webnovel

IANZO Since 2040

ในอนาคตที่โลกได้ดำเนินมาถึงจุดที่มนุษย์ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งก็ได้ทำการทดลองจนได้รับสิ่งที่ถูกนิยามว่า 'เวทมนตร์' ขึ้นมาใช้กอบกู้โลกที่มืดมนเหลือเกินในตอนนั้นให้กลับมาสงบสุขเรื่อยมาและก่อเกิดเป็น ‘เอียนโซ’ องค์กรนักเวทมนตร์ผู้ถูกสรรเสริญเป็นวีรบุรุษกอบกู้โลกในปี 2040 เรื่องราวการเดินทางของ ‘วีโอเลต รอจเจอร์’ เด็กสาวที่เกิดจากครอบครัวธรรมดา ผู้มีความฝันเกินกว่าความธรรมดา เธอฝันอยากจะก้าวข้ามไปอยู่ในโลกของนักเวทมนตร์เหมือนกับพ่อของเธอที่สละชีวิตเพื่อปกป้องโลกใบนี้ไปตั้งแต่ก่อนเธอจะลืมตาขึ้นมาดูโลกเสียอีก...ทว่าสุดท้ายแล้วเธอกลับลงเอยด้วยการกลายเป็น ‘นักเวทมนตร์นอกรีด’ ศัตรูตัวฉกาจขององค์กรเอียนโซอย่างปริศนา... จุดหักเหแห่งชีวิตของนักเวทมนตร์นอกรีดผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตคนนี้มาจากอะไร? ยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับและไม่อาจคาดเดาได้...

O_Jay · Fantasía
Sin suficientes valoraciones
42 Chs

บทที่ 5 เตวิช วิริญ

บทที่ 5

เตวิช วิริญ

4ปีต่อมา

ณ สนามฝึกร่างกายประจำเขต

3.00 AM

วีโอเลตในวัย20ปี เธอยังคงไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก มีเพียงสีผมที่เปลี่ยนเป็นสีฟ้าคราม และแววตาที่ดูสดใสขึ้นกว่าเดิม เด็กสาวสวมชุดกางเกงวอร์ม เสื้อฮู้ดสีขาว สวมรองเท้าผ้าใบเดินตรงเข้าไปยังทางเข้าสนามฝึก พลางคุยโทรศัพท์ไปด้วยสีหน้าสดใส มือขวาที่ถือโทรศัพท์นั้นมีปลอกแขนสีดำใส่ปิดบริเวณข้อมือเอาไว้

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง แกนี่ยังไงเนี่ย ไปนอนต่อได้แล้วไป๊" เธอพูดกับอีกฝ่ายอย่างสบายๆ ก่อนจะฟังปลายสายตอบกลับมา คำตอบของเขาทำเอาเธอกรอกตามองบนด้วยความละเหี่ยใจ "ปุณ ฉันอายุ20แล้วมั้ย? แกก็เคยมากับฉันอยู่ มันไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย คนก็ไม่มีสักคน...เออๆ นอนได้แล้ว"

เธอกดวางสายไป แล้วมองตรงไปที่ประตูสนามด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบวก...ดูไม่เห็นเหมือนคนที่ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี2ครึ่งเพื่อออกมาสนามฝึกร่างกายให้ทันตี3เลยสักนิด

วีโอเลตในเวอร์ชั่นผมสีฟ้าครามเดินสะพายกระเป๋าไปวางพิงที่ล็อคเกอร์ ก่อนจะเคลียร์สัมภาระเก็บไว้ในกระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินเข้าโซนสนามอย่างคุ้นเคยแม้ว่าไฟในสนามจะไม่ได้เปิดสักดวงเลยก็ตาม

ท่ามกลางความมืดมิดนั้น เธอเดินไปที่โซนเชือกต้านแรงที่ถูกแขวนไว้กับบาร์เหล็กที่ดูแข็งแรง ก่อนจะเริ่มจับที่ห่วงสำหรับมือจับ แล้วเริ่มออกแรงดึงเชือกลงมา แม้จะอยู่ในความมืดมิด แต่ทันทีที่เชือกถูกดึงจนตึง ก็มีไฟกะพริบสีเขียวขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าระดับการตรึงเชือกอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว

หญิงสาวกำลังใส่พลังงานไปกับเชือกในมือแต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีของเธอ ทำให้โสตประสาทของเธอไปรับเสียงแปลกๆเข้า...เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว...

