ตอนที่ 70 บทเรียนแรก
แนวหน้า
บนท้องฟ้า ร่างอวตารนางเซียนไป่ยังคงติดพันอยู่กับมารมังกร
เสื้อคลุมสีเขียวมรกตโบกสะบัดไปตามแรงลม ทว่าผมยาวสลวยกลับชูชัน คู่ดวงตาเปล่งประกายสดใสราวฝนพรำในฤดูใบไม้ร่วง หากผู้ใดพบเห็นดวงตาคู่นี้คงถูกดึงดูดจนไม่อาจละสายตาไปได้
แต่น่าเสียดายที่ดันมีชั้นผ้าคลุมบดบังใบหน้าของเธอ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างอวตาร ทว่ารูปลักษณ์และกิริยาก็ไม่ต่างอันใดกับร่างจริงเลย
กู่ฉิงซานมองร่างอวตารที่กำลังเหยียดนิ้วหยกออก ชี้ไปยังความว่างเปล่าเบื้องหลังมารมังกรและกล่าว “จ้าวกระบี่ เหตุใดเจ้าจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ในความว่างเปล่าก็ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งขึ้น
คนผู้นี้มีรูปร่างสูงแลดูแข็งแกร่ง คู่ดวงตาเวลาจ้องมองผู้อื่นให้ความรู้สึกราวกับตนเป็นพระเจ้า บนใบหน้ามีแผลเป็นลากยาวจากหน้าผากข้ามลงมาจนถึงคาง
เบื้องหลังเขาสะพายกระบี่หนักที่แลดูจะยาวกว่าตัวเจ้าของเสียอีก
ชายคนนี้คือรองผู้บัญชาการในแนวหน้าของมนุษยชาติ ผู้อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นสูงสุดระดับสุดท้าย เจ้าของสมญานาม จ้าวกระบี่
จ้าวกระบี่ยิ้มและชี้ไปยังแผลเป็นบนใบหน้าของเขา “โอกาสดีๆ ที่จะได้พบกับเจ้าเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องปรากฏตัวออกมาต้อนรับ จะได้แน่ใจว่าเจ้าจะอยู่ในที่แห่งนี้ไปอีกนาน…หรืออาจจะต้องอยู่ตลอดไป!”
“เจ้ายังไม่ลืมเลือนความเจ็บแค้นในยามนั้น?”
“ใช่ ข้าถึงกับไม่ยอมรักษาบาดแผลนี้ คอยเก็บมันเอาไว้เพื่อย้ำเตือนและเฝ้ารอวันที่จะได้ชำระบัญชีกับเจ้า”
“ที่แท้สายลับคนทรยศก็คือเจ้านี่เอง” นางเซียนกล่าวและจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “ในอดีตระดับวรยุทธเจ้าสูงส่งกว่าข้า แต่กลับทำเรื่องบัดสีมาแอบดูข้าอาบน้ำ พอข้ารู้ตัวจึงใช้ออกด้วยกระบวนท่าอย่างไม่ตั้งใจ ขณะที่ข้าแทบจะลืมเลือนมันไปแล้ว แต่ตรงกันข้าม เจ้ากลับยังจดจำความแค้นนี้เอาไว้ตลอดมา?”
จ้าวกระบี่จ้องมองไปยังนางเซียนและกล่าว “เซี่ยเต๋าหลิง ยามแรกข้าหลงใหลในตัวเจ้า ทุ่มเทเพื่อเจ้ามากมาย แต่เจ้ากลับปฏิเสธ และไม่สำนึกบุญคุณคน ตอนนี้ก็อย่ามาตำหนิว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
สองมือยื่นไปเบื้องหลัง เตรียมคว้าจับด้ามกระบี่หนัก ทว่าในตอนนั้นเอง สีหน้าของจ้าวกระบี่ก็พลันเปลี่ยนไป
เนื่องจากก่อนที่จ้าวกระบี่จะทันได้คว้าจับอาวุธในสมญา พริบตาเดียว เซี่ยเต๋าหลิงปรากฏร่างขึ้นเหนือศีรษะของเขาเสียแล้ว ขณะนี้นิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายจิกแนบลงบนฝ่ามือ กำหมัดแน่นเตรียมจะจู่โจม
“หยุด!”
“สารเลว!”
“เซี่ยเต๋าหลิงเจ้าช่างกล้า!”
ในความว่างเปล่า เผ่ามารที่เป็นเจ้าของทั้งสามเสียงก็ปรากฏตัวขึ้น
ปราณอันน่าสยองขวัญของมอนสเตอร์เดือดดาลอยู่บนร่างของพวกเขา
ที่สำคัญทั้งสามตนนี้เป็นมารนักปราชญ์!
