webnovel

0067 จิตวิญญาณในดาบ

ตอนที่ 67 จิตวิญญาณในดาบ

กู่ฉิงซานได้ยินแบบนั้นทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้าน

ที่แท้ดาบเล่มนี้กลับมีภูมิหลังที่อันยิ่งใหญ่

ฉันแค่ต้องการที่จะเลือกอาวุธที่พึงพอใจที่สุด แต่ไม่เพียงบังเอิญไปเลือกอดีตดาบของนางเซียนไป่เท่านั้น แต่ยังเป็นดาบที่ทรงพลังมากอีกด้วย

มองไปยังท่าทีตอบสนองของนักปราชญ์ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อารมณ์ไม่ดี แต่กลับเผยให้เห็นถึงความโล่งใจเล็กน้อย

นางเซียนไป่ฮั่วโบกมือ และดาบพิภพที่อยู่ข้างกู่ฉิงซานก็ลอยมายังบัลลังก์หมื่นบุปผา

ภายใต้การโบกมือในครั้งนี้ นางเซียนไป่ได้ใช้พลังวิญญาณครอบคลุมบัลลังก์หมื่นบุปผาเอาไว้ด้วย ทำให้กู่ฉิงซานไม่อาจได้ยินหรือได้เห็นฉากภายใน

นิ้วเรียวสัมผัสลงบนตัวดาบ ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าแข็งแกร่งยิ่ง อาศัยเพียงเจ้า เจ้าหนูนั่นคงสามารถต่อกรกับศัตรูจำนวนมากได้ แล้วเขาจะเติบใหญ่ได้อย่างไร?”

ทันใดนั้นเสียงที่ดูหนักทึบราวกับขุนเขาก็ดังออกมาจากดาบยาว “ข้าจะทำการผนึกตัวเองเป็นชั้นๆ เมื่อใดที่พื้นฐานวรยุทธของเขาก้าวข้ามไปยังขอบเขตหนึ่ง ข้าจึงจะปลดปล่อยพลังอำนาจส่วนหนึ่งออกมา ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ จึงจะได้รับพลังอำนาจของข้าไปโดยสมบูรณ์”

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “เช่นนั้นคงไม่มีปัญหา”

“รักษาตัวด้วย” เธอกล่าวในท้ายที่สุด

“เจ้าก็รักษาตัวด้วยเช่นกัน เรื่องราวในอดีต มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า” เสียงที่ทุ้มลึกกล่าวตอบ

นางเซียนไป่อยากจะยิ้ม แต่เธอก็ยิ้มไม่ออก ได้แต่กล่าวว่า “นิกายซงเหมินก็ได้ล่มสลายไปแล้ว เจ้าไปเถอะ จงไปสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่”

ดาบยาวแขวนอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานราวกับมันกำลังจ้องสบตากับนางเซียนไป่ ก่อนจะค่อยๆ ลอยกลับไปอย่างช้าๆ

นางเซียนไป่โบกมือ ก่อนที่พลังวิญญาณที่ปิดกั้นจะคลายลง

ดาบพิภพลอยกลับไปยังมือของกู่ฉิงซาน

“ดาบเล่มนี้อาจจะมีพลังอำนาจมากเกินไป และเพื่อปกป้องมันจากความละโมบของผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงตั้งข้อห้ามขึ้น” นางเซียนไป่กล่าวกับกู่ฉิงซาน

เธอนิ่งไปราวกับกำลังรับฟังอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยเพิ่ม “ด้วยขอบเขตปราณปรับแต่ง ดาบพิภพจะมีน้ำหนักที่สามารถใช้ออกในการโจมตีได้เพียงสามหมื่นจินเท่านั้น”

“ขอบคุณท่านนักปราชญ์” กู่ฉิงซานพยักหน้าเอ่ยขอบคุณ

เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอเลย แต่ก็รับรู้ได้ว่าการที่นางเซียนไป่ทำเช่นนี้เพราะหวังดีกับเขาจริงๆ

