวิเคราะห์ถึงแหล่งที่มาของพลังงานเมื่อครู่ เอ่ยปากเสียงกระซิบ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงลวดลายของอักษรรูนที่ซับซ้อนและบิดเบี้ยวอยู่ในร่างกายของเธอ
มันเป็นลวดลายอักษรรูนที่เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลซู ลูกหลานทุกคนในสายเลือดจะต้องได้รับการยอมรับจากลวดลายอักษรรูนนี้ตั้งแต่ในวัยเด็ก
พวกเขาจะถูกกล่าวตักเตือนตั้งแต่ในวัยเด็กว่า ยามเมื่อทุกคนแก่ตายไปลวดลายอักษรรูนนี้จะถูกส่งต่อและจะต้องไม่ถูกตัดขาดไปจากคนในตระกูล
และจู่ๆ ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็เข้าใจถึงบางสิ่งขึ้นมาในทันใด
“แท้จริงแล้ว มันกลับกลายเป็นว่านี่คือพลังของท่านปู่ที่ส่งผ่านมันมาให้กับฉัน…”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มยกเท้าขึ้น และเริ่มมุ่งหน้าก้าวเดินต่อไปยังส่วนบนของภูเขา
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็มาถึงในส่วนด้านบนของภูเขาได้ในที่สุด
“ช่างปีนป่ายขึ้นมาถึงได้รวดเร็วนัก ดูเหมือนว่าในครั้งนี้เราจะมีผู้สืบทอดเป็นรุ่นเยาว์อย่างนั้นสินะ”
น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและสงบอย่างน่าแปลกประหลาด ได้ข้ามผ่านเสียงสนั่นของทั้งลมฝน เข้ามาในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อร์
“คุณเป็นใครกัน?” ซุเซี่ยเอ๋อถามด้วยน้ำเสียงสงบ
“ข้างนอกมันหนาว จงเข้ามาสนทนากันในห้องจะดีกว่า” น้ำเสียงของหญิงสาวเอ่ยออกมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น พื้นดินบนยอดเขาก็ส่วนหนึ่งก็ค่อยๆ เลื่อนตกลง และปรากฏบ้านหลังเล็กๆ ยกสูงขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว
ประตูบ้านถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ ทว่าจากภายนอกกลับเห็นแค่เพียงความมืดมิดจากภายใน
แน่นอนว่าซูเซี่ยเอ๋อร์ยังไม่เดินเข้าไป เธอเลือกที่จะมองสำรวจบ้านหลังเล็กอย่างรอบคอบเสียก่อน
‘ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็เป็นแค่บ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ดูสะอาดสะอ้านธรรมดาๆ’
แต่ที่แห่งนี้คือขั้วโลกเหนือ ท่ามกลางภูเขาซึ่งเป็นส่วนนอกของยานอวกาศขนาดยักษ์ การจะมีกระท่อมไม้ธรรมดาๆตั้งอยู่ มันย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ในเมื่อสุดท้ายก็คิดไม่ตก ซูเซี่ยเอ๋อร์จึงก้าวเข้าข้างใน
มีเพียงความเงียบท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงของลมและฝนพาดผ่านเข้ามาทางประตู จนก่อให้เกิดเสียงรบกวนเล็กน้อย