สามมารนักปราชญ์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน และทันทีที่สิ้นเสียง พวกมันก็พุ่งพรวดตรงไปยังทิศทางของเซี่ยเต๋าหลิงและโจมตีออกอย่างเต็มกำลัง! หนึ่งเหวี่ยงกำปั้น หนึ่งง้างขาเตะออก อีกหนึ่งเบนตัวไปด้านข้างหมายจะกระแทก
ด้วยการประสานโจมตีอย่างเต็มกำลังนี้ หากเซี่ยเต๋าหลิงยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ เธอจำต้องหลบเลี่ยงมันและละมือออกจากจ้าวกระบี่เท่านั้น!
แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสามมารต้องประหลาดใจก็คือ เซี่ยเต๋าหลิงกลับละเลยการโจมตีของพวกเขาโดยสมบูรณ์ ปากเอ่ยตะเบ็ง ใช้ออกด้วยกระบวนท่าโจมตี!
“สวรรค์ล่มสลาย!”
ภายใต้กำปั้นนี้
อากาศโดยรอบดูราวกับกำลังถูกบิดเป็นเกลียว คลื่นกระเพื่อมราวกับหินที่ถูกโยนลงในอ่างน้ำที่นิ่งสงบกวาดกระจายออกไปทั่วท้องฟ้า
ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ ปรากฏเสียงหนักทึบดังกึกก้อง
‘ปัง!!!’
ภายใต้กำปั้นนี้ จ้าวกระบี่ถูกส่งลอยกระเด็นไกลออกไปกระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ และทะลุหายเข้าไปในตัวภูเขาโดยตรง
“ตาเฒ่าตัณหากลับ จงมุดลงไปกินดินใต้พื้นโลกซะ!”
ร่างอวตารนางเซียนไปหัวเราะร่า น้ำเสียงอันกระจ่างใสและไพเราะดังกังวานไปทั่วฟ้า
ในขณะนี้ การประสานโจมตีของมารนักปราชญ์ก็ได้มาถึงแล้ว ทว่าร่างอวตารของเซี่ยเต๋าหลิงที่ทุ่มโจมตีจ้าวกระบี่อย่างเต็มกำลังกลับไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้าน
เห็นดังนั้น มารนักปราชญ์ก็ตัดสินใจอย่างแน่มั่น พวกมันสาบานว่าด้วยการโจมตีนี้จะต้องสังหารเซี่ยเต๋าหลิงให้จงได้
ทว่าเสี้ยววินาทีนั้นเอง ร่างของเซี่ยเต๋าหลิงกลับพลันหายไปในบัดดล มิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” สีหน้ามารมังกรหม่นทะมึนลง ก่อนกล่าวต่อ “สายตาข้าสามารถมองทะลุได้ทุกสรรพสิ่ง แม้กระทั่งวิชาลับอย่างเทคนิคลอบเร้น! ทว่ายามนี้เหตุใดข้าจึงไม่อาจมองเห็นนางได้!”
“นางหายตัวไปแล้วจริงๆ แม้กระทั่งร่องรอยความผันผวนของพลังวิญญาณก็ยังไม่หลงเหลือ” มารนักปราชญ์อีกตัวกล่าว
มารนักปราชญ์ตัวรองสุดท้ายเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่มิใช่วิชาลับ แต่แท้จริงแล้วนี่คือเทคนิคมนตรา! มันเป็นเทคนิคมนตราที่สามารถซ่อนตัวภายใต้สายตาของพวกเรา”
สมกับที่เป็นนางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง เป็นตัวตนที่ดำรงอยู่เหมาะสมกับชื่อเสียงจริงๆ
ขณะที่หัวใจของทั้งสามบ้างหม่นหมอง พลางประหลาดใจนั้นเอง
“สงบใจไว้ กระบวนท่าของนางมิได้ทรงพลังมากมายอย่างที่พวกเจ้าคิด”
ก็บังเกิดเสียงเสียงหนึ่งขึ้น
สิ้นเสียง ร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
แท้จริงแล้วยังมีเผ่ามารอีกหนึ่งตนหลบซ่อนอยู่ และที่สำคัญแม้กระทั่งมันก็ยังอยู่ขอบเขตประทับเทพ!
หากนับรวมมารมังกรแล้ว บัดนี้ปรากฏซึ่งมารนักปราชญ์ถึงห้าตน!