ดาบที่ทรงพลังเกินไป ย่อมต้องถูกผู้ฝึกดาบพึ่งพามันโดยธรรมชาติ ในทางตรงกันข้าม หากไม่คิดพึ่งพาพลังของดาบ ผู้ฝึกดาบก็จะมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพัฒนาเทคนิคดาบของตน

อีกอย่างมันเป็นดาบที่เหวี่ยงครั้งเดียวกลับมีพลังถึงสามหมื่นจิน! เพียงเท่านี้มันก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ยิ่งสำหรับขอบเขตปราณปรับแต่ง นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว

นางเซียนไป่จ้องมองมายังชายหนุ่ม และดาบยาวในอ้อมแขนของเขา ก่อนที่จู่ๆ จะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในจิตใจ

เธอเหยียดมือขาวราวหยกสลักขึ้น ก่อนจะจีบออกด้วยวิชาลับเพียงมือเดียว

ณ ภายนอกเมืองร้อยบุปผา จู่ๆ เจ้าหมูที่นอนเกลือกกลิ้งที่ในพื้นที่เพาะปลูกก็พลันหายวับไป

บนถนนทางแยก ห่านขาวที่ยืนอยู่บนหินสีฟ้ายังคงเอ่ยปากตะโกน “ห้ามผลัก ห้ามดัน ต่อแถวเข้ามารับการทดสอบรายการบทกวี”

และวินาทีต่อมา เจ้าห่านขาวก็หายวับไป ทำเอาผู้ฝึกยุทธที่กำลังเฝ้ารออยู่ระเบิดเสียงโห่ร้องออกมาเป็นระยะๆ

มือของนางเซียนไป่ยังคงอยู่ในท่วงท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และพลังวิญญาณก็ถูกกระตุ้นออกอีกครั้ง

บนแม่น้ำ คนแจวเรือที่พึ่งกลับไปเตรียมเรือไม้ลำใหม่ก็พลันหายวับไปในอากาศ

นางเซียนไป่ยังใช้ออกด้วยวิชาลับอย่างต่อเนื่อง

ภายในวังร้อยบุปผา หญิงรับใช้ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ดวงตาของนางเซียนไป่หรี่ลงเล็กน้อย และในวินาทีต่อมา ภาพแสงนับไม่ถ้วนก็กะพริบผ่านดวงตาอันงดงามของเธอ

“เป็นคนค่อนข้างเฉลียวทีเดียว คล้ายกับฉันในตอนยังเยาว์” เธอกล่าวเสียงกระซิบ

ย้อนกลับไปในยามเธออายุได้สิบแปดปี เธอได้ขโมยเครื่องรางมนตราของพี่ใหญ่ของเธอมา และแอบลอบเข้าไปในนิกายกงฟา จากนั้นบังเอิญได้ไปพบเจอวิชาระดับสูงเข้าจึงเปิดอ่าน และด้วยความหลักแหลมของเธอทำให้เธอสามารถเรียนรู้วิชาดังกล่าวได้โดยไม่รู้ตัว

จากนั้นเธอก็ถูกผู้อาวุโสจับได้และลงโทษโดยการให้ออกจากนิกาย และถูกส่งไปเป็นศิษย์ของนิกายซงเหมินในเมืองซานเหมิน จนกลายมาเป็นว่าที่ผู้นำนิกายในที่สุด 

ในเวลานั้นสีหน้าของกลุ่มอาวุโสที่เคยขับไล่เธอได้แสดงออกมาช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต นางเซียนไป่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

ทว่าเมื่อกลับมามองดูประสิทธิภาพของกู่ฉิงซาน ในหัวใจของเธอก็กลับมาพองโตด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น

กู่ฉิงซานรู้ดีว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เอ่ยหรือเผยท่าทีใดๆ เขาจึงยืนอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อรอเธอเตรียมการ

ถูกต้อง นางเซียนไป่นั้นกำลังใช้ออกด้วยสกิลเทวะ

‘อวตารหมื่นอนันต์!’

