ตอนที่ 190 ทุ่มเต็มกำลัง
เสียงร้องระงมที่ฟังดูน่าอเนจอนาถของก้อนเนื้อยักษ์ดังขึ้นจากในระยะไกลออกไป
เลือดสดๆ พรั่งพรูออกมาจากทั่วร่างกายของมัน ฉาบรถเลื่อนทั้งคันจนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
เทคนิคมนตราที่มุ่งเน้นจู่โจมไปยังจิตเทวะโดยตรงนั้นเปรียบเสมือนดาบสองคม ตราบใดที่อีกฝ่ายสามารถต่อต้านมันได้อย่างสมบูรณ์ พลังของมันจะตีกลับไปยังฝั่งตัวผู้ใช้ทันที
ก้อนเนื้อยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้พวกมันกลับลอยล่องขึ้นไปบนท้องฟ้า และห่อหุ้มตัวเย่เฟย์หยูแทน
กลางอากาศ เย่เฟย์หยูจู่ๆ ก็หยุดดิ้นรน ปากอ้าตะโกนด้วยความเกลียดชัง “ฉันจะฆ่าแก!”
คู่ดวงตาสีแดงเลือดสาดวิสัยทัศน์ลงมายังกู่ฉิงซาน แม้ว่ามันจะฉายแววเจ็บปวดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ประกายแห่งความคลุ้มคลั่งและกลิ่นอายสังหารดูจะค่อยๆ ทวีจำนวนมากขึ้นจนกลบมันไปในที่สุด
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป และพบว่าอีกไม่นาน เย่เฟย์หยูก็จะถูกก้อนเนื้อยักษ์ควบคุมได้โดยสมบูรณ์
อีกไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น กู่ฉิงซานก็จะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้แบบสองรุมหนึ่ง
เย่เฟย์หยูที่วิวัฒนาการไปถึงขั้นห้าและก้อนเนื้อยักษ์ก็สมควรที่จะอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา
หากสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ มันจะนับว่าเป็นความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นกู่ฉิงซาน แต่ก็คงทำได้เพียงแค่ล่าถอยเท่านั้น
ทันทีที่ขบคิดถึงจุดนี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็วูบไหว หลงเหลือทิ้งไว้ภาพติดตาในฉับพลัน
ดาบพิภพถูกคว้าจับกุมไว้ในมือ สมญาถูกเปลี่ยนเป็น ‘ผู้บัญชาการรบ’
ในเสี้ยววินาทีเดียวกัน ปราณดาบและหมอกหนาทึบสีขาวก็เอ่อล้นออกมาจากดาบพิภพ
กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้น ปลายดาบพิภพชี้ตรงไปยังก้อนเนื้อยักษ์
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ปราณดาบสุดขอบฟ้า!
ชั่ววินาทีนั้น สวรรค์และโลกพลันเงียบงัน
อย่างไรก็ตาม เสียงระเบิดของรังสีดาบกลับมิได้ดังขึ้น
กิ่งก้านกิ่งแล้วกิ่งเล่าของรังสีดาบถูกย่อขนาด หลอมรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน และพวกมันทั้งหมดถูกยับยั้งไว้บนใบดาบพิภพ
เขาร่วงตกลงไปยังก้อนเนื้อยักษ์
และก้อนเนื้อยักษ์ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง มันกล้ำกลืนฝืนบังคับความเจ็บปวด และปลดปล่อยเทคนิคมนตราสวนกลับไป หนามนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกจากทุกสัดส่วนในร่างกายของมัน พริบตาเดียวก็ปะทะเข้ากับปราณดาบที่ทุบกระแทกลงมาของกู่ฉิงซาน
ติ๊งๆๆ!
หนามแหลมที่เหยียดยื่นออกมาจากชิ้นเนื้อยักษ์ทิ่มแทงเข้าใส่เกราะรบนายพลชั้นโหยวจี ทว่ามันกลับมิอาจแม้กระทั่งทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้บนตัวเกราะ
ส่วนกู่ฉิงซานก็ละทิ้งซึ่งการป้องกันใดๆ โดยสมบูรณ์ เขาง้างดาบพิภพขึ้น และหวดมันออกไปเบื้องหน้า
กระทั่งตอนนี้ ในที่สุด รังสีดาบที่ถูกยับยั้งเอาไว้และหลอมรวมตัวกันเป็นก้อน ก็ระเบิดพลังโจมตีออกมาอย่างฉับพลัน
รังสีดาบเปล่งประกายสดใส จนภาพเบื้องหน้าแลดูคล้ายดาบยักษ์ ตกกระแทกเข้าใส่ก้อนเนื้อยักษ์
และแน่นอนว่ามันยังมิจบลงเพียงเท่านี้ เพราะยังมีการโจมตีอีกระลอกของสมญา ‘ปราณดาบสุดขอบฟ้า!’
