บทที่ 6
จุดหักเหแห่งการเดินทาง
หลายเดือนถัดมา
เตวิชที่ดูจะสดใสขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ถูกเรียกเข้าไปคุยในห้องรับแขกอีกครั้ง พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อและแม่ที่นั่งรอเขาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่น
"ช่วงนี้ลูกไปไหนมาไหนกับเด็กผู้หญิงคนนี้บ่อยนะ" คนเป็นแม่เริ่มเปิดประเด็น พลางวางรูปถ่ายใบหนึ่งลงบนโต๊ะด้านหน้าที่นั่งของเด็กหนุ่ม
นั่นคือภาพแอบถ่ายที่มีเตวิชกับวีโอเลตอยู่ในเฟรม เป็นภาพที่พวกเขานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ที่ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าในละแวกบ้าน ทั้งคู่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันจนใครก็ตามที่ได้เห็นภาพก็มองออกว่าทั้งคู่คงจะสนิทกันมาก
"การที่พวกฉันให้เวลาพักผ่อนกับแกมากขึ้นก็เพราะแกทำผลงานได้ดีขึ้นจนน่าชื่นชม...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้แกไปควงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มั่วซั่วนะ" พ่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
"นี่เพื่อนผมเอง ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้นะครับ" เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบตามปกติ แต่ดูเหมือนทั้งพ่อและแม่ของเขาจะไม่ได้รับฟังสักเท่าไหร่นัก
"เพื่อนแก? เดี๋ยวนี้แกคบเพื่อนเป็นเด็กธรรมดาแล้วเหรอ? ไปรู้จักกันได้ยังไง?" เขาถามย้ำพลางชี้ไปที่รูปภาพซึ่งจากมุมที่ถ่ายนั้น แสดงให้เห็นข้อมือด้านขวาของเด็กสาว ซึ่งไม่ได้มีสัญลักษณ์ใดๆปรากฏอยู่
"..." เขาเงียบไป ในหัวเริ่มมีคำพูดที่อยากจะเถียงออกมาจากปาก แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
"เต...ลูกต้องระวังเรื่องแบบนี้ไว้ให้มากๆนะรู้มั้ย? ลูกก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นกับหนู 'เซน' ทำแบบนี้หนูเซนจะเสียหายเอาได้นะลูก" คนเป็นแม่เริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"ผมรู้ครับ แต่นั่นคือเพื่อนผมจริงๆ" เขาพยายามอธิบายอีกครั้ง
"เอาล่ะ...จะเป็นเพื่อนหรืออะไรก็ตามนะ...แต่ลูกรู้อยู่แล้วนี่นาว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เมจน่ะ"
แล้วทั้งชีวิตนี้จะให้คบกันอยู่เฉพาะคนที่เป็นเมจงั้นสินะ?
เขาเพียงคิดในใจขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป ได้แต่มองหน้าแม่ด้วยสายตาเว้าวอน หวังลึกๆว่าเธอจะเข้าใจ
"ลูกรู้อยู่แก่ใจว่าลูกไม่ใช่คนธรรมดา ลูกเกิดมาพิเศษยิ่งกว่าใครๆ ถ้าเด็กนั่นเข้าหาลูกเพื่อผลประโยชน์ล่ะ? ตอนนี้ลูกอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่เราก็ต้องระวังไว้ให้มากๆนะ นี่แม่เตือนก็เพราะหวังดีหรอกนะ รู้ใช่มั้ย?" เธอพยายามใช้รูปประโยคที่ดูไม่รุนแรง แต่กับแฝงไปด้วยความกดดันแบบอ้อมๆ
"...ผมรู้ครับ ผมจะระวัง" เขารับปากอย่างว่าง่ายเหมือนทุกครั้ง แม้อยากจะเถียงเหลือเกินแต่ก็เถียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว
"แค่ระวังคงไม่พอหรอก...ต่อจากนี้ไปแกถูกกักบริเวณ ที่ ๆแกจะไปได้มีแค่มหา'ลัยกับสนามฝึกร่างกายเท่านั้น...อ้อ สนามฝึกร่างกายน่ะ ฉันจะอนุญาตให้แกไปเฉพาะช่วงเวลาปกติเท่านั้น อย่าคิดจะแอบออกไปตอนกลางค่ำกลางคืนอีกล่ะ" พ่อเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะลุกออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ
เตวิชช็อกไปชั่วขณะที่พ่อพูดประโยคทิ้งท้ายไว้ เหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเขากับวีเจอกันที่ไหน
ที่ช็อกกว่านั้นคือ...คำสั่งของพ่อจะทำให้เขาไม่สามารถไปเจอหน้าเด็กสาวได้อีก...