หญิงสาวค่อยๆ คลายแรงช้าๆ จนเชือกถูกปล่อยกลับเข้าที่อย่างเงียบเชียบ ก่อนที่เธอจะยืนนิ่ง เริ่มใช้ประสาทสัมผัสของตัวเองอย่างเต็มที่

"ฮึก...ฮึก..." เสียงสะอื้นเบาๆค่อยๆเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ของเธอช้าๆ

วีโอเลตเริ่มกลืนน้ำลาย ในหัวสมองเธอตอนนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องผีสางนางไม้!

…ทีก่อนหน้านี้ที่พกไอ้ปุณมาด้วยกันตั้ง3-4วันไม่เห็นมีอะไรเลย! ต้องรอให้ฉันมาคนเดียวก่อนเนี่ยนะ? ใจร้ายชะมัด!

หญิงสาวตัดพ้อในใจ ก่อนจะรวบรวมสติ ค่อยๆเดินให้เบาที่สุดเพื่อไปให้ถึงสัมภาระที่กองอยู่ในโซนล็อคเกอร์ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้คุณผีตนนั้นหันมาสนใจเธอ!

วีโอเลตสะพายกระเป๋าอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อยๆ ย่องออกไปทางประตูช้าๆ ...ก่อนที่สายตาของเธอจะไปสบเข้ากับภาพๆ หนึ่งในความมืดมิด...

ที่ประตูทางเข้า มีร่างของชายคนหนึ่ง นั่งลงกอดเข่าอยู่ท่ามกลางความมืด...

"ฮึก...เหนื่อย...ไม่ไหวแล้ว...ฮือๆๆ" ชายเจ้าของเสียงประหลาดเริ่มตัวสั่น ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ชุดของเขาคล้ายกับชุดออกกำลังกายของหญิงสาว กางเกงวอร์มสีดำตัดกับเสื้อฮู้ดสีขาวที่แม้มองจากไกลๆก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นแบรนด์ดัง ราคาน่าจะสูงไม่ใช่น้อย ไหนจะรองเท้าสีแดงรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่เขาใส่อยู่นั่นอีก

ฟึ่บ!

วีโอเลตรีบเข้าไปหลบโดยใช้ล็อคเกอร์บังตัวเอาไว้ และส่งสายตาออกไปมองชายตรงหน้าอย่างระแวดระวัง

ชายหนุ่มเลื่อนมือทั้ง2ข้างขึ้นมาสัมผัสที่หน้าผากของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปขยำเส้นผมของตัวเอง ร่างกายของเขาดูเกร็งจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง

มือด้านขวาที่จับที่เส้นผมของเขานั้นเผยให้เห็นแสงประหลาดสีฟ้าอ่อนที่เปล่งประกายออกมาจากตัวอักษร 'M' บนข้อมือ

ดวงตาที่แดงก่ำของเขาจ้องมองไปที่สนามด้านหน้าอย่างว่างเปล่า...หากแต่ความว่างเปล่าที่เห็นอยู่นั้นกลับเอ่อล้นไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาราวกับว่าจะไม่มีวันหยุดไหล...ราวกับว่าความเสียใจของเขากำลังท่วมท้น

วีโอเลตถูกสะกดไว้แน่นิ่ง เธอจ้องมองภาพตรงหน้าและรับเอากลิ่นอายของความปวดร้าวนั้นเข้ามาในใจโดยอัตโนมัติ...ราวกับมีสิ่งเชื่อมต่อระหว่างเขาและเธอ...

ภาพของชายที่ร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้าทำให้เธอหวนคิดถึงภาพในอดีตของตัวเองที่แสดงความเจ็บปวดออกมาแบบเดียวกันไม่มีผิด...กระแสความเศร้าที่ถูกส่งออกมาได้ปกคลุมสถานที่แห่งนี้จนหญิงสาวไม่อาจก้าวออกไปไหนได้แม้แต่ก้าวเดียว

และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของเขาและเธอ...