ปราณดาบที่อัดแน่นจนเป็นหมอกหนาบนดาบพิภพ ก่อร่างตัวมันเองขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นร่างเงาของดาบยักษ์อีกเล่ม และสับสะบั้นเข้าใส่เจ้าก้อนเนื้อยักษ์
เทคนิคลับแห่งดาบ สองสะบั้น!
นี่คือการทุ่มโจมตีแบบเต็มกำลังของกู่ฉิงซาน
เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของก้อนเนื้อสะท้านกระจายไปทั่วบริเวณในดาบแรก ทว่าในดาบที่สองเสียงหวีดพลันขาดห้วงไปอย่างฉับพลัน
ฝนเลือดพรั่งพรูเป็นสาย ประสานไปกับความรุนแรงและรวดเร็วของคมดาบ บังเกิดสายลมวนปั่นป่วนขึ้นโดยรอบ ส่งผลให้ฉากนี้แลดูคล้ายมังกรโลหิตกำลังร่ายระบำอยู่กลางอากาศ ก่อนที่ตัวมันเองจะกระจายหายไป
ก่อนเนื้อยักษ์ถูกแยกออกเป็นซีก เส้นเลือดบางๆ มากมายภายในร่างมัน ถูกตัดแยกจากกันอย่างเรียบเนียน แต่ละซีกร่วงตกลงไปยังแต่ละฟากของรถเลื่อน
ดาบพิภพที่ฟาดแยกชิ้นเนื้อยักษ์ ถูกชักกลับขึ้นมาในมือ
ติ๊ง!
ปรากฏเส้นแสงสองบรรทัดขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“เนื่องเพราะท่านสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่ง ระยะเวลาคูลดาวน์ที่จะสามารถใช้พลังวิญญาณในการเรียนรู้พื้นฐานวรยุทธจึงสิ้นสุดลงแล้ว”
“ตอนนี้ท่านสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการฝึกฝนเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธได้แล้ว”
กู่ฉิงซานมองลงไปยังคำอธิบายในส่วนของการอัพเลเวล เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
แน่นอน ว่าเขาเตรียมที่จะยกระดับขึ้นไปสู่ระดับก่อตั้งขั้นสูงในอนาคตอันใกล้นี้
หากสามารถทำดังเช่นที่คาดหวังได้ ในยามที่เข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ เขาก็จะสามารถเริ่มต้นที่จะทะลวงไปยังขอบเขตแก่นทองคำได้เลย
ทว่าเวลานี้ จุดประสงค์ของการมาล่าผีดิบนักฆ่าตนนี้ ก็เพื่อที่จะวิวัฒนาการประสาทหูของเย่เฟย์หยู เขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เฟย์หยูจะถูกควบคุมโดยเจ้าผีดิบแทน ตัวเองจึงต้องทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเขาที่ได้กำไร สามารถบรรลุเงื่อนไขในการคูลดาวน์ลงได้เสียเอง
“เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกเย่เฟย์หยูที่โดนควบคุมฆ่าตายล่ะนะ” กู่ฉิงซานส่ายหัวและเก็บดาบกลับคืน
และประกายแสงของเลือดสังหารก็ร่อนลงมาที่พื้นในเวลาเดียวกัน
สีหน้าของเย่เฟย์หยูเผยถึงความอับอายและกล่าว “ฉันไม่คาดคิดเลยว่ามันจะมีความสามารถในแทรกแซงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ฉันคงทุ่มเต็มกำลังฆ่ามันไปแล้ว”
“ใช่แล้วล่ะ การถูกโจมตีจิตเทวะน่ะเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นและยากที่สุดที่จะจัดการ” กู่ฉิงซานกล่าว “นี่คือผีดิบที่ฉันกังวลมากที่สุด แต่ตราบใดที่มันตกตายลง ก็ไม่มีผีดิบนักฆ่าตัวอื่นที่จะสามารถต่อกรกับนายได้อีกแล้ว”
กล่าวจบ เขาก็โบกมือออกไป
ไม่นาน รถเหินเวหาก็แล่นออกมาจากสถานที่ห่างไกล และค่อยๆ ร่อนลงอย่างช้าๆ
“พวกเรากลับกันก่อน และปล่อยให้เทพธิดากงเจิ้งทำการค้นหาพวกผีดิบที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงอีกครั้ง คราวนี้นายจะได้เป็นคนฆ่ามันด้วยตนเองซะที” กู่ฉิงซานกล่าว สองเท้าเดินตรงเข้าไปในรถเหินเวหาที่เปิดอยู่
“ทำได้ถึงขนาดนี้” เย่เฟย์หยูหันไปร่างแยกส่วนของชิ้นเนื้อยักษ์และกล่าว “น่าเสียดายจริงๆ ที่นายไม่ใช่ผีดิบนักฆ่า…”
“หืม?” กู่ฉิงซานหันหน้าไปมองเขา
เย่เฟย์หยูชี้ไปที่ซากก้อนเนื้อยักษ์และเอ่ยด้วยความเสียดาย “ก็นายนั่นแหละ ถ้านายเป็นผีดิบนักฆ่า แล้วสามารถฆ่าเจ้าผีดิบระดับสูงกว่าเป็นพิเศษแบบนี้ได้ นายคงสามารถวิวัฒนาการไปยังขั้นสูงได้เลยในครั้งเดียวอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานยิ้ม แต่ไม่ได้เอ่ยตอบกลับไป