ความเจ็บใจก่อตัวขึ้น...เขาเจ็บใจที่ไม่แม้แต่จะกล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาให้ทั้งพ่อและแม่ได้ฟัง...และเจ็บใจที่รู้อยู่แก่ใจว่าอย่างไรทั้งพ่อและแม่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นหรือเหตุผลของเขาอยู่ดี...
ทั้งคู่ก็แค่อยากจะให้เขากลับมาเป็นหุ่นยนต์ในโอวาทที่ได้แต่รับคำสั่งแล้วทำตามอย่างเคร่งครัดไม่ออกจากทางที่ถูกปูไว้ให้...หุ่นยนต์ตัวเดิมที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลูกชายที่น่าผิดหวัง...
ณ สนามฝึกร่างกาย
3.00 AM
วีโอเลตเดินมาจนถึงหน้าประตูสนามด้วยท่าทางแจ่มใสร่าเริงเหมือนปกติ...จนกระทั่งมาสะดุดตากับจดหมายฉบับหนึ่งที่แปะอยู่หน้าประตู
เธอมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินเข้าไปมองซองจดหมายใกล้ๆ
'Violet'
ที่ขอบด้านซ้ายล่างของซองจดหมาย มีชื่อเธอถูกเขียนอยู่ เด็กสาวจึงตัดสินใจดึงซองออกมาและแกะดูด้านใน ก่อนจะพบกับกระดาษขนาดA4ที่ถูกพับใส่ในซองไว้
วีโอเลตยืนอ่านข้อความบนกระดาษอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าของเธอดูเศร้าลงไป แต่ก็ดูจะเข้าใจเช่นเดียวกัน
"อย่างนี้ฉันก็เหงาแย่เลยสิ" เธอบ่นพึมพำก่อนจะเก็บจดหมายนั้นใส่กระเป๋าไว้ และเปิดประตูสนามฝึกเข้าไปด้านในตามปกติ
ทิ้งให้ด้านนอกเหลือเพียงบรรยากาศเงียบสงบ กับแผ่นหลังของเด็กสาวผมบลอนด์คนหนึ่ง...
'เซเนท พิมารัน' ในชุดวอร์ม ยืนมองภาพของเด็กสาวอีกคนอยู่ห่างๆด้วยสายตาที่ตีความไม่ออกเช่นเคย ก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกมาโดยไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ
5.00 AM
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นเดิม แม้ว่าวันนี้เด็กสาวจะออกกำลังกายเหงาๆอยู่คนเดียวก็ตาม เมื่อถึงเวลากลับบ้าน เธอก็จัดการเก็บของเตรียมเดินกลับบ้านตามปกติ แม้ว่าในใจจะแอบรู้สึกโหวงเหวงและยังไม่สามารถจัดการความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ก็ตาม
วีโอเลตสะพายกระเป๋าและเดินออกจากสนามฝึกร่างกายด้วยแววตาเหนื่อยล้าทั้งจากร่างกายและจิตใจ...เธอเดินล่องลอยกลับทางเดิมที่ปกติจะเดินกลับพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งเป็นประจำ
ดวงตาเธอมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย ขาทั้งสองก้าวเดินไปด้วยความเคยชิน จนกระทั่งไปถึงจุดที่ไฟข้างทางจุดหนึ่งกำลังติดๆดับๆดูเหมือนว่าดวงไฟจะมีปัญหา ดวงตาสีบลูเบอร์รี่เงยขึ้นไปมองไฟที่กำลังกะพริบดวงนั้น แล้วพาลให้นึกถึงภาพในอดีตที่เธอเคยระแวงกับมันจนต้องวิ่งกลับบ้านด้วยความเร็วด่วนจี๋ จนกระทั่งวันที่เตวิชเสนอตัวเดินมาส่งเป็นประจำ แล้วทำให้ความกังวลของเธอหายไปจนแทบจะลืมเรื่องไฟดวงที่ชอบเสียเป็นประจำดวงนี้...