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

ณ คฤหาสน์ตระกูล 'วิริญ'

'จดหมายแจ้งเตือน'

แผ่นกระดาษขนาดA4ที่เพิ่งถูกแกะออกจากซองจดหมายที่ประทับตราขององค์กร 'เอียนโซ' อยู่ในมือของชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งบนโซฟาหรูในห้องรับแขก

บรรยากาศในห้องเริ่มมาคุขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากจดหมายฉบับนั้นถูกเปิดอ่าน

ชายหนุ่มเจ้าของสายตาว่างเปล่านั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับชายหญิงที่นั่งอ่านจดหมายอยู่ในขณะนี้

"เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน? ลูกไม่เคยได้จดหมายเตือนมาก่อนเลยนี่นา ทำไมถึงได้พลาดเอาซะได้?" หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเริ่มพูดขึ้นพลางเงยหน้ามอง 'ลูกชาย'

"...ขอโทษครับ" เด็กหนุ่มก้มหน้ามองพื้นด้วยสายตาที่ยังคงว่างเปล่า

"รู้สึกผิดมันก็ดี แต่ลูกรู้ใช่มั้ยว่าแค่นั้นมันยังไม่พอ" ชายวัยกลางพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สายตาของเขายังคงมองไปที่แผ่นกระดาษใบเดิมด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก

"ครับ...ผมจะพยายามให้มากกว่านี้"

"แล้วนี่พอจะหาสาเหตุได้มั้ย? ว่าทำไมพลังของลูกถึงไม่เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว" หญิงสาวมองเด็กหนุ่มด้วยแววตากังวล ทว่าเขาก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

"...ผมจะพยายามให้มากกว่านี้ครับ" เด็กหนุ่มยังคงพูดประโยคเดิม สายตาแน่นิ่งอยู่ที่พื้นดังเดิม

"..." ชายหญิงที่นั่งอยู่ที่โซฟาหันมามองหน้ากันด้วยสายตาเป็นกังวล ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมามองลูกชายอีกครั้ง "หวังว่าแกจะไม่ได้พูดไปอย่างนั้นหรอกนะ รู้ใช่มั้ยว่าพูดแล้วต้องทำให้ได้ด้วย"

"ครับ ผมเข้าใจครับ"

ไม่เลย ไม่เข้าใจเลยสักนิด

คำพูดที่ออกจากปากของเด็กหนุ่ม สวนทางโดยสิ้นเชิงกับความคิดในหัวของเขา...ทว่าไม่มีทางที่ใครจะอ่านความคิดนั้นออกได้ เพราะเขาปิดบังความรู้สึกนั้นเอาไว้ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า...เหมือนกับที่ทำมาตลอด...

"น่าจะพอแล้วล่ะค่ะคุณ แค่นี้ลูกก็น่าจะรู้แล้วแหละ" คนเป็นแม่หันไปแตะบ่าของชายหนุ่มที่นั่งข้างกันเบาๆ ก่อนที่เขาจะหันมาพยักหน้าเบาๆ และลุกขึ้นยืน สายตามองไปที่ลูกชายคนเดียวของบ้าน มือของเขาที่ถือแผ่นกระดาษเจ้าปัญหาค่อยๆ ยื่นกระดาษใบนั้นไปให้เด็กหนุ่ม

"เก็บใบเตือนนี้ไว้เตือนตัวเองด้วยล่ะ แล้วอย่าให้มันเกิดขึ้นอีก"

"ครับ" เด็กหนุ่มรับแผ่นกระดาษจากมือของคนเป็นพ่อมาโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย

หลังจากเด็กหนุ่มรับคำแล้ว ชายที่ยืนอยู่จึงค่อยเดินออกไปจากห้อง

...อยากจะให้ใส่กรอบติดผนังไว้เลยรึเปล่านะ?

เด็กหนุ่มเลื่อนสายตามาจ้องที่กระดาษที่เพิ่งรับมา และยังคงใช้สายตาแบบเดิมของเขาปกปิดความคิดในใจเอาไว้

"ไม่ต้องคิดมากนะเต พ่อเขาก็แค่ไม่อยากให้เราประมาทน่ะ แค่พยายามเหมือนที่ผ่านมา อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกก็พอจ้ะ" หญิงสาวเดินมาแตะบ่าลูกชายเบาๆ คล้ายกับจะปลอบประโลม พลางพูดประโยคที่ฟังดูเหมือนจะปลอบใจและกดดันไปในตัว

'พยายามเหมือนที่ผ่านมา' หมายถึงให้พยายามให้เลือดตากระเด็นแบบไม่คิดชีวิตสินะ?

