ตอนที่ 154 เกราะทองคำ
“เจ้าจะพาข้ากลับไปยังค่ายทหาร?” กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
กระเรียนเมฆาเพลิงสยายปีกกล่าว “ใช่แล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง จงวางใจ ข้าในฐานะอสูรวิญญาณ ย่อมต้องส่งเจ้าถึงมือหมอย่างแน่นอน”
“ตกลง” กู่ฉิงซานลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงพยักหน้ารับ
เขาพยายามใช้มือยันตัวลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังของกระเรียนเมฆาเพลิงอย่างยากลำบาก
“จับไว้ให้มั่นล่ะ” สองปีกสยาย เหินทะยานขึ้นสู่ฟ้า
ตามปีกของกระเรียน ปรากฏเมฆาเพลิงลากยาวเป็นเส้นสายขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งผลให้ฉากนี้ช่างดูงดงามยิ่ง
กระเรียนเหินบินไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว มันก็ข้ามผ่านทั้งภูเขาและแม่น้ำไปนับไม่ถ้วน
หากยังคงรักษาความเร็วระดับนี้เอาไว้ เพียงหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม ก็คงจะไปถึงค่ายทหารได้ในที่สุด
“นี่พวกเรามิได้กำลังบินสูงเกินไปหรอกหรือ มันจะตกเป็นเป้าสังเกตได้ง่ายนะ” กู่ฉิงซานก้มลงมองด้านล่าง อ้าปากเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“เรื่องนั้นไม่นับว่าเป็นปัญหา ด้วยความว่องไวของข้า เผ่ามารตนใดก็มิอาจเอื้อมมือมาคว้าจับได้ ยิ่งพวกเราไวเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งได้รับการรักษาเร็วขึ้นเท่านั้น” กระเรียนอธิบาย
“ก็ได้ๆ” กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าคงต้องรบกวนเจ้าซะแล้ว”
“จงหลับพักผ่อนเสีย ตื่นขึ้นมาอีกครา เจ้าก็คงจะไปถึงค่ายแล้ว” กระเรียนเอ่ยคำหนึ่ง ย่ำลงบนอากาศที่ว่างเปล่า กระแทกเร่งความเร็วไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน
กระเรียนก็ยังค่อยๆ เพิ่มระดับความสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกู่ฉิงซานกลับทำแค่เพียงปิดตาลง ราวกับว่าตนกำลังหลับอยู่ มิได้ตระหนักถึงสิ่งใด
หลังจากผ่านพ้นไปหลายสิบลมหายใจ ด้วยระดับความสูงที่กระเรียนเหินบิน ตามตัวกู่ฉิซานก็ค่อยๆ เกิดไอน้ำค้างแข็งเกาะกุมจนมิอาจต้านทานความหนาวเย็นได้ไหว
“นี่มันจะมิสูงเกินไปหน่อยหรือ?” ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น หันไปมองรอบๆ และเอ่ยปากอีกครั้ง
กระเรียนไม่ตอบ มันยังคงทะยานสูงขึ้นต่อไป
“นี่เจ้า มันสูงเกินไปแล้ว ข้าหนาวเหลือเกิน” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“เจ้าจะหนาวหรือไม่มันมิสำคัญดอก” ในที่สุดกระเรียนก็เอ่ยปากออกมา “นั่นเพราะอย่างไรเสียเจ้าก็กำลังจะตายอยู่แล้ว ใช่ ตายแบบมิต้องสงสัยเลยล่ะ!”
ขณะกล่าว ตัวมันก็ม้วนพลิกกลับอย่างรวดเร็ว ปล่อยร่างของกู่ฉิงซานให้ร่วงลงไปอย่างกะทันหัน!