เด็กสาวเผลอหยุดยืนจ้องดวงไฟตรงหน้าไปชั่วขณะ ก่อนจะพยายามสลัดความคิดทิ้งไปแล้วเดินต่อด้วยความรู้สึกวุ่นวายใจที่เกิดขึ้น...ความคิดในหัวของเธอตีกันมั่วจนประสาทสัมผัสทื่อลงไป...และทำให้เด็กสาวไม่ได้รู้สึกถึง 'ใครบางคน' ที่กำลังเดินตามเธอมาแบบเงียบๆในระยะไม่ไกลนัก...
ร่างสูงในเงามืดนั้นจ้องมองมาที่ร่างบางของเด็กสาวด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา เขาค่อยๆย่นระยะห่างกับเด็กสาวเข้ามาเรื่อยๆ...จนกระทั่งวีโอเลตเริ่มรู้สึกได้ขึ้นมา...
เสียงเดิน? เงียบมาก เงียบจนเกือบจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ...เขาเดินตามมางั้นเหรอ?
เด็กสาวที่เริ่มดึงสติกลับมาอยู่กับตัวเองได้แล้ว เริ่มคิดในใจอย่างระแวดระวังในขณะที่พยายามเดินด้วยท่าทีปกติ และความเร็วปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สมองก็กำลังประมวลผลอย่างหนักหน่วงถึงสิ่งที่ควรจะทำต่อไป
อีก2บล็อกจะถึงทางเลี้ยวไปหมู่บ้าน...แต่ถ้าเข้าไปในซอยนั้นแล้วล่ะก็ จะมีทางตรงอีกเกือบ2กิโลเมตรถึงจะถึงหน้าหมู่บ้านที่ตอนนี้พี่ยามคงกำลังตระเวนตรวจสอบรอบหมู่บ้านอยู่...คงไม่อยู่ข้างหน้าป้อมยาม
แต่ถ้าเลยไปอีกบล็อกหนึ่ง เลี้ยวเข้าไปจะเจอสถานีตำรวจแทบจะทันที...น่าจะปลอดภัยกว่าวิ่งทางตรงยาวๆไปหมู่บ้านนะ
วีโอเลตประมวลผลในหัวสมองอย่างรวดเร็วในขณะที่พยายามฟังเสียงเดินตามจากด้านหลังเพื่อระวังระยะห่างเอาไว้ด้วย
...เสียงเดินตามมายังตามมาในจังหวะเดียวกันกับที่เธอเดินอยู่ ไม่ได้เร่งความเร็วแต่อย่างใด เมื่อสังเกตได้แบบนั้นวีโอเลตก็พยายามรักษาจังหวะการเดินให้เป็นปกติ ประหนึ่งว่าเธอไม่รู้ว่าใครบางคนกำลังเดินตาม
เขาเพิ่งจะตามมาวันนี้รึเปล่านะ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจจะไม่รู้จักทางกลับบ้านของฉันหรอกนะ? ถ้างั้นทำเป็นเดินเลยซอยไปเนียนๆก่อนดีกว่า...แต่ถ้าเกิดว่าเขาตามมาก่อนหน้านี้แล้วรู้ทางกลับบ้านฉันล่ะก็...