ความคิดในหัวยังคงพลุ่งพล่านขึ้นมาไม่หยุด ช่างตรงกันข้ามกับสีหน้านิ่งเฉยของเขาโดยสิ้นเชิง

"ครับ"

สิ่งที่เด็กหนุ่มแสดงออกมามีเพียงการตอบรับอย่างนิ่งเฉยและง่ายดาย ไร้ซึ่งการขัดขืนใดๆ ภาพนั้นดูจะเป็นที่พึงพอใจในสายตาของคนเป็นแม่ เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินตามคุณพ่อออกไปอีกคน ทิ้งให้ในห้องรับแขกที่ขว้างขวางนั้นเหลือเพียงร่างของเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้

"เฮ้อ..." เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่สีหน้ายังคงไว้ซึ่งแววตาว่างเปล่า

คงจะเป็นเพราะเขาใช้แววตานี้ปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจมาโดยตอด ทำให้เขาสามารถแสดงแววตาแบบนี้ออกมาได้ไม่ว่าจะรู้สึกอะไรอยู่ก็ตาม...

เด็กหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องที่คุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศมาคุแม้ว่าจะเหลือเขาแค่เพียงคนเดียวก็ตาม

เขาเดินออกมาก่อนจะไปพบกับหญิงสูงอายุที่คุ้นตาคนหนึ่งกำลังใช้ผ้าผืนหนึ่งในมือทำความสะอาดแจกันโบราณที่ตั้งบนโต๊ะไม้ติดผนังทางเดิน

"ป้ารันครับ" เด็กหนุ่มเรียกชื่อของเธอ ก่อนที่ 'ป้ารัน' จะหันมามองเขาแล้วค่อยๆ วางแจกันในมือลงอย่างระมัดระวัง

"ว่ายังไงคะคุณหนู?" เธอหันมาพูดกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีนอบน้อมและเป็นมิตร

"วันนี้ผมรบกวนป้ารันจัดอาหารเย็นมาให้ที่ห้องด้วยนะครับ วางไว้หน้าห้องเหมือนเดิมได้เลย ผมว่าจะอ่านหนังสือที่ห้อง คงไม่ได้ไปกินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่"

"ได้เลยค่ะคุณหนู งั้นป้าแจ้งคุณนายให้เลยนะคะ"

"ขอบคุณนะครับ" เตวิชก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ถัดไปไม่ไกล และเปิดประตูเข้าไปในห้อง

ฟุ่บ!

ทันทีที่ปิดประตูและกดล็อกที่ลูกบิด ร่างของเด็กหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แผ่นหลังพิงประตู แววตาว่างเปล่าของเขาทอดมองออกไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย

อึดอัด...

คำ ๆ เดียวนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขาอย่างห้ามไม่ได้

เด็กหนุ่มยกมือข้างขวาขึ้นมาทาบกลางอกและขยำเสื้อไว้แน่น เล็บของเขาจิกทะลุเนื้อผ้าจนรู้สึกได้ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คลายมือออกแต่อย่างใด มือของเขาจิกแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

ถ้าร้องไห้ออกมา...จะหายมั้ยนะ?

...แต่ฉันได้รับอนุญาตให้ร้องไห้ด้วยเหรอ? น่าจะไม่นะ...

เด็กหนุ่มค่อย ๆ คลายมือที่กำแน่นออก ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าทั้งสองข้างไว้แน่น เขาค่อย ๆ ก้มหัวลงไปแนบกับหัวเข่า และอยู่ในท่านั้นนิ่งๆ ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด เด็กหนุ่มเพียงแค่ค้างไว้ในท่านั้นและหลับตาลงเบาๆ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมอยู่ในร่างกาย...

2.45 AM

ร่างของเด็กหนุ่มที่หยุดนิ่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ค่อยๆมีการขยับตัวเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาและเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ และทันทีที่รู้สึกตัว ความอึดอัดก็ถาโถมกลับเข้ามาในจิตใจ เขายกมือขึ้นมาทาบที่กลางอกอีกครั้งและกุมเสื้อไว้แน่น แววตาที่ว่างเปล่าดูสั่นคลอน

ไม่หายแฮะ...รอบนี้อึดอัดกว่าที่ผ่านมางั้นเหรอ? หรือเป็นเพราะความอึดอัดที่ผ่านมามันยังไม่เคยหายไปจริงๆ เลยทำให้ฉันรู้สึกอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ตรงนี้ซะเลย

เด็กหนุ่มเล็งเห็นว่าเขาไม่สามารถหลบหนีความอึดอัดด้วยการหลับใหลได้เหมือนที่ผ่านๆ มา จึงพยายามมองหาทางออกของปัญหา...

