ตอนที่ 51 มารน้อยครองใจ
เลือดเนื้ออันโอชะเบื้องหน้ากำลังจะถึงปากอยู่แล้วแต่จู่ๆ ก็ดันหายไป ส่งผลให้เผ่ามารพร้อมใจกันกรีดร้องออกมาด้วยความคลุ้มคลั่งและผิดหวัง
หลังจากที่รออยู่หลายลมหายใจ พวกมันก็ยังไม่เห็นเหล่าผู้ฝึกยุทธ
พื้นดินค่อยๆ เกิดการสั่นสะเทือน
มารอสูรตัวหนึ่งทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีเลือดและกำลังดักเหยื่ออยู่เบื้องล่าง กระโจนขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะส่ายมองไปมารอบๆ เพื่อค้นหาเหยื่อของมัน ปากอ้ากว้างส่งเสียงโหยหวนอย่างไม่ยินยอมครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น เผ่ามารรอบข้างก็ค่อยๆ ถอยห่างจากมันไปโดยสัญชาตญาณ
นี่คือมารเพลิงสีชาด มันเป็นมารที่สามารถปลดผนึกธาตุไฟจากธาตุทั้งห้าได้ และนอกจากนี้ธาตุไฟของมันยังอยู่ในขอบเขตที่สาม ‘ลาวา’ อันแสนจะน่าสะพรึงกลัวอีกด้วย มันทรงพลังอย่างยิ่งจนยากที่จะมีใครเทียบ
หากคุณต้องการที่จะฆ่ามัน ด้วยขอบเขตเพียงแค่ขั้นก่อตั้งไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด
เหลิงเทียนสิงเห็นฉากนี้ ชั้นเหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นบนแผ่นหลังของเขา
โชคดีจริงๆ ที่ไม่เลือกเดินทางต่อ
ในมวลมนุษยชาติ เขานับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์มากมาย แต่ดูเหมือนในที่นี้มันจะแทบนำมาใช้ประโยชน์ใดๆ ไม่ได้เลย
เนื่องเพราะที่นี่คือต่างโลก มันคือโลกที่ถูกทำลายล้าง!
เผ่ามารอันไร้ที่สิ้นสุด แม้บางตัวโง่ แต่บางตัวกลับฉลาดล้ำเหนือจินตนาการ ทำให้ตัวเขาดูราวกับเป็นเพียงเด็กน้อยที่ตกอยู่ท่ามกลางอันตรายและคงจะตกตายลงหากไม่ระมัดระวัง
เหลิงเทียนสิงส่ายหัวเล็กน้อยในหัวใจรู้สึกได้ถึงความไร้อำนาจของตนเอง
วูจินยืนขึ้นโดยไม่สนใจเลือดที่ท่วมกาย เขาหัวเราะออกมาพร้อมกล่าว “ฮ่าฮ่า ในที่สุดก็รอดแล...!”
เสียงของเขาหยุดลงอย่างกะทันหัน
สายตาของวูจินเบิกกว้าง ทั้งร่างล้มทั้งยืนกระแทกลงกับพื้น
เกือบจะในเวลาเดียวกันที่วูจินล้มลง กู่ฉิงซานก็พุ่งพรวดไปยังร่างของอีกฝ่าย ก่อนจะทาบมือลงบนหน้าอกอีกฝ่าย
“เขาตายแล้ว”
กู่ฉิงซานกล่าวเสียงเย็น
สีหน้าของสองคนที่เหลือพลันแปรเปลี่ยน พวกเขากวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปและพบว่าหัวใจของวูจินหยุดเต้น และไม่หายใจแล้ว
หม่าหลิวส่ายหัวไปมาด้วยความโกรธ ก่อนจะเชิดหัวร้องคำรามลั่นท้าทายฟากฟ้าเบื้องบน
เหลิงเทียนสิงก้มหัวลงอย่างเงียบๆ พัดหยกในมือถูกกำแน่น
ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน เขากลับดึงมีดสั้นออกมาจากศพ ก่อนจะง้างมือและเสียบทะลุลงไปบนหน้าอกของวูจินราวๆ สองถึงสามครั้งจนเป็นแผลเหวอะออก
“หยุดนะ!”
หม่าหลิวที่กำลังโกรธจัดเห็นแบบนั้นเขาก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงง้างกำปั้นขึ้นเตรียมที่จะชกไปยังกู่ฉิงซาน
หม่าหลิวค่อนข้างสนิทกับวูจิน และด้วยความโศกเศร้านี้ก็เพียงพอให้เขาส่งกู่ฉิงซานลงไปสู่ความตายได้เลย
พัดหยกหุบลง ก่อนจะตบลงบนกำปั้นของหม่าหลิว
หม่าหลิวที่บัดนี้ร่างโชกไปด้วยเลือดตะโกนก้อง ”รองนายพลเหลิง เขาไม่สมควรกระทำเช่นนั้น การล่วงเกินสหายผู้ตายจากเป็นเรื่องผิดศิลธรรม ฉันจะไม่ปล่อยเขาไป ไม่ยอมปล่อยให้เขาไปแน่!”