เด็กสาวพยายามจำลองเหตุการณ์ในหัวสมองโดยคิดเผื่อไว้ทุกทาง และอดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวด้วยความตื่นกลัวอย่างห้ามไม่ได้ เธอทำเป็นยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอกอย่างธรรมชาติ เก็บซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ให้มิดชิด ขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไป
ในวินาทีที่กำลังจะเดินผ่านซอยทางเข้าหมู่บ้าน ภาพทุกสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของเด็กสาว เปรียบเสมือนภาพช้า เธอเคลื่อนไหวร่างกายตามปกติในขณะที่เปิดโสตประสาทและพยายามจับสัมผัสความเคลื่อนไหวของบุคคลปริศนาเบื้องหลังอย่างเต็มที่
กึก!
ทันทีที่ขาก้าวเลยทางเดินที่ใช้เป็นประจำ...วีโอเลตก็เงี่ยหูฟังเสียงด้านหลังอย่างตั้งใจ...
ตึกๆๆๆ
เสียงฝีเท้าพลันเร่งเข้ามาในทันทีที่เด็กสาวเดินออกนอกเส้นทาง! และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกให้เด็กสาวเร่งเท้าตัวเองวิ่งไปตามทางที่คิดไว้ในหัวเมื่อสักครู่ทันที!!
เธอวิ่งไปด้วยสีหน้าตื่นกลัว แต่ก็ยังควบคุมสติของตัวเองเอาไว้เพื่อจะพยายามทำตามที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ แค่เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าให้ทันเธอก็จะเจอกับสถานีตำรวจแล้ว! อีกแค่นิดเดียว! ...
หมับ!
ข้อมือซ้ายของเธอถูกคว้าเอาไว้ สัมผัสของมือนั้นดูเป็นมือที่หยาบและหนา ส่งความรู้สึกสยดสยองให้เด็กสาวจนแทบจะสูญเสียการควบคุมสติ
หมับ!
ทันทีที่จับตัวได้ บุคคลปริศนาก็ดึงร่างของเด็กสาวเข้ามาประชิดตัวแล้วใช้มือของเขาอีกข้างมาปิดปากเด็กสาวเอาไว้แน่น
"เงียบนะ..." เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลังเพื่อจะข่มขู่ ทว่ายังไม่ทันพูดจบ...
ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ!!
เสียงสัญญาณSOSดังขึ้นจากพวงกุญแจเตือนภัยที่กระเป๋าสะพายของเด็กสาวทันทีที่เธอดึงสลักของเครื่องออกมา สร้างความตกใจให้บุคคลปริศนา เขาคนนั้นผงะและเผลอคลายแรงที่มือของตัวเองที่จับแขนข้างหนึ่งและปิดปากเธอเอาไว้ออกเล็กน้อย เด็กสาวจึงอาศัยโอกาสนั้นใช้ศีรษะกระแทกไปข้างหลังอย่างแรงที่สุด
ปั้ก!
"โอ๊ย!!"
เขาเสียหลักถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เด็กสาวจึงรีบสลัดตัวให้หลุดออกมาอย่างไวแล้ววิ่งออกมาโดยปล่อยให้เสียงสัญญาณที่น่าหนวกหูนั้นดังต่อไปไม่หยุด และพยายามมองถนนหนทางที่ตั้งใจจะมุ่งหน้าไป ทว่า...
พลั่ก!
แม้ใจจะบอกให้เธอรีบไป แต่ขาของเธอกลับหมดเรี่ยวแรงเสียดื้อๆ ร่างของเธอล้มพับลงกับพื้นขัดแย้งกับความคิดอย่างสิ้นเชิง ใจของเด็กสาวหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใบหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดใจ
ซวยแล้ว! ไม่ใช่ตอนนี้สิ!!
เด็กสาวพยายามบังคับให้ขาของเธอลุกขึ้น ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองร่างของบุคคลปริศนาด้านหลังด้วยซ้ำ
ปั้ก!!
เสียงกระแทกดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ เด็กสาวที่ยังไม่สามารถลุกยืนได้จึงหันขวับไปมองตามเสียง...เธอได้พบกับภาพของบุคคลปริศนาสองคน...
คนหนึ่งคือชายแปลกหน้าที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยสภาพซมซานไร้เรี่ยวแรง เขาสวมชุดลำลองธรรมดาในขณะที่ร่างปริศนาอีกร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าชายที่นอนบนพื้น ร่างๆนั้นดูสูงโปร่ง ยืนหันหลังให้เธอ ชุดของร่างๆนั้นเป็นชุดวอร์มเสื้อฮู้ดดี้ หมวกฮู้ดดี้ถูกคลุมที่ศีรษะของเขาคนนั้นเอาไว้ เมื่อมองไล่ไปถึงมือจึงพบว่ามือที่เห็นนั้นข้างซ้ายเป็นมือเรียวบางคล้ายกับมือของผู้หญิง ในขณะที่ข้างขวานั้นสวมถุงมือและกำลังกำไม้หน้าสามในมือแน่น
มือขวาที่เธอมองอยู่นั้น ตรงส่วนข้อมือมีแสงสีฟ้าเป็นประกายออกมาเล็กน้อย เมื่อมองพิจารณาเข้าไปจึงเห็นรอยประทับตัว M
"เป็นอะไรรึเปล่า?" เสียงหวานดังมาจากร่างของคนที่ยืนหันหลังให้เธออยู่ แต่ร่างๆนั้นก็ไม่ได้หันมาแม้แต่น้อย
"..." วีโอเลตยังไม่กล้าตอบอะไรออกไป ร่างของเธอแข็งทื่อ ดวงตาจ้องมองไปที่แผ่นหลังของผู้มาใหม่ปริศนา
"รีบไปแจ้งตำรวจซะ แต่อย่าพูดถึงฉันล่ะ บอกไปว่าเธอใช้ไม้ฟาดไอ้หมอนี่สลบไปก็แล้วกัน" เธอคนนั้นว่าก่อนจะโยนไม้ในมือมาอยู่ตรงหน้าของเด็กสาว และยังยืนนิ่งอยู่กับที่เดิม
"..." วีโอเลตยังคงพูดไม่ออก แต่ก็รวบรวมสติเอื้อมไปคว้าไม้ตรงหน้ามาถือไว้ แล้วจึงรีบวิ่งตรงไปยังสถานีตำรวจอย่างไม่คิดชีวิต!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นไวมากจนเด็กสาวที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนกลำดับเหตุการณ์แทบจะไม่ทัน ตำรวจสามารถมาจับชายปริศนาที่นอนสลบกองอยู่กับพื้นตามคำให้การของวีโอเลต...และแน่นอนว่าวีโอเลตตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงบุคคลปริศนาที่เข้ามาช่วยเธอเอาไว้
หลังจากการสอบสวน ตำรวจจึงได้ข้อสรุปคดีออกมาว่า ชายคนนั้นคือเพื่อนในคลาสมหา'ลัยที่ตามสตอล์กกิ้งเด็กสาวมานานพอสมควร เนื่องจากวีโอเลตเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยและเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ แม้ว่าในเวลาปกติเธอจะอยู่กับนิปุณตลอดเวลา แต่เมื่อสบโอกาสเห็นว่าวีโอเลตมีกิจวัตรประจำวันที่จะแอบออกมาในช่วงเวลาตี3ถึงตี5คนเดียว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเตวิชที่คอยเดินไปส่งเป็นประจำเป็นเวลาหลายเดือน แต่ชายคนนี้ก็ยังเฝ้ารอโอกาสอย่างใจเย็น...จนกระทั่งวันนี้...
วีโอเลตตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก ร่างกายสั่นเทิ้ม ก่อนที่แม่ของเธอจะรีบเข้ามารับที่สถานีตำรวจ แล้วพาลูกสาวกลับบ้านอย่างเงียบเชียบ
แม่ของเธอโอบไหล่เด็กสาวเอาไว้ตลอดเวลาที่เดินเข้าบ้าน จนกระทั่งทั้งคู่มานั่งลงที่โซฟาห้องรับแขกที่คุ้นเคย...