ปัญหา? ปัญหาของฉันในตอนนี้คงจะเป็นบ้านหลังนี้ล่ะมั้ง?

ถ้างั้นคงต้องออกจากบ้านไปก่อน แล้วค่อยคิดต่อละกัน

หลังจากคิดได้อย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อฮู้ดสีขาวและกางเกงวอร์มสีดำมาสวมเปลี่ยนจากชุดเดิมอย่างคล่องแคล่วแล้วจึงเดินไปเปิดประตูห้อง

ก่อนก้าวออกไป เด็กหนุ่มก้มลงไปเจอกล่องข้าวที่บรรจุอาหารเป็นผักสลัดและธัญพืช อาหารประจำที่เขาจะได้กินเวลาที่อยู่ในช่วง 'สำคัญ'

'สำคัญ' สำหรับพ่อแม่น่ะสิ...ไม่เห็นจะสำคัญสำหรับเขาสักนิด

เด็กหนุ่มก้มลงไปหยิบกล่องอาหารขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะด้านในห้อง ก่อนจะปิดประตูห้องลงเบาๆ แล้วจึงค่อยเดินออกไปจากบ้านอย่างเงียบเชียบ

เด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินบนถนนพลางสอดส่องสายตาไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย..ถึงจะออกมานอกบ้านแล้ว ก็ใช่ว่าเขาจะมีที่ไป...สถานที่นอกบ้านที่เขามักจะไปบ่อยๆ ก็มีแค่ที่เดียว...

หลังจากเดินเรื่อยเปื่อยตามสัญชาตญาณ รู้ตัวอีกที เด็กหนุ่มก็มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสนามฝึกร่างกาย...ที่ ๆ เขาอยู่นานมากพอๆ กับที่บ้าน...แม้ว่าจะไม่ได้ต้องการก็ตาม...

สถานที่ที่มักจะพลุกพล่านไปด้วยผู้คน บัดนี้มีเพียงความมืดมิดเข้าปกคลุม ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ

เด็กหนุ่มค่อยๆ ก้าวเท้าตรงเข้าไปด้านในช้าๆ ...และทันทีที่ก้าวเข้ามาถึงบริเวณด้านในแล้ว ร่างสูงของชายหนุ่มก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เตวิชชันเข่าขึ้นมาด้วยความคุ้นชิน มือทั้งสองข้างกอดเข่าไว้แน่น

สายตาของเด็กหนุ่มทอดมองไปด้านหน้าที่มีเพียงความมืดมิด ความว่างเปล่าในแววตาเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกของเด็กหนุ่มต่างออกไปจากตอนที่อยู่ที่บ้าน...เขาปิดโหมดป้องกันตัวเองลง ทำให้ตัวของเขาเริ่มสั่นสะท้าน ที่คอของเด็กหนุ่มเริ่มส่งเสียงแปลกๆออกมาอย่างห้ามไม่ได้

"ฮึก...ฮึก..."

เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้น ดวงตาของเด็กหนุ่มเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ...ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลผ่านแก้มใสของเขา...

น้ำตายังคงร่วงหล่นลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เสียงสะอื้นของเขายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจปลดปล่อยความรู้สึกออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

"ฮึก...เหนื่อย...ไม่ไหวแล้ว...ฮือๆๆ" เด็กหนุ่มปล่อยความรู้สึกในใจออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นขยำเส้นผมสีดำขลับของเขาแน่น สายตาว่างเปล่าที่บัดนี้ผสมกับความสั่นคลอน ทอดมองออกไปด้านหน้า ก่อนที่จะเหลือบไปมองตัวอักษร M ที่บัดนี้มีแสงสีฟ้าประกายออกมาจากข้อมือด้านขวา

เขาค่อย ๆ คลายมือทั้งสองข้างออกจากเส้นผม แล้วจึงขยับแขนขวามาตรงหน้า สายตาเพ่งมองไปที่ข้อมือ ก่อนที่แววตาว่างเปล่าของเขาจะแปรเปลี่ยน กลายเป็นความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่