ผู้ฝึกยุทธที่เป็นมนุษย์ จำต้องอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถเหยียบอากาศ และควบคุมเรือเหินเวหาได้
ทว่าตอนนี้กู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นก่อตั้ง หากร่วงตกลงไปในอากาศจากในระดับนี้ เขาจะต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าคิดจะทำอะไร!? รีบมาคว้าตัวข้าเร็วเข้า!” กู่ฉิงซานโพล่งเสียงดัง
ท่ามกลางท้องฟ้า คำตอบกลับเป็นสายลมอันรุนแรงที่ถูกกระพือเข้าใส่ เร่งความเร็วในการร่วงตกจนตัวกู่ฉิงซานวูบไหว เห็นแค่เพียงภาพติดตา
และกระเรียนเมฆาเพลิงก็ค่อยๆ ร่อนลง บินไล่ตามเขาไปสุดทาง มิได้ละจากไปในทันที
ภายในแววตาของมันแฝงไว้ซึ่งความขบขัน แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังแปรเปลี่ยนไปเป็นของสิ่งมีชีวิตอื่น
“เผ่ามนุษย์ ช่างเป็นตัวตนที่เปราะบาง ทว่ารสชาติกลับช่างยอดเยี่ยม”
เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่เสียงของกระเรียนเมฆาเพลิง ทว่ากลับถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงของหญิงสาวอันไพเราะ
“เจ้าเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานตะโกน “ท่านอาจารย์ของข้าคือนักปราชญ์ หากเจ้ากล้าล่วงเกินข้าเช่นนี้ พอท่านอาจารย์ทราบ นางจะเฉือนเนื้อหั่นกระดูกเจ้า เลาะเส้นเอ็นลากยาวออกมาเพื่อให้จิตเทวะของเจ้าต้องทุกข์ทรมาน!”
ปรากฏถึงประกายความหวาดกลัวในแววตาของกระเรียน ทว่าต่อมา มันก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายและความภาคภูมิแห่งชัยชนะ
“วันพรุ่งจะเป็นการสู้รบขั้นแตกหัก ไม่ว่าเจ้า หรืออาจารย์ของเจ้าก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน...”
มันเอ่ยปากกล่าวอย่างสามหาว ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็พลันเกิดระเบิดพลังความผันผวนทางพลังวิญญาณขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าจากเบื้องล่าง
ความผันผวนทางพลังวิญญาณที่ว่านี้ ดูเหมือนว่าจะมาจากเจ้าเด็กนั่น…ไม่สิ ไม่น่าเป็นไปได้
เนื่องเพราะชัดเจนว่าความแข็งแกร่งทางวิญญาณที่พึ่งสัมผัสได้เมื่อครู่ มันอยู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นสุดท้าย หากไม่มีอะไรผิดพลาดมันอาจจะเทียบเท่าได้กับขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้นเลยด้วยซ้ำ
แต่เจ้าเด็กนี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้กระทั่งดาบมันก็ยังมิอาจฝืนกำได้
ดังนั้นต่อให้เจ้าเด็กนี้ปิดซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ กระเรียนเมฆาเพลิงก็หาได้หวาดกลัวไม่
เพราะที่นี่คือท้องฟ้า ท้องฟ้าที่ราวกับเป็นสวนหลังบ้านของมัน! เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่มันสามารถหลบลี้ หรือทะยานมุ่งไปยังแห่งหนใดก็ได้
เช่นเดียวกันกับระดับการเหินบินของอสูรวิญญาณตนอื่นๆ ที่มิมีตนใดสามารถจับตัวมันได้ เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติ
ทว่าทันใดนั้นเอง สายตาของกระเรียนที่กำลังจับจ้องร่างที่กำลังร่วงหล่นก็วูบไหว เสี้ยววินาทีต่อมา มันกลับเห็นแค่เพียงผืนฟ้าและผืนดินเบื้องล่าง…กู่ฉิงซานได้หายตัวไปแล้ว!
“แบบนี้ไม่ดีแน่!”
มันกางปีกออกและเร่งความเร็วเตรียมหลบหนีทันที
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ มันก็บังเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นอย่างรุนแรง ตามมาด้วยความรู้สึกชาและเสียวซ่านเล็กน้อย จากทั่วทั้งร่างของมัน
กระเรียนเมฆาเพลิงกระตุก และสองปีกของมันที่กำลังจะสยายก็นิ่งค้างไป มิอาจเขยื้อนได้อีกเลย
มันเป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์ มิอาจควบคุมตนเองได้!
แม้กระทั่งในหมู่มาร ก็ยังมิมีผู้ใดสามารถกระทำเช่นนี้กับมันได้!