น้ำเสียงดังกล่าวดังขึ้นมาอีกครั้งจากในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อร์
“ยินดีต้อนรับ สาวน้อย ดูเหมือนว่าสมาชิกในครอบครัวของเจ้าจะสิ้นชีพลงแล้วสินะ”
“ถูกต้อง เป็นท่านปู่ของหนูเอง”
“เช่นนั้นเจ้าคงจะต้องโดดเด่นมากทีเดียว มิฉะนั้นท่านปู่ของเจ้าคงจะส่งผ่านตำแหน่งนี้ให้แก่รุ่นพ่อแม่ของเจ้าไปแล้ว”
“ไม่หรอก หนูไม่ได้โดดเด่นอะไร”
“ไม่เลวนี่ พอมาถึง ข้าก็ได้เห็นความเจียมเนื้อเจียมตัวของเจ้า หรือจะเรียกว่าอ่อนน้อมถ่อมตนดีล่ะ? แต่ยังไงซะนี่ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี”
“เด็กสาวเอ๋ย จงปิดประตูก่อนเถิด แล้วเข้ามานั่งหน้าเตาผิงสิ”
ซูเซี่ยเอ๋อร์ปิดประตูตามคำกล่าวของเธอ เสียงรบกวนจากลมและฝนเบื้องนอกก็ถูกตัดขาดไป
เธอเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าที่รักษามารยาท ทุกย่างก้าวช่างอ่อนช้อย ตรงไปยังเตาผิง
ผู้หญิงที่พูดคุยกับเธอ ดูจากโครงร่างก็น่าจะพอสามารถนับได้ว่าเป็นมนุษย์ เธอกำลังถือไม้เหล็ก เขี่ยๆ อยู่ตรงเตาผิง จนเกิดประกายไฟอ่อนๆ ปะทุขึ้นเป็นระยะๆ
ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทั้งๆ ที่ยังมิได้หันหน้ากลับมา “บนตัวเจ้ามีกลิ่นของสายลม เช่นนั้นโปรดจงใช้มันช่วยให้ถ่านในเตาลุกไหม้ได้ดีขึ้นหน่อยสิ”
“อ่า...ตกลง” ซูเซี่ยเอ๋อร์โบกมือออกไปอย่างอ่อนโยน
บังเกิดสายลมอ่อนๆ พัดโชยออกไป และเปลวเพลิงในเตาผิงก็ปะทุขึ้นมาทันที
แสงไฟส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ส่งผลให้ภายในห้องอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ซูเซี่ยเอ๋อร์ยังยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม คอยเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
คนตรงหน้าเธอปรากฏว่าเป็นคนหนึ่งที่อาวุโสมากแล้ว
คนนั้นขดตัวอยู่ในชุดคลุมขนาดใหญ่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยริ้วรอยลึกแลคล้ายถูกใบมืดกรีดเฉือน
ทว่าเธอกลับไม่มีทั้งตา จมูก อาจกล่าวได้ว่าเครื่องหน้าทั้งหมดว่างเปล่า
เว้นไว้เพียงปากของเธอก็ถูกเย็บเอาไว้ มีอาจเปล่งวาจาออกมาได้ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เสียงของเธอดังก้องอยู่ในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อร์ แทนที่จะดังลอดผ่านเข้ามาทางหู
ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทุกสัดส่วนที่ออกมาด้านนอกชุดคลุมของเธอล้วนเปลือยเปล่าและยับย่น แต่ละส่วนราวกับผลส้มถูกปอกเปลือกและคั้นน้ำออก
“หวังว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกกลัวนะ”
“ไม่หรอกค่ะ...”