มารมังกรกล่าว “มารสามตา เจ้ามีความรอบรู้มากที่สุด จงบอกข้ามาโดยเร็ว ว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น”
มารสามตากล่าวอย่างเหยียดหยัน “ก็แค่ร่างหลักของนางเรียกเอาร่างอวตารกลับคืนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น”
“เมื่อครู่ไม่ใช่นางตัวจริง และที่สำคัญ ตอนนี้สมควรรอดูอาการของจ้าวกระบี่เป็นอันดับแรกจะดีกว่า ดูเหมือนว่ามันจะยังมิได้ตกตายนะ”
เหล่ามารหันมองไปในทิศทางเดียว ก่อนจะเห็นว่าบริเวณภูเขาที่ไกลออกไป ปรากฏร่างร่างหนึ่งที่ดูจะสะบักสะบอมเล็กน้อยกระโจนออกมา จ้าวกระบี่ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะฝืนพยายามบินกลับมายังพวกเขา
ทว่าการบินของเขากลับส่ายไปส่ายมาแลดูคล้ายแมลงวันไร้หัว
มารนักปราชญ์หรี่ตาลง จดจ้องและกวาดสายตาไปยังจ้าวกระบี่ ก่อนจะถอนหายใจและกล่าว “ด้วยกำปั้นของนาง แต่เจ้ากลับยังไม่ถึงขั้นตกตาย ดูเหมือนว่าดวงเจ้าจะยังไม่ถึงฆาตนะ”
ในหัวใจของพวกมารก็ค่อยๆ สงบลง
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งวังร้อยบุปผา
จู่ๆ ร่างอวตารก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะเอื้อมคว้าไปในอากาศที่ว่างเปล่าและกระบี่หนักเล่มหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในมือเธอ
เธอโยนกระบี่หนักลงบนพื้น ก่อนจะหยิบเอาถุงสัมภาระอีกหลายใบโยนลงไปกองรวมกัน
“จ้าวกระบี่ ดูเหมือนจะไม่ได้มีของดีเพียงแค่กระบี่ตามชื่อ อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีสีหน้าอย่างไรเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้”
ร่างอวตารเผยรอยยิ้มอันพึงใจออกมา ก่อนจะกลายเป็นเมฆหมอก สลายหายไปในอากาศ
ขณะเดียวกัน กลับไปยังบนท้องฟ้าในแนวหน้า
มารมังกรคำรามลั่นจนทุกผู้สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ “นางชั้นต่ำ! กล้าขโมยถุงสัมภาระของข้า!”
จ้าวกระบี่ที่พึ่งหอบสังขารกลับมา เมื่อได้ยินดังนั้น มือเขาก็พุ่งพรวดไปยังด้านหลัง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะซีดขาวในทันใด
สองมารนักปราชญ์รีบร่ายมนตร์ ก่อนจะอัญเชิญอาวุธของพวกเขาออกมา ทว่ามันกลับหายไปทันทีราวกับอาวุธของพวกเขาถูกดูดจมหายลงไปในทะเลสาบ
“กล้าก่นด่าข้าว่านางชั้นต่ำเชียวหรือ?”
ในวังร้อยบุปผา บนบัลลังก์หมื่นบุปผาเหนือระเบียง นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิงเผยสีหน้าเย็นชาออกมา ก่อนจะปรบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน
ยามประกบ ผนึกมนตราสุดท้ายก็เสร็จสิ้นลงในที่สุด
ทั้งชุดวิชาลับนี้ กินเวลาไปทั้งสิ้นสามสิบลมหายใจ สัญลักษณ์แปรผันกว่าเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดผนึกมนตรา หากนับรวมกับผนึกมนตราสุดท้าย ตอนนี้ก็นับว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทว่าวิชาลับยังไม่ได้ถูกใช้ออก ดูเหมือนว่านางเซียนไป่จะพลันนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างได้เสียก่อน
บนบัลลังก์หมื่นบุปผา จู่ๆ นางเซียนไป่ก็ยืนขึ้น
“ฉิงซาน ข้าจะมอบบทเรียนแรกให้กับเจ้าในวันนี้” เธอกล่าว
กู่ฉิงซานคำนับและเอ่ย “ท่านอาจารย์โปรดสั่งสอนศิษย์ด้วย”
นางเซียนไป่กระตุ้นผนึกมนตราในมือและกล่าว “ข้อแรก จงอย่ายั่วยุอิสตรีเลอโฉมที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งโดยเด็ดขาด เนื่องเพราะพวกนางมักจะมีความแค้นชนิดที่ฝังรากลึก ข้อที่สอง ขอบเขตประทับเทพเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ทว่ามันกลับเป็นจุดสิ้นสุดของผู้ฝึกยุทธจำนวนมาก”
“สองข้อนี้ เจ้าจงจำไว้ให้แม่น ฝังในจิตใจ”
จากนั้น ผนึกมนตราในมือของเธอก็ค่อยๆ สาดประกายเจิดจ้า เจิดจ้าสดใสขึ้นเรื่อยๆ เจิดจ้าขึ้นจากความมืดมิดราวกับพื้นสมุทรเบื้องล่างที่จู่ๆ ก็เกิดภูเขาไฟปะทุจนสว่างไปทั่ว
ณ แนวหน้า
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว กระบี่ข้าถูกนางขโมยไป!”