ช่วงเวลาหนึ่งวินาทีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ดาบแสงจันทร์สีขาวนวลสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า
นี่เป็นการสับสะบั้นที่รวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดของกู่ฉิงซานเอาไว้
คอยาวระหงของกระเรียน ถูกตัดขาดลอยคว้างอยู่ในอากาศ ต่อมา ปราณดาบนับร้อยนับพันที่ถูกบีบอัดให้บางเบาราวกับผ้าไหมจากเทคนิคลับก็ระเบิดออก ก่อบังเกิดสายลมที่บิดเบี้ยวและรุนแรงกวาดกระจายไปทั่ว
ในเสี้ยววินาที ปราณดาบนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในอากาศ ก็โถมเข้าฉีกกระชากทั้งร่างของมอนสเตอร์กระเรียน บีบบังคับมันให้ก้าวเข้าสู่ความตายโดยสมบูรณ์
ซากศพกระเรียนเมฆาเพลิงแปรเปลี่ยนเป็นหมอกโลหิต เปลี่ยนชั้นอากาศโดยรอบเป็นสีแดงสด ทว่าไม่นานมันก็ถูกพัดพาหายไปตามสายลม
ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีน้ำเงินอีกครั้ง โดยไร้ซึ่งร่องรอยของการต่อสู้ใดๆ ที่พึ่งเกิดขึ้น ทุกสิ่งอย่างเมื่อครู่ราวกับเป็นเพียงภาพฝัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งวินาทีเท่านั้น!
อสูรวิญญาณระดับแก่นทองคำขั้นต้น สลายหายกลืนเข้าไปกับสวรรค์และโลก
ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา
“ท่านได้ใช้เพียงสองกระบวนท่า ทว่ากลับสามารถฆ่าสังหารศัตรูได้ในทันทีอย่างสมบูรณ์ และยังสามารถฆ่าสังหารเป้าหมายที่มีขอบเขตสูงกว่าตนเองได้ โปรดจงตั้งใจพยายามอย่างหนักเช่นนี้ต่อไป เพื่อทำการสะสมชุด ‘ใช้ความอ่อนแอโค่นล้มความแข็งแกร่ง’ เพื่อใช้ในการปลดล็อกฉายา”
เอ๋? มีเรื่องแบบนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?
กู่ฉิงซานจ้องมองมันด้วยความแปลกใจ
สมญาเทพสงครามนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่ง เมื่อครู่เขาเพียงลงมือไปสองกระบวนท่าก็สามารถฆ่ามารอสูรลงได้โดยใช้ ‘นายทหารชั้นพันตรี’ สมญานี้ที่หนุนเสริมให้สามารถโจมตีได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
จำเป็นต้องรู้นะว่า ผู้ฝึกดาบน่ะถูกสรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าสังหาร พวกเขาสามารถระเบิดพลังและความเร็วของกระบวนท่าดาบออกไปได้อย่างทันท่วงที
ด้วยวิชาดาบของกู่ฉิงซาน เดิมทีเขาก็รวดเร็วมากอยู่แล้ว ยิ่งเสริมด้วยความเร็วในการโจมตีที่เพิ่มขึ้นถึง สิบเปอร์เซ็นต์ ของสมญาดังกล่าว ก็ยิ่งส่งผลให้มันน่าหวาดหวั่นไปอีก
ระหว่างการต่อสู้กับมารผีเสื้อยักษ์และกระเรียนเมฆาเพลิง ทั้งสองมิอาจหลบเร้นชะตากรรม ถูกระเบิดการโจมตีในวินาทีเดียวตกตายไปด้วยกันทั้งคู่
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังแต้มพลังวิญญาณ
ครั้งก่อนที่เขาสังหารมารผีเสื้อยักษ์ที่อยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุด ควบคู่ไปกับสังหารกระเรียนเมฆาเพลิงที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำ ทำให้แต้มพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ทะยานสูงขึ้นมาถึงสามร้อยแต้ม!
เขามองไปยังระยะเวลาคูลดาวน์ที่จะใช้ในการอัปเลเวล และพบว่ามันคูลดาวน์ผ่านไปได้มากกว่าครึ่งทางแล้ว
รูปแบบของหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ยังคงเหมือนเคย มันยังคงให้กระตุ้นให้ผู้เล่นออกไปต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง
เมื่อครู่เหมือนจะกล่าวถึงเรื่องสมญาอะไรสักอย่างเสียด้วย แต่เอาเถอะ ไว้ค่อยมาทำมันทีหลังก็แล้วกัน เพราะขณะนี้มีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่จะต้องจัดการ!
กู่ฉิงซานเก็บดาบ ในหัวใจได้ข้อสรุปแล้ว
ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้ เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ลังเลอีกต่อไป
ตอนนี้เราสามารถเริ่มต้นเตรียมการสำหรับการสู้รบขั้นแตกหักได้แล้ว
สองมือยกขึ้นป้องปาก เพื่อช่วยหนุนเสริมให้เวลาตะโกนมันจะได้ดังขึ้น “มาช่วยฉันเร็วเข้า!”