เมื่อกู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูกลับมายังวิลล่า ซางหยิงฮ่าวก็โบกมือ พร้อมกับอาหารร้อนๆ มากมายที่ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ
หลังจากที่เฝ้ารอพ่อครัวกว่าสิบคนถอยฉากออกไปทั้งหมด เย่เฟย์หยูจึงถอดแว่นกันแดดของเขาออก
ทั้งสี่วุ่นมาทั้งวัน และตอนนี้ขอบอกตรงๆ ว่าพวกเขากำลังหิวได้ที่เลยทีเดียว
ซางหยิงฮ่าวเปิดขวดเหล้าฤทธิ์แรง และแกว่งมันไปมาเบื้องหน้าทุกคน ส่งสัญญาณกลายๆ ว่ามีใครจะดื่มไหม
เหลียวฮังชี้ลงไปบนถ้วยของหวานด้านหน้าตน และส่งสัญญาณประมาณว่าฉันจะกินเจ้านี่
เย่เฟย์หยูมองไปยังขวดในมือของซางหยิงฮ่าวอย่างถี่ถ้วน และเอ่ยถาม “แล้วเจ้าขวดนี้มันมีราคาเท่าไหร่”
“ก็คงจะซักราวๆ แปดหมื่นแต้มเครดิต เฮ้สหาย ฉันว่านายไม่ควรจะตีค่าทุกอย่างด้วยราคานะ ดื่มๆ มันไปเถอะ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยเฉียบขาด
“จะเหล้าราคาแปดสิบเครดิตหรือแปดหมื่นเครดิต สุดท้ายก็จุดจบเดียวกันคือ ‘เมา’ ไม่ใช่รึไง ถ้าเลือกได้นายจะเลือกแบบไหนเล่า?” เย่เฟย์หยูพูดพร้อมกับกวักมือส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายส่งขวดสุรานั้นมา
ซางหยิงฮ่าวขี้เกียจตอบ แม้จะดูไม่พอใจอยู่บ้างแต่เขาก็ยื่นขวดไปให้
เย่เฟย์หยูเทเหล้ากรอกเข้าปาก ก่อนจะยื่นมันให้กับกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานก้มลงมองไปยังปากขวด และพบว่าของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในบัดนี้แห้งเหือดหายไปหมดแล้ว
“แปดหมื่นแต้มเครดิต หายไปซะแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าวพลางถอนหายใจด้วยอารมณ์
เหลียวฮังวางถ้วยของหวานลง มองไปมองกู่ฉิงซานและกล่าวแนะนำ “เวลาที่ตกอยู่ในความกดดันมากเกินไป ร่างกายของคนเราก็มักจะต้องการของหวานมาเติมเต็มนะ แกรู้บ้างไหม”
“พอดีว่าฉันไม่ค่อยจะรู้สึกกดดันซักเท่าไหร่น่ะสิ แล้วอีกอย่างฉันก็ชอบเหล้ามากกว่าด้วย” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ซางหยิงฮ่าวยกสุราขวดใหม่มาพร้อมกับถังน้ำแข็ง หลังจากเปิดจุกก๊อก เขาก็รีบเทมันจนเต็มแก้วตนทันทีราวกับว่าเกรงกลัวจะถูกใครแย่งชิงไป จากนั้นจึงส่งต่อให้กู่ฉิงซาน
“เอาอีกซักขวดไหม?” เขาถาม
“ไม่ล่ะ ดื่มกันช้าๆ แล้วเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารกันจะดีกว่า”
กู่ฉิงซานรินเหล้าจนเต็มแก้วตน และส่งขวดกลับคืน
ทั้งสี่ดื่มกิน และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ บ้างเป็นครั้งคราวในมื้ออาหาร ตลอดทั้งมื้อนี้พวกเขาใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม
วัตถุดิบส่วนผสมสำหรับอาหารมื้อนี้นับว่าเป็นของที่ดีสุด ปรุงโดยพ่อครัวระดับสูง และสุราต่างๆ ก็เป็นของสะสมของซางหยิงฮ่าว ทั้งสี่พึงพอใจเป็นอย่างมากกับอาหารมื้อนี้
ความเหนื่อยล้าและตึงเครียดตลอดทั้งวันผ่อนคลายลงไปหลายส่วนหลังจากที่ร่วมกันรับประทานอาหาร
ในตอนนั้นเอง สมองควอนตัมของกู่ฉิงซานก็เปล่งแสงสว่างขึ้นอย่างกะทันหัน
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ ตัวฉันได้ทำการวิเคราะห์โดยอ้างอิงจากมุมมองของคุณ คาดว่าข่าวนี้คุณน่าจะสนใจ” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“เชิญพูด”กู่ฉิงวานกล่าว
“องค์หญิงแอนนาแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ จะติดตามพระจักรพรรดินีแห่งสาธารณรัฐฟูซีมายังรัฐบาลกลาง เพื่อเข้าร่วมการประชุมนานาชาติที่กำลังจะถูกจัดขึ้นในเร็วๆ นี้”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“องค์หญิง?”