ในหัวใจของจ้าวกระบี่หม่นทะมึน
วิธีการขโมยอาวุธของนางช่างไร้ที่ติ แม้เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงและปัดป้องแต่ก็ยังพลาดท่า
ความสามารถของเขาล้วนแล้วแต่จำต้องพึ่งกระบี่ หากมีกระบี่อยู่ในมือ ต่อให้เซี่ยเต๋าหลิงใช้ออกด้วยสกิลเทวะ เขาก็ยังพอสามารถก่อกวนกระบวนการของมันได้
ทว่าตอนนี้เขาไร้ซึ่งกระบี่ หากไม่มีกระบี่เขาก็พอจะรู้แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ในหัวใจของจ้าวกระบี่รู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง
ราชามารฮวงมีความแค้นกับเขาเป็นการส่วนตัว แล้วหากเขาไม่มีกระบี่ จะไปต่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างไร เพียงแค่ป้องกันยังยากเลย
อย่างไรก็ตาม เกรงว่าราชามารฮวงก็คงจะไม่ต่างกัน เพราะดูจากสีหน้าเขียวคล้ำของมันแล้ว บางทีตอนใช้ออกด้วยกระบวนท่า มันคงไม่แคล้วโดนขโมยสมบัติไปเช่นกัน
สีหน้าของมารมังกรน่าเกลียดยิ่ง ในบรรดามารนักปราชญ์ทั้งหมด มีเพียงมันที่มั่นใจว่าตนสามารถต้านทานสกิลเทวะของนางเซียนไป่ได้ และไม่มีทางพ่ายแพ้ในระยะเวลาอันสั้น มันจึงไม่ลังเลที่จะอ้าแขนรับการโจมตีของนาง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นผลให้ถุงสัมภาระของมันถูกพรากจากไปโดยนางเซียนไป่
หากไม่มีสมบัติเหล่านั้น คงจะเป็นการยากยิ่งที่จะจัดการกับนาง นางเซียนไป่สามารถแยกร่างได้อย่างไม่หยุดหย่อน
จ้าวกระบี่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าทันใดนั้นเอง มารนักปราชญ์ทั้งหมดก็แหงนหน้าขึ้นเบื้องบนอย่างพร้อมเพรียง
เกิดอะไรขึ้น?
เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าตาม และเมื่อเห็นภาพจากเบื้องบน ปากของเขาก็อ้ากว้างจนกรามแทบค้าง
ท้องฟ้าเบื้องบนค่อยๆ จางหายไป
ตะวันที่สาดแสงเมื่อครู่ไม่อาจมองเห็นได้อีกแล้ว บัดนี้มันถูกแทนที่ด้วยละอองหมอกสีเหลืองอ่อน
ลึกลงไปในหมอกหนา สามารถมองเห็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ตัดผ่านมาจากเส้นขอบฟ้า
แม่น้ำเอ่อทะลักล้นไปเต็มท้องฟ้า ดูราวกับมันไม่มีจุดสิ้นสุด
รามสูรไร้พักตร์เอี้ยวตัวกลับ และวิ่งหนีไปสุดฝีเท้าทันที
รามสูรไร้พักตร์ ปฐมบทของความโกลาหลเป็นมารอสูรที่เกิดมาพร้อมกับสวรรค์และโลก ดังนั้นมันจึงมีสัญชาตญาณที่สัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาได้เองโดยธรรมชาติ
จ้าวกระบี่มองไปยังรามสูรไร้พักตร์ที่กำลังสับตีนผีไกลห่างออกไป ก่อนจะสลับกลับมามองสายธารอันไพศาลบนท้องฟ้า
ก่อนที่เขาจะทันได้ตกใจ ในหัวใจของเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของอากาศเบื้องบนที่เสียดแทงเข้ามาเสียแล้ว
........................................