เสียงของเขากระจายออกไปกับสายลม
ห่างจากกู่ฉิงซานไปไม่กี่ร้อยจั่ง ท่ามกลางเมฆสีขาวที่เงียบสงบ พลันปรากฏรัศมีสีทองอร่าม สาดแสงออกมา
รัศมีสีทองนี้แปรเปลี่ยนเป็นร่างเงาที่วูบไหว เพียงชั่วเวลาสั้นๆ มันก็มาถึงตัวเขา
ประกายสีทองสาดแสงราวกับมันมีชีวิต ก่อนจะค่อยๆ จางลงเผยให้เห็นถึงเกราะทองและหญิงงามที่กำลังสวมใส่มันอยู่
นักบุญหญิงแห่งนิกายเทียนจี นายพลชั้นโหยวจี กองทัพพันธมิตรแห่งมนุษยชาติ หนิงเยว่ฉาน
เธอคว้าจับแขนของกู่ฉิงซาน จากนั้นระดับความเร็วที่ร่วงหล่นก็ค่อยๆ ลดลง ก่อนที่เธอจะพยุงตัวเขาขึ้นอย่างช้าๆ
“สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นนี่มันคืออะไรกัน เหตุใดเจ้าจึงฆ่าสัตว์ขี่ของตนโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ?” เธอถามด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น
“ไว้เจ้าคอยฟังเอาเองก็แล้วกัน ตอนนี้ข้ามีเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่าที่จะต้องทำ”
กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็หยิบยันต์สื่อสารออกมา และเริ่มบอกเล่าถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น
ด้วยการบอกเล่าของเขา หนิงเยว่ฉานที่ได้ฟัง ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความตกใจ
หลังจากกู่ฉิงซานกล่าวจบ เขาก็ปล่อยยันต์ที่ลุกไหม้ลอยจากไป
ทุกสิ่งอย่างมันเกือบจะชัดเจนแล้ว
ในชีวิตก่อนหน้า หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้มนุษยชาติในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธพ่ายแพ้อย่างเต็มรูปแบบ อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ
ก่อนที่เรื่องนี้จะอุบัติขึ้น ไม่มีใครเคยคาดคิดถึงมันมาก่อนเลย
ในการสู้รบขั้นแตกหักระหว่างมนุษยชาติและเผ่ามารขณะเปิดศึกอย่างเต็มกำลัง ต่างฝ่ายต่างฆ่าสังหารกันและกัน ทว่าในตอนนั้นเอง กลับบังเกิดเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
มันคือ การทรยศของอสูรวิญญาณ!
หากจะย้อนคิดตามติดเรื่องนี้ไปอย่างจริงจัง มันก็คงจะย้อนไปตั้งแต่ช่วงที่เกมยังไม่เริ่มเปิดตัว และในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธก็ยังคงสงบสุข ทว่าเผ่ามารกลับริเริ่มวางแผนการนี้ไว้แล้ว
จนกระทั่งวันสิ้นโลกในปีที่เจ็ด ซึ่งเป็นการสู้รบครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทันใดนั้นพวกเผ่ามารก็เริ่มแผนการที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมา
ช่วงเวลาดังกล่าว อสูรวิญญาณทั้งหมดก็พลันทรยศ เบนทิศหันมาจู่โจมมนุษยชาติอย่างกะทันหัน
ที่สำคัญก็คือ เหตุการณ์ในช่วงแรกๆ ก่อนที่พวกมันจะทรยศ ก็คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในค่ายทหารในปัจจุบันนี้
ทางกองทัพมักจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลในค่ายทหารหลายแห่งอยู่เสมอ ทว่ากลับไม่สามารถหาผู้สมคบคิดทรยศได้ ทำให้จิตใจของทุกผู้คนในกองทัพไม่มั่นคง ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย แม้กระทั่งตัวตนระดับนายพลก็ไม่เว้น
จากนั้นในสนามรบ เมื่อการต่อสู้ขั้นแตกหักครั้งใหญ่ กำลังดำเนินการมาถึงในช่วงสำคัญที่สุด อสูรวิญญาณที่แต่เดิมเป็นพันธมิตรของมนุษยชาติ ก็เบนหอกแหลมมาทิ่มแทงเหล่าผู้ฝึกยุทธจากเบื้องหลัง
ฉากอันน่าหวาดหวั่นในครั้งนั้น แม้กระทั่งกู่ฉิงซานในยามนี้ เผลอคิดถึงมันทีไรเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะใจสั่น
หนึ่งในสามไตรภาคี น้อมสวรรค์ซวนหยวน ก็ได้ตกตายลงในการต่อสู้ครั้งดังกล่าวเช่นกัน