เหลียวฮังหันไปมองเย่เฟย์หยูด้วยความสับสน ส่วนเย่เฟย์หยูก็ส่ายหัว จากนั้นจึงมองไปยังซางหยิงฮ่าว
ซางหยิงฮ่าวไม่สนใจกับท่าทีของทั้งสองที่ทำราวกับว่ากำลังอยากรู้เรื่องราวซุบซิบนินทา เขายืนขึ้นและกล่าวว่า “นายพักผ่อนเถอะ ฉันขอออกไปทำอะไรบางอย่างก่อนนะ”
“ลอบฆ่ารึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไม่ทันคิด
“เปล่า แต่ก็แนวๆ นั้น”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวและเดินออกจากห้องไป
“น้ำเสียงฟังดูเหมือนว่าเขากำลังทำตัวเหนือกว่าฉันอยู่เลย” เย่เฟย์หยูพึมพำ
กู่ฉิงซานที่กำลังซดซุปเห็ดอยู่ เอ่ยปากทั้งๆ ที่ยังคงไม่ยกถ้วยลง “ฉันบังเอิญไปเห็นเขากำลังใช้สมองควอนตัมของตัวเองสั่งซื้ออะไรบางอย่างด้วยล่ะ”
เทพธิดากงเจิ้งกล่าวแทรกทันใด “มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าว ได้ทำการสั่งซื้อกุหลาบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก โดยจัดส่งไปยังมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง หอพักหญิง ห้องสามหนึ่งศูนย์ ผู้รับคือ เฉินหยู และเฉินหยูเป็นลูกสาวของประธานาธิบดี”
“ตอนนี้รถเหินเวหาของมิสเตอร์ซางหยิงฮ่าวได้ถูกสตาร์ทแล้ว ตามแผนที่บ่งบอกว่าจุดหมายของเขาคือมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง”
“จบการรายงาน”
กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูมองตากันวูบหนึ่ง
ขณะที่ซุปยังคงถูกยกขึ้นดื่มต่อไปเรื่อยๆ ในสมองขบคิดไปต่างๆ นานา
เหลียวฮังลุกขึ้น เตรียมที่จะเดินออกไปห้องอื่น
“นั่นคุณจะไปไหน?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม
“เจ้าเด็กน้อย จำเอาไว้ด้วยล่ะว่าฉันแตกต่างจากแก ฉันน่ะเป็นคนปกตินะ”
เหลียวฮังหันหน้ามามองเขาและกล่าวต่อ “มีงานยุ่งจนไม่ว่างตลอดทั้งวัน คนปกติน่ะจำเป็นต้องได้รับการพักผ่อน คิดสิคิด!”
กล่าวจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องและปิดประตูตามทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงวิดีโอเล็ดลอดออกมาจากช่องบานประตูเล็กน้อย
แม้เสียงนี้แทบจะไม่อาจได้ยินสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับกู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยูแล้วนั้น การที่จะรับฟังมันไม่นับว่าเป็นปัญหาใดๆ
มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่กำลังหอบกระเส่า และเริ่มหอบมากขึ้นเรื่อยๆ
เย่เฟย์หยูกับกู่ฉิงซานนั่งฟังเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่ง
“เขาอาจจะไม่ใช่คนปกติอย่างที่ตัวเองพูดก็ได้นะ” เย่เฟย์หยูกล่าว
“...ไม่นะ ฉันคิดว่านั่นล่ะ เรื่องที่คนปกติทั่วๆ ไปเขาทำกันล่ะ” กู่ฉิงซานแย้งออกไป
............................................................