“ถ้าเจ้ายังไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับข้าดี เจ้าสามารถเริ่มต้นได้ด้วยคำถามเล็กๆ น้อยก่อนก็ได้นะ” เสียงของหญิงอาวุโสดังขึ้นในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อร์
“ถ้าอย่างนั้นคำถามแรก ทำไมคุณถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม
“โฮ่ ตามปกติแล้วพวกผู้สืบทอด เวลาที่ได้เห็นข้า สองขาของพวกเขามักจะสั่นพั่บๆ และต่างต้องการให้การสืบทอดจบลงไวๆ จะได้รีบจากไป ไม่ค่อยจะมีใครเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ของข้านักหรอก” หญิงคนนี้เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันน้ำเสียงของเธอก็แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกสนใจไม่น้อย
มันไม่เป็นไรหรอกที่จะบอกเจ้า เพียงแค่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยได้เข้าร่วมเล่นเกมเล็กๆ แล้วบังเอิญได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์มาก็เท่านั้นเอง จากนั้นก็เลยได้รับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของเก้าตระกูลใหญ่ตลอดมา”
“เกมแห่งชีวิตนิรันดร์? เจ้าเกมที่แท้จริงแล้วคือกับดักอันน่าหวาดกลัวเหรอ!?” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว
“แต่เดี๋ยวก่อน” ซูเซี่ยเอ๋อร์พลันนึกได้ถึงบางสิ่ง แล้วกล่าวออกมา “หนูเคยได้ดูเกมแห่งชีวิตนิรันดร์อยู่หลายครั้ง แต่หนูกลับไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย”
“แน่นอนว่าเจ้าย่อมต้องไม่เคยเห็นข้า เพราะว่าข้าน่ะเคยเข้าร่วมเล่นเกมๆ นี้มาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว”
น้ำเสียงของหญิงอาวุโสเอ่ยออกมาด้วยความสุข “ใช่สิ เจ้ากำลังคิดว่าทำไมข้าถึงเข้าร่วมเล่นเกมที่อันตรายขนาดนั้นอยู่ใช่ไหม นั่นก็เพราะหลังจากที่ได้ทำการเปรียบเทียบและวิเคราะห์อย่างครอบคลุมแล้ว ข้าค้นพบว่ายาแห่งชีวิตนิรันดร์ของพวกเขา นอกเหนือไปจากผลข้างเคียงที่กว้างจนเกินไป มันก็นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ใกล้เคียงกับคำว่าอมตะอย่างแท้จริง มากที่สุดแล้ว”
“อย่างนั้นแสดงว่าสภาพของคุณในตอนนี้ มันเป็นเพราะผลข้างเคียงที่ว่าถูกต้องรึเปล่า?”
“ถูกต้องแล้วล่ะ อวัยวะภายในของข้าเกิดความผิดปกติขึ้น ข้าก็เลยจัดการสละพวกมันทุกชิ้นตั้งแต่แรกเริ่ม โดยการใช้น้ำยาชนิดพิเศษและเทคนิคลับ ดังนั้นข้าจึงยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้”
หญิงอาวุโสกางชุดคลุมออก และเผยให้เห็นถึงกระดูกที่ไร้เนื้อหนังสู่สายตาของซูเซี่ยเอ๋อร์
ซูเซี่ยเอ๋อร์มองไปยังสิ่งที่พึ่งปรากฏขึ้นฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเผยถึงสีหน้าไม่สู้ดีนัก และไม่อาจฝืนทนดูต่อไปได้
ช่างโหดร้ายนัก เพียงแค่ต้องการรักษาชีวิตของตัวเอง กลับทำถึงขนาดนี้
“ไม่ต้องทำสีหน้าแบบนั้นก็ได้ ถึงจะเห็นแบบนี้ ข้าก็พอใจนะกับสถานการณ์ในตอนนี้”
เสียงของหญิงอาวุโสดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้ายังเป็นเพียงรุ่นเยาว์ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจข้า แต่ว่าในท้ายที่สุดยามเมื่อหมื่นอาณาจักรสิ้นกัลปาวสาน วันสิ้นโลกได้มาถึง การที่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้นี่แหละ ถือว่าเป็นชีวิตที่หรูหราที่สุดแล้ว”
“หมื่นอาณาจักรสิ้นกัลปาวสาน วันสิ้นโลกได้มาถึง?” ซูเซี่ยเอ๋อร์จับใจความของเนื้อหานี้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าจะให้เจ้ายืนพูดต่อไปมันคงไม่ดี ยังมีเวลาอีกเยอะ จงนั่งลงก่อนเถอะ” หญิงอาวุโสกล่าว
ทันใดนั้นเก้าอี้โซฟาที่ดูเก่าแก่ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันตั้งอยู่เบื้องหน้าเตาผิงอย่างมั่นคงและพิถีพิถัน
.......................................................