เหลิงเทียนสิงสาดสายตาไปมองการกระทำของกู่ฉิงซานและกล่าวด้วยเสียงหนักทึบ “ก่อนจะทำอะไรไม่ยั้งคิด มาดูสิ่งที่เขากำลังจะทำกันก่อน”
กู่ฉิงซานแทงมีดสั้นลึกลงไปในหน้าอก ก่อนจะบิดคว้านเปิดหัวใจอีกฝ่ายออกมา
เมื่อหัวใจถูกเปิดออก เสียงแหลมต่ำก็กรีดร้องโหยหวน
กู่ฉิงซานสีหน้าสงบดูราวกับล่วงรู้อยู่แล้ว เขาค่อยๆ ชักมีดสั้นกลับมาอย่างช้าๆ
หม่าหลิวมองมีดสั้น แล้วปากของเขาก็อ้ากว้างด้วยความตกใจ
มารตัวน้อยสีหมึกขนาดเท่าหัวแม่มือติดขึ้นมากับปลายมีดสั้นด้วย
มารน้อยพยายามดิ้นรนต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง แต่มีดสั้นแทงทะลุกลางหน้าอกของมัน จึงไม่อาจหนีรอดออกไปได้
บนมือและเท้าของมารน้อยเต็มไปด้วยเล็บอันแหลมคมมันกวัดแกว่งเสียดสีกับใบมีดสั้นจนส่งเสียงติ๊งติ๊งดังไม่หยุด
“มันคือ มารน้อยครองใจ เมื่อมันหลุดเข้าไปในปากของศัตรู มันจะค่อยๆ ไหลลงไปตามร่างกายและกัดกินหัวใจอย่างช้าๆ”
กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจออกมาและยื่นมีดสั้นให้แก่หม่าหลิว “นายคงอยากแก้แค้นให้วูจิน”
ดวงตาของหม่าหลิวแดงก่ำ นิ้วทั้งห้ากางออกและคว้าจับลงบนใบมีดสั้น
เสียงกรีดร้องที่ฟังดูไร้เดียงสาทว่าขณะเดียวกันก็ฟังดูน่าหวาดหวั่นโหยหวนลั่น ก่อนที่ทั้งมารทั้งมีดจะถูกบดบี้จนแหลกเหลวไปทั้งคู่
“หึๆ ฮ่าๆ ไม่นึกเลย...ฉันไม่นึกเลยว่ามันจะจบแบบนี้… ”
หม่าหลิวหัวเราะราวคนเสียสติ
สีหน้าของเหลิงเทียนสิงดูไม่สู้ดีนัก เขาคว้าจับอีกฝ่ายแล้วกล่าว “คนตายไม่อาจฟื้นคืนชีพได้ อย่าพึ่งคิดไปว่าตนจะกลายเป็นเหมือนกับเขา!”
หม่าหลิวผลักอีกฝ่าย เอ่ยร้องคร่ำครวญ “วูจินตายแล้ว เขาตาย เขาตายแล้วคุณเข้าใจไหม!? พวกเราทุกคนกำลังจะตายลงที่นี่!”
กู่ฉิงซานยืนขึ้นและกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ พวกเรายังมีโอกาสอยู่”
“ฉันไม่เชื่อ! อยากจะอยู่ต่อก็ตามใจ! ฉันจะขอล่วงหน้าไปก่อนล่ะ”หม่าหลิวจ้องมองเหลิงเทียนสิงด้วยแววตาแดงก่ำดั่งเลือด ก่อนจะหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ฉันจะขอล่วงหน้าไปก่อน อย่ามาห้ามฉัน หรือแกกล้าที่จะหยุดฉันล่ะ?”
ระหว่างกล่าว จู่ๆ ร่างของวูจินก็พลันเอ่อล้นทะลักไปด้วยกระแสปราณสีดำ
ทันทีที่ปราณดำปรากฏออกมา สีหน้าของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนไป
กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงหันมาสบตากัน และสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นแววตาของอีกฝ่าย
กู่ฉิงซานถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบดิสก์ค่ายกลขึ้นมาแนบระหว่างนิ้วมือ ขณะที่มืออีกข้างเอื้อมไปไว้ด้านหลังและโก่งตัวลงดูคล้ายกับท่าเตรียมวิ่ง
ดาบที่พึ่งได้มาถูกเก็บไว้ในถุงสัมภาระ หลังจากที่ได้มันมากู่ฉิงซานก็ยังไม่มีเวลาที่จะทันได้ใช้มันเลย เขาหวังจริงๆ ว่าจะไม่ได้ใช้มันในครั้งแรกด้วยสถานการณ์แบบนี้
สีหน้าของเหลิงเทียนสิงหนักอึ้ง พัดหยกในมือถูกกำแน่นขณะที่เขาค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว
ทั้งสองยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน พลังวิญญาณในตันเถียนเอ่อล้นออกมาจากทั่วร่างกาย
“ฆ่า ฆ่า! ต้องฆ่าพวกเผ่ามารให้หมด!”