เด็กหนุ่มใช้มือด้านซ้ายประกบเข้าที่ตัวอักษรMที่ยังคงส่องแสงสีฟ้าออกมา ก่อนจะออกแรงขยี้ ราวกับกำลังใช้ยางลบลบรอยดินสอ

"ฮึก...ฮึก..." เสียงสะอื้นของเขาดังขึ้นในขณะที่มือซ้ายของเขายังคงไม่หยุดขยับ เขาถูมือไปที่ข้อมือขวาอย่างสุดแรงราวกับจะลบรอยที่ข้อมือ...ทั้ง ๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางทำสำเร็จ...

เด็กหนุ่มทำแบบนั้นอยู่สักพักใหญ่ ๆ จนเริ่มเหนื่อย เขาจึงค่อยๆ ยกมือซ้ายออกมา เผยให้เห็นรอยแดงที่เกิดจากแรงขัดเมื่อสักครู่...ทว่าตัวอักษรบนข้อมือก็ยังคงอยู่ที่เดิม และยังเปล่งแสงสีฟ้าออกมาดังเดิม...แม้จะรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นแบบนั้น...แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังคงทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มบอบช้ำขึ้นไปอีก

"เหนื่อยแล้ว...ฮึก...ทำไมถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย? ขอใช้ชีวิตง่ายๆ บ้างไม่ได้เลยเหรอ? ...ฮึก...เคยพูดตอนไหนกันว่าอยากได้ชีวิตแบบนี้..." เด็กหนุ่มปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมากับเสียงพูดที่ดังลั่นไปทั่วสนามฝึก ก่อนจะฟุบหน้าลงกับหัวเข่า และปล่อยให้น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน

เขาจมอยู่ในห้วงแห่งความเจ็บปวดอย่างนั้นราวชั่วโมง...ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเพราะไม่เหลือน้ำตาที่จะออกมาอีกแล้ว แววตาของเขาดึงความว่างเปล่ากลับมาอีกครั้ง มือของเด็กหนุ่มถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่แก้มออกจนหมด ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน และคิดว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว

ทันทีที่เด็กหนุ่มเริ่มเปิดโหมดป้องกันตัวเองกลับมาอีกครั้ง...โสตประสาทของเขาก็กลับมาปกติ...เขารู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียว...

เขาค่อย ๆ สอดส่องสายตาไปรอบ ๆ จนกระทั่งสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างที่โซนล็อคเกอร์ เด็กหนุ่มจ้องไปที่มุมดังกล่าวอย่างตั้งใจ ก่อนจะยกมือขึ้นไปด้านหน้า ที่มือของเขามีแสงประหลาดค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมาและก่อเกิดเป็นมวลพลังงานสีฟ้าเคลื่อนตัวไปที่เป้าหมาย

"โอเคๆๆ ฉันขอโทษที่แอบทำตัวลับๆล่อๆ แต่ฉันไม่ได้เจตนาไม่ดีเลยนะ" เสียงหวานของหญิงสาวดังออกมาอย่างผู้ยอมแพ้ ร่างบางของหญิงแปลกหน้าค่อย ๆ โผล่ตัวออกมาจากตู้ล็อคเกอร์ที่เธอซ่อนตัวอยู่ สองมือของเธอยกขึ้นสูงระดับศีรษะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่ายอมแพ้

หญิงตรงหน้าก้าวออกมายืนให้เขาเห็นเต็มตัว แววตาสีบลูเบอร์รี่ของเธอที่กำลังสั่นไหวด้วยความประหม่า มองมาที่เขา

"..." เด็กหนุ่มยืนมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตานิ่งเฉย เพราะเริ่มสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าไม่น่าจะเป็นบุคคลอันตราย

"...คือ...ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ แค่ไม่ชอบตอนคนเยอะเฉยๆ ก็เลย...แอบเข้ามาเวลานี้" หญิงตรงหน้าออกปากแก้ตัวขึ้นมา ก่อนจะมองหน้าเด็กหนุ่มตรงๆ และสังเกตเห็นดวงตาสีแดงก่ำของเขา "เอางี้มั้ย? นายไม่บอกใครเรื่องฉันแอบเข้ามาที่นี่ สาบานได้เลยว่าฉันจะไม่ทำอะไรเสียหาย จะทำให้เนียนเหมือนไม่มีใครแอบเข้ามาใช้เลย...แล้วฉันก็จะไม่พูดเรื่องที่นายแอบมาร้องไห้ที่นี่ นายจะมาแอบร้องไห้ที่นี่กี่ครั้งก็ได้ จริงๆนะ"