"แม่คะ...ขอโทษนะ" เด็กสาวที่นั่งเงียบมาตลอดเริ่มเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ก้มหน้านิ่ง
"...วีไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย" หญิงวัยกลางคนออกแรงบีบที่ไหล่ของเด็กสาวเบาๆแล้วพูดพลางมองใบหน้าของเธอด้วยสายตาสะเทือนใจ
"..."
"วีไปที่นั่นเวลานั้น...เพราะไม่อยากให้แม่รู้ใช่มั้ย?"
"...ค่ะ..."
"วี...อยากเป็นนักเวทมนตร์ใช่มั้ย?"
"...วีขอโทษนะ" เด็กสาวยอมรับด้วยการเอ่ยคำขอโทษ เธอไม่กล้าหันมามองหน้าคู่สนทนาด้วยซ้ำ ขอบตาร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ชัดเจน
คนเป็นแม่มองเห็นอาการของลูกสาวแบบนั้น แววตาก็แสดงความปวดใจออกมา ก่อนจะโน้มตัวลงไปโอบร่างของเด็กสาวเอาไว้แน่น
"เพราะแม่ใช่มั้ย? เพราะคำพูดของแม่ใช่มั้ยที่ทำให้วีต้องปิดบังแม่...ขอโทษนะ...แม่ขอโทษ" หญิงวัยกลางคนเริ่มเสียงสั่น ร่างของสองคนแม่ลูกสั่นเทิ้มตามกันไป ก่อนที่เด็กสาวจะหันหน้ามากอดตอบและซุกใบหน้าลงที่บ่าของแม่
"แม่ไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ วีไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดแม่สักนิดเลย วีรู้ดีว่าเรื่องของคุณน้ายังทำให้แม่เสียใจอยู่เลย...แต่วีก็หยุดพยายามไม่ได้ วีพยายามซ่อนหนังสือของคุณน้าเอาไว้แล้ว วีพยายามเดินไปตามทางที่วีทำได้ดีแล้ว แต่ว่า..." เด็กสาวพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ภายในใจมาหลายปีราวกับถูกเปิดสวิตช์ น้ำตาเริ่มไหลออกมาจนผู้เป็นแม่สัมผัสได้และกอดร่างของเด็กสาวเข้ามาให้แน่นขึ้นอีก
"อย่านะวี...อย่าใช้ชีวิตที่ตัวเองไม่ต้องการเพื่อแม่เลยนะ...แม่ขอถอนคำพูดวันนั้นทั้งหมดเลย ไม่ว่าวีอยากจะทำอะไรแม่จะช่วยวีทุกทางที่แม่ทำได้เลยนะ...วีอย่าสู้อยู่แค่คนเดียวอีกเลยนะ" น้ำตาของหญิงสาววัยกลางคนไหลอาบแก้มในขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงไม่สามารถผละออกมาจากร่างของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่นั่งตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขน
น้ำตาของสองคนแม่ลูกไหลพรากอย่างไม่มีวี่แววจะหยุดลงง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ ร่างของพวกต่างส่งผ่านความคิดความรู้สึกให้กันอย่างหมดเปลือก ไม่ว่าความคิดอะไรที่ต่างคนต่างเคยเก็บเอาไว้เพราะแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่าย...พวกเขาก็สามารถสื่อสารมันออกมาได้ทั้งหมดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป...
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเด็กสาวผู้เติบโตขึ้นด้วยความรักและความเข้าใจจากคนข้างตัวที่พร้อมจะสนับสนุนทุกความฝันที่เธอต้องการ...แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยว่า ความพยายามสุดชีวิตที่วีโอเลตทุ่มเทลงไปนั้น จะตอบแทนเธอในรูปแบบไหนในอนาคต...