ขณะที่ปากของหม่าหลิวเอ่ยงึมงำคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั่วร่างเขาก็ปรากฏชั้นแสงสีทะมึนเข้าปกคลุม
แสงสีดำเปล่งประกายไปในอากาศราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน พวกมันร่ายรำอยู่รอบกายหม่าหลิว แลดูคล้ายสาวงามทรงเสน่ห์กำลังเต้นเย้ายวน
ปราณดำหมุนวนอยู่รอบตัวหม่าหลิว ก่อนจะแยกออกตัวออกไปสองและเจาะเข้าไปในรูหูของหม่าหลิวคนละข้าง
จากนั้นก็แยกออกไปอีกหนึ่ง คราวนี้ปราณดำที่ดูราวกับหมอกทะมึนไหลผ่านเข้าไปในปากของหม่าหลิว
คู่ดวงตาแดงก่ำของหม่าหลิวพลันถูกแทนที่ด้วยสีดำหมึกอันมืดมิด
“ฆ่า!”
เขาคำรามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะกระโจนออกจากค่ายกล และโบกสะบัดสองกำปั้นล่าสังหารเผ่ามารที่ออกันอยู่เบื้องนอก
แต่เพียงไม่นาน เขาก็ถูกเผ่ามารรุมล้อม และกลายเป็นก้อนเนื้ออันโอชะที่ยังเคลื่อนไหวได้เพียงเท่านั้น
เผ่ามารอ้าปากกว้างก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนตัวของหม่าหลิว ทว่าหม่าหลิวก็ยังคงไม่ตระหนักถึงมัน เขายังคงก้าวต่อไปข้างหน้า ก้าวแล้วก้าวเล่า เหวี่ยงหมัดสังหารเผ่ามารที่ตรงเข้ามาเผชิญหน้า
และก็ผ่านพ้นไปอีกไม่นานเช่นกัน เผ่ามารก็ได้ทำการกัดกินหม่าหลิวจนสะอาดเอี่ยม ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งเส้นผม
จนกระทั่งในเวลานี้ หมอกทะมึนที่ปกคลุมหม่าหลิวจึงค่อยจางหายไป
ท่ามกลางความว่างเปล่า ปรากฏเสียงครางด้วยความพึงใจ
“วิญญาณมนุษย์...อาหารอันโอชะ…”
กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงจ้องมองฉากนี้อย่างเงียบๆ แผ่นหลังของทั้งคู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน สองตัวตนที่ยังรอดชีวิตอยู่ก็หันมามองหน้ากัน
“นั่นมันคืออะไรกัน?” เหลิงเทียนสิงกล่าวงึมงำ
ปกติเขามีความรอบรู้กว้างขวางไม่จำกัด ทว่าในช่วงเวลานี้เขากลับไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่น
“นั่นคือ ‘มารสวรรค์’ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับคำว่าคงกระพัน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ และหันไปมองโดยรอบ
“อะไรคือมารสวรรค์?” เหลิงเทียนสิงถาม
“มันคือหนึ่งในเผ่ามารที่ไร้รูปร่างแต่มีความสามารถเชี่ยวชาญในด้านทำลายจิตแห่งเต๋า เพื่อยึดครองและดูดกลืนจิตวิญญาณของอีกฝ่าย”
กู่ฉิงซานไม่เต็มใจที่จะเอ่ยออกไปมากกว่านี้ เนื่องเพราะเกรงว่าเหลิงเทียนสิงจะสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ทั้งหมดของเขาไป
บัดซบ! บัดซบ! แม้กระทั่งมารสวรรค์ก็ยังปรากฏตัวขึ้น และในตัวเขาตอนนี้ก็ไม่มีวัตถุใดๆ จากนิกายเต๋าที่จะสามารถใช้ต่อต้านมันพกติดตัวมาด้วยเลย
มีมารสวรรค์ที่ไร้รูปร่างอยู่รอบตัวเขา นั่นหมายความว่าสถานการณ์ในตอนนี้อันตรายกว่าเดิมถึงหมื่นเท่า!
มารสวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ตามธรรมชาติ แต่ตัวมันกลับมีความสามารถมองลึกเข้าไปในจิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกยุทธและทุบทำลายวิญญาณของพวกเขาได้
ไม่ว่าจะเป็นเหลิงเทียนสิงหรือกระทั่งตัวของกู่ฉิงซานเอง ก็ไม่มีทางที่จะจัดการกับมันได้
มารสวรรค์มีนิสัยยึดติดในเรื่องการหวงถิ่น หากมันไม่ถูกบังคับอย่างไม่มีทางเลือก มันย่อมไม่เต็มใจที่จะออกจากอาณาเขตของตนเป็นแน่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “คุณยังพอจะมีเม็ดยาปราณกระเรียนแดงอยู่หรือเปล่า?”
หลิงเทียนสิงหยิบเม็ดสมุนไพรที่ดูสะอาดสะอ้าน และโชยกลิ่นหอมขึ้นมา ก่อนจะกางมันบนฝ่ามือ “เหลือแค่สองเม็ดสุดท้าย”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความยินดี “ส่งมันทั้งหมดให้ฉัน”
หลิงเทียนสิงจ้องมองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง
กู่ฉิงซานเอ่ย “คุณไม่จำเป็นต้องใช้มันหรอก แต่ฉันจำเป็นต้องใช้มันเพื่อเปิดทางข้างหน้า”
“คุณจะเป็นคนนำทางอย่างงั้นหรือ?” เหลิงเทียนสิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“ถูกต้อง สถานการณ์ในตอนนี้ก็เปรียบดั่งเรือท้องแตกที่ตกอยู่ท่ามกลางมรสุมและสัตว์ร้ายในท้องทะเล คุณจะเลือกตายลงที่นี่ หรือสังหารพวกที่ทำรูรั่วแล้วเปิดทางหนีล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงต่ำ
อันที่จริงแล้วในสายตาของกู่ฉิงซาน เหลิงเทียนสิงนับว่าเป็นผู้ใช้เทคนิคมนตราที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ทว่าหากข้างกายไม่มีคนคอยปกป้อง เขาก็จะเป็นเพียงแค่คนอ่อนแอ หากไม่มีทีมที่ทรงพลังมากพอที่จะยื้อให้หลิงเทียนสิงร่ายวิชาลับออกมาแล้วล่ะก็ ต่อให้เขาแข็งแกร่ง เขาก็จะไม่อาจผ่านช่วงเวลาสุดท้ายนี้ไปได้
“ … ” เหลิงเทียนสิงเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ถ้าคุณตายลง ต่อให้ฉันมีเม็ดยาปราณกระเรียนแดงอยู่มากมายสักเท่าไร มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
หลิงเทียนสิงโยนสองเม็ดยาฟื้นฟูออกไป
ในการต่อสู้เมื่อครู่ หลิงเทียนสิงแทบจะไม่สูญเสียพลังงานใดๆ และก่อนหน้านี้เขาก็ได้กินเม็ดยาฟื้นฟูเข้าไปแล้วเช่นกัน แตกต่างจากกู่ฉิงซานที่ที่จะใช้ออกด้วยค่ายกลแต่ละครั้งจำเป็นต้องสูญเสียพลังงานเป็นอย่างมาก
กู่ฉิงซานคิดจะฟื้นฟูพลังวิญญาณทั้งหมด จากนั้นก็เปิดค่ายกลอีกครั้งเพื่อให้ทั้งสองหลบซ่อนตัว
นี่คือความคิดของเขา
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าค่ายกลนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
กู่ฉิงซานรับเม็ดยามา ก่อนจะโยนเม็ดหนึ่งเข้าปาก และเก็บอีกหนึ่งเอาไว้อย่างระมัดระวัง
ในหัวใจของเขารู้สึกเทิดทูนเหลิงเทียนสิงขึ้นมาหลายส่วน
หากลองคิดดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะพบว่ามันยากจะทำใจจริงๆ ที่จะเต็มใจเสียสละเม็ดยาหายากเช่นนี้ให้แก่คนอื่น
เมื่อถูกขังอยู่ในสภาวะระหว่างความเป็นความตาย แต่กลับยังมีน้ำใจถึงเพียงนี้ ชายคนนี้มีคุณสมบัติที่คู่ควรแก่คำว่าสหายจริงๆ
ในหัวใจของกู่ฉิงซานได้ตัดสินใจแล้ว เขากล่าว “ค่ายกลยังอยู่ในอีกชั่วขณะหนึ่ง คุณควรที่จะพักผ่อนก่อนเป็นอันดับแรก”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ตรงไปยังร่างของวูจิน ก่อนจะกระแทกเกราะหนามเหล็กบนไหล่ของวูจินออก แล้วนำมันมาสวมบนไหล่ของตน
........................................