ในบรรดาสกิลเทวะ นี่นับว่าเป็นสกิลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสกิลทั้งมวล

ขอจงรู้ไว้ว่าเถิด ใครก็ตามที่คุณเดินผ่านเมื่อก้าวเข้ามายังอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์ ตลอดเส้นทางที่พบไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือเหล่าสรรพสัตว์ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นร่างอวตารของนางทั้งสิ้น!

ไม่ว่าจะเป็นนกที่บินอยู่บนอากาศ ผู้คนทั่วไประหว่างทาง คนรับใช้ เหรัญญิก บ๋อยในโรงแรม และแม้กระทั่งมดตัวเล็กๆ สองตัว ทุกสิ่งอย่างในอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำที่สรรพสัตว์ที่อยู่ลึกลงไปหลายพันจั่ง งูที่เลื้อยอยู่บนพื้นดิน หรือกำลังจำศีลอยู่ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่คือเธอ!

สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดล้วนคือร่างแยก…ร่างอวตารของเธอ!

ในชีวิตก่อนหน้า นางเซียนไป่ได้ทุ่มเทพยายามอย่างหนักในการผลักดันและโค่นล้มกองทัพมาร และหลังจากที่สามารถเอาชนะได้ เธอก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวตกตายลงในความว่างเปล่าและเศร้าสร้อย กลับคืนสู่สังสารวัฏอีกครั้ง

หลังจากที่เธอได้จากไป ทั่วทั้งอาณาจักรร้อยบุปผาก็ว่างเปล่า เหลือทิ้งไว้อยู่เพียงแค่ผู้ฝึกยุทธแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ผู้คนจึงเข้าใจในที่สุดว่า ทั่วทั้งอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์ บางทีนอกจากลูกศิษย์ไม่กี่คนของเธอ ที่เหลือล้วนเป็นเพียงร่างอวตารทั้งสิ้น

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมนางเซียนไป่จึงทำเช่นนั้น หากพิจารณาในมุมมองของผู้ที่อยู่ในระดับประทับเทพขั้นสมบูรณ์แบบ คาดการณ์ว่าเธอคงกำลังพยายามค้นหาความจริงอันลึกล้ำที่จะช่วยให้ทะลวงขอบเขตที่เหนือยิ่งกว่าระดับประทับเทพขึ้นไปก็เป็นได้

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่มาเพื่อเลือกรายการทดสอบร้อยบุปผา ตราบใดที่กระบวนการและการกระทำของเขาผิดแผกไปแม้เพียงเล็กน้อย นางเซียนไป่ก็จะตระหนักถึงและรู้ตัวได้ในทันที

และนี่คือหนึ่งในเหตุผลว่า ทำไมการพบเจอกับนางเซียนไป่จึงยากเย็นนัก

“ตอนนี้ข้ามีคำถามสำคัญที่ต้องการจะถามเจ้า” นางเซียนไป่กล่าว

กู่ฉิงซาน “เชิญนางเซียนไป่เอ่ยถาม ผู้น้อยยินดีที่จะตอบ”

นางเซียนไป่ฮั่วเชิดหน้าขึ้นเหลือบมองกู่ฉิงซานหัวจรดเท้าและเอ่ยถามอย่างสงบ “เจ้ามีใครอื่นในครอบครัวอีกหรือไม่? แล้วเหตุใดจึงเข้าร่วมกองทัพ?”

นางเซียนเอ่ยปาก ขณะที่ภายใต้แขนเสื้อกลับแอบจีบมือใช้ออกด้วยวิชาลับ

ไม่ว่าคำโกหกใดๆ ก็ไม่อาจซ่อนเร้นความจริงจากเธอได้

กู่ฉิงซานไม่คาดคิดว่าเธอจะเอ่ยถามคำถามนี้ แต่เมื่อใช้เวลาคิดเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็เลือกปฏิเสธที่จะโกหก

ร่างอวตารของนางเซียนไป่ก็เคยกล่าวเตือนเขาเป็นการส่วนตัวแล้วว่าไม่สมควรโกหกเธอ

นักปราชญ์มักจะมีวิธีที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ…วิธีที่จะใช้เค้นความจริงจากผู้คน

กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อยและกล่าวตอบอย่างชาญฉลาด “เมื่อไม่กี่ปีก่อน บิดามารดาของผู้น้อยได้สิ้นชีพลงอย่างกะทันหัน จากนั้นผู้น้อยก็ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเพียงลำพัง และเติบโตขึ้น ในช่วงที่เผ่ามารกำลังรุกรานผู้น้อยก็ได้เรียนรู้สกิล สกิลหนึ่งจากทางกองทัพ และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดี”

ประโยคนี้กล่าวถึงทั้งสองโลก และมันเป็นเรื่องราวที่แท้จริง สถานการณ์จริงๆ ของเขา

นางเซียนไป่ฮั่วมองมายังเขา และเห็นว่าความผันผวนของพลังวิญญาณในฝ่ามือที่ใช้ออกด้วยวิชาลับไม่เกิดความผิดปกติใดๆ ขึ้น

สิ่งที่เด็กคนนี้กล่าวแม้ฟังดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นความจริง

ประสบการณ์ชีวิตของกู่ฉิงซาน ช่างคล้ายคลึงกับประสบการณ์ชีวิตของเธอเสียจริงๆ

ใช่แล้ว…ไม่มีใครรู้เช่นกันว่านางเซียนไป่ฮั่วแท้จริงแล้วเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกครอบครัวทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

หลังจากที่เธอได้กลายเป็นนักปราชญ์ เธอก็ได้ปกปิดประสบการณ์ในช่วงชีวิตก่อนหน้าของเธอและไม่มีใครสืบค้นเรื่องราวในอดีตที่เป็นจุดอ่อนของเธอได้อีกต่อไป

นางเซียนไป่ดูผ่อนคลายลงแม้กระทั่งดวงตาก็ยังเผยถึงร่องรอยของความใกล้ชิด

“ที่แท้เจ้าก็เป็นกำพร้า” เธอเอ่ยถามอย่างจงใจ “นักปราชญ์เป็นคนที่ช่างอยากรู้อยากเห็น ว่าการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดนั้นมันรู้สึกอย่างไร?”

ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะแปลกใจว่าเหตุใดนักปราชญ์จึงเอ่ยถามคำถามนี้ แต่เขาก็ยังคงตอบอย่างจริงจัง

และคำตอบในคราวนี้เขาก็แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย

ย้อนรำลึกไปถึงเรื่องราวอันขมขื่นและความเจ็บปวดนับไม่ถ้วนที่ได้ประสบพบเจอ กู่ฉิงซานก็ตอบกลับไปตามธรรมชาติว่า “ข้อดีก็คือ สิ่งที่มีชีวิตอยู่โดยลำพังในโลกใบนี้ จะไม่มีห่วงยามตนเองตกตาย แม้จะมีบางคนที่โศกเศร้าก็ตาม” 

นางเซียนไป่ฮั่วเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยถาม “แล้วข้อเสียเล่า?” 

กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “ข้อเสียมีอยู่สองข้อ หนึ่งคือ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกิน การต่อสู้ หรือการออกไปฝึกยุทธ ผู้น้อยจำต้องกระทำทุกอย่างอย่างเดียวดาย ”

“ข้อที่สองก็คือ การเมื่อเห็นคนอื่นๆ ฉลองวันเกิดกับครอบครัวด้วยความสุข อารมณ์ภายในจิตใจมักจะไม่สามารถแบกรับไหว และจำต้องหลีกเลี่ยง”

คำกล่าวทั่วไปเช่นนี้ เมื่อนางเซียนไป่ได้ฟัง มือที่วางอยู่ตรงชั้นวางมือบนบัลลังก์หมื่นบุปผาก็พลันกำแน่น

รอยลึกที่เกิดจากเล็บจิก แหลมคมราวคมดาบเจาะแทรกลงไปในดอกไม้ขาวที่ถูกแกะสลักขึ้นโดยหยกนิรันดร์…

………………………………….