แม้กระทั่งผู้เล่นก็ยังไม่อาจหลบหนีการทรยศอันแสนน่ารังเกียจของอสูรวิญญาณได้
อสูรวิญญาณเหล่านี้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสัตว์ขี่ หรือบางทีก็เรียกกันว่าคู่หูโดยระบบ จู่ๆ ก็หันกลับมาทำร้ายผู้เล่นอย่างกะทันหัน
สีหน้าของผู้เล่นในตอนนั้น สีหน้าที่เผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ และไม่อาจคาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้เขายังคงจดจำมันได้ไม่ลืม
สถานการณ์ดังกล่าวที่ไม่ทันจะได้ระวังหรือเตรียมตัวนี้ ทำให้สงครามในวันนั้นเพียงวันเดียว ทั่วทั้งทุ่งสังหาร ตายเกลื่อนไปด้วยซากศพของมนุษยชาติ พวกเขาจำต้องล่าถอยด้วยความพ่ายแพ้ไปไกลกว่าสามพันลี้ และได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่เดิม ระหว่างมนุษย์กับเผ่ามาร ทางฝั่งแรกก็ยังพอจะมีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อย และยังมีโอกาสที่ยังพอจะคว้าชัยชนะ
อย่างไรก็ตาม จากจุดเริ่มต้นของสงครามในครั้งนั้น ทำให้เหล่ามนุษย์ตกอยู่ในสภาวะอ่อนล้า อ่อนแอจนทำได้เพียงเฝ้ารอไปวันๆ จนกว่าวันสิ้นโลกจะมาถึง
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
คราวนี้เมื่อถูกส่งย้อนกลับมา และเขาก็ได้รับรู้ความจริงแล้ว เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอยเดิมเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนี้ก็มีโอกาสเตรียมพร้อมล่วงหน้า บางทีเขาอาจจะทำบางสิ่งให้ดียิ่งขึ้น
มันจะเป็นการดีกว่าหากทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ และใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
หนิงเยว่ฉานที่กำลังพยุงกู่ฉิงซานอยู่ ตบลงในถุงสัมภาระ และเรียกเรือเหินเวหาออกมา
เมื่อทั้งสองขึ้นไปบนเรือ หนิงเยว่ฉานก็อดไม่ได้ที่จะแตะลงบนถุงอสูรวิญญาณของตน ทว่าเธอได้ถูกกู่ฉิงซานหยุดเอาไว้เสียก่อน
“มันยังไม่ถึงเวลา ไม่ใช่ตอนนี้”
หนิงเยว่ฉานจ้องมองไปที่เขา และมือของอีกฝ่ายที่วางลงมา
“มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม”
“อื้อ”
หนิงเยว่ฉานสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยปาก “ถ้าหากเรื่องที่เจ้ากล่าวเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นมันก็อันตรายเกินไป!”
“แม้จะอันตราย ขณะเดียวกันมันก็ถือเป็นโอกาส” กู่ฉิงซานยิ้ม
“มันเสี่ยงเกินไป หากยังทำเป็นไม่ใส่ใจ นี่อาจหมายถึงการสาปส่งชั่วนิรันดร์” หนิงเยว่ฉานเอ่ยอย่างกระวนกระวาย
“สงครามในครั้งนี้ ยังเป็นเพียงสงครามขนาดเล็ก ถึงจัดการไปก็มิอาจแก้ปัญหาได้ จำต้องเฝ้ารอให้ถึงสงครามขนาดใหญ่เสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
หนิงเยว่ฉานกล่าวเย้ย “นี่เจ้าพันตรีเล็กจ้อย คิดจะเอ่ยสอนข้าเกี่ยวกับเรื่องสงครามกระนั้นหรือ?”
เธอเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ จงใจยืดร่างตนจนหลังตรง เผยให้กู่ฉิงซานได้เห็นเกราะรบสีทองที่เธอสวมใส่อยู่
เกราะรบทองคำอันประณีตและละเอียดอ่อนนี้ บ่งบอกถึงสถานะของนายพลชั้นโหยวจี
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองไปยังหลายจุด
“อืม รูปร่างเจ้าช่างดีจริงๆ…” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนับถือ
ใบหน้าของหนิงเยว่ฉานแดงก่ำทันที
เธอรีบหันหน้าไปอีกทาง จ้องมองออกไปนอกเรือเหาะ ข่มบางสิ่งที่กำลังหวีดร้องอยู่ในจิตใจ ‘สงบใจไว้ มันยังสูงเกินไป หากโยนเขาลงไปตอนนี้คงไม่พ้นตกตายเป็นแน่’
........................................