"ใครบอกเธอว่าฉันจะมาร้องไห้อีก?" เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นมาทันทีที่ถูกจี้จุดด้วยคำพูดของเด็กสาวตรงหน้า

"...แต่หน้านายดูเหมือนยังอยากจะร้องอีกนะ"

"จะคิดอะไรก็คิดไป แต่ฉันจะไม่เป็นแบบเมื่อกี้อีกแล้ว แล้วก็จะไม่มาที่นี่เวลานี้แล้วด้วย" เด็กหนุ่มกลบเกลื่อนความหงุดหงิดที่ถูกพูดจี้จุดด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเฉย "เธอจะใช้สนามเวลาไหนมันก็เรื่องของเธอ ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน" เตว่าก่อนจะหันหน้าออกไปทางประตูและเดินนำออกไป

เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น วีโอเลตจึงรีบหันไปหยิบสัมภาระของตัวเองขึ้นมาและกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามร่างสูงออกไป

"พูดจริงนะ? นายไม่บอกใครจริงนะ?" เธอสาวเท้ายาวๆเพื่อเดินให้ทันเด็กหนุ่มขายาวที่จ้ำอ้าวอยู่ พลางถาม

"อือ"

ทันทีที่ได้ยินคำตอบสั้นๆ ของเขา เธอก็ฉีกยิ้มด้วยความดีใจสุดขีด ขาก็ก้าวเดินไปเรื่อย ๆไม่หยุด

"...แต่ฉันก็พูดจริงเหมือนกันนะ ที่บอกว่านายจะมาร้องไห้ที่นี่กี่รอบก็ได้ ฉันจะไม่บอกใครจริงๆ แล้วก็จะไม่ถามไม่วุ่นวายอะไรเลย ยกเว้นว่านายจะอยากเล่าเองน่ะนะ"

กึก!

เมื่อได้ยินประโยคคำพูดนั้น เด็กหนุ่มก็หยุดเดินและหันมามองหน้าหญิงสาวแปลกหน้าด้วยแววตาที่แสดงความหงุดหงิดออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

"ก็บอกว่าจะไม่มาแล้วไง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่ไม่อาจซ่อนความหงุดหงิดในแววตาของตัวเองได้อีกต่อไป

"..." วีโอเลตยืนนิ่ง เธอมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาของคนที่ทำอะไรไม่ถูก เปลือกตากระพริบถี่ขึ้นด้วยความกดดันเล็กน้อย

ไม่นานนัก เตวิชเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาเผลอแสดงอารมณ์ที่ไม่เคยปล่อยออกมา...ก่อนจะรีบสวมทับด้วยแววตาว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเดินแยกไปตามทางกลับบ้านทันที

วีโอเลตยืนมองแผ่นหลังของชายที่เพิ่งจะเดินออกไปสักชั่วครู่ ก่อนจะยู่ปากด้วยความน้อยใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจดีว่าเมื่อครู่เธออาจจะจุ้นจ้านมากเกินไปหน่อย เขาเลยโมโหเข้าให้

เด็กสาวสลัดความคิดในหัวออกไป ก่อนจะหันหลังเดินแยกไปทางกลับบ้านของเธอที่อยู่คนละทางกัน

จะร้องไม่ร้องมันก็เรื่องของเขาสิ เขาคงจัดการความรู้สึกตัวได้แหละ!

เธอคิดในใจพลางเดินไปจนถึงหน้าบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่ามีอะไรติดอยู่ในใจกลับมาด้วย...แต่ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นอย่างไร เด็กสาวก็สลัดมันออกจากหัว แล้วค่อยๆเปิดประตูรั้วบ้านอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงที่บ่งบอกให้ทุกคนรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ในเวลานี้ ท่าทางการเดินเข้าบ้านของเธอดูหลบๆซ่อนๆจนมองเผินๆก็ดูไม่ต่างจากขโมยที่แอบเข้ามาในบ้านนัก

1สัปดาห์ต่อมา

ด้านในคฤหาสน์หลังโตที่เต็มไปด้วยของใช้และของประดับหรูหราตามฐานะเจ้าของบ้าน...บัดนี้มีชายกลุ่มหนึ่งกำลังยกเครื่องมือที่มีลักษณะเป็นโครงเหล็กชุดหนึ่งเข้ามาด้านในตัวบ้าน พวกเขานำของในมือมาวางไว้ตามที่คุณนายเจ้าของบ้านจัดแจง ก่อนจะพากันออกไปหลังจากติดตั้งเครื่องมืออย่างรวดเร็ว

ในห้องที่ติดตั้ง มีคุณนายของตระกูลกับลูกชายของเธอยืนอยู่ด้วยกัน เด็กหนุ่มยังคงสวมแววตาว่างเปล่าปิดทับความคิดในใจไว้เช่นเดิม...ทั้ง ๆที่ตอนนี้เขาอยากจะวิ่งออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

นอกจากเครื่องที่เพิ่งถูกติดตั้งไปเมื่อสักครู่แล้ว ยังมีขวดแก้วบรรจุน้ำยาสารเคมีสีม่วงจำนวนไม่ต่ำกว่า30ขวดถูกแพ็คมาในกล่องลังขนาดสูงเท่าตัวคนถูกวางไว้ข้างๆกัน

หญิงสาววัยกลางคนเดินไปหยิบเครื่องแท็บเลตสีพิ้งโกลด์ขึ้นมาปลดล็อคหน้าจอ เผยให้เห็นภาพที่ดูคล้ายกับตารางเรียนที่อัดแน่นไร้ซึ่งช่องว่างใดๆ

เธอเดินถือแท็บเลตในมือไปให้เด็กหนุ่มดูตารางในหน้าจอด้วยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

"ดูสิลูก นี่แม่จัดตารางการฝึกไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้วนะ ลูกแค่ทำตามตารางนี้ไปเลย แล้วเดี๋ยวเราจะมาเข้าเครื่องวัดระดับกันวันละครั้ง น้ำยาเคมีก็มากพอให้ดื่มได้วันละขวด นี่ทางเอียนโซเขาใจปล้ำมากเลยนะลูก เขาส่งทั้งเครื่องทั้งน้ำยามาให้ฟรีหมดเลย นี่แม่ก็ปรึกษาไปแล้วด้วยนะว่าถ้าไม่ได้ผลจะทำยังไง? เขาบอกว่าถ้ายังไม่ได้ผลทางเอียนโซก็จะจัดเตรียมแพทย์ที่ปรึกษาทุกขนานที่เกี่ยวข้องไว้ให้เราเข้าไปปรึกษาได้เลยนะ" เธอร่ายยาวพลางยื่นตารางให้เด็กหนุ่มดู

เตวิชมองไปที่ตารางฝึกที่อัดแน่นไปด้วย 'คำสั่ง' เต็มหน้ากระดาษ เพียงแค่มาในรูปแบบของสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า 'ความหวังดี' เท่านั้นเอง

"..."

"นี่ทั้งพ่อแม่ทั้งทางเอียนโซพร้อมใจกันหาทางให้ลูกขนาดนี้เลยนะ ทำให้ขนาดนี้แล้วถ้าลูกชายแม่ไม่ทำให้เต็มที่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มสดใสทีเล่นทีจริง ก่อนจะยื่นมือซ้ายไปจับที่แก้มใสของเด็กหนุ่มเบาๆ "แต่ลูกชายแม่ไม่ใช่คนเหลวไหลอยู่แล้วเนอะ ยังไงก็คงจะพยายามเต็มที่ไปกับทุกคนใช่มั้ยลูก?"

"...ครับ" แววตาว่างเปล่าของเขาจ้องมองเข้าไปที่นัยน์ตาของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะตกปากรับคำอย่างว่าง่าย

"ลูกชายแม่นี่สมกับเป็นที่1ของรุ่นจริงๆ เลย ไม่เหมือนลูกชายบ้านเดแคลน รายนั้นน่ะเห็นว่าทั้งดื้อทั้งไม่เอาไหน ถ้าไม่ได้โชคดีเกิดมาได้พลังงานเยอะพอๆกับลูกนะ มีหวังได้เป็นที่โหล่ของรุ่นไปนานแล้วล่ะ" คุณนายพูดชมลูกชายก่อนจะพาดพิงไปถึงลูกชายของบ้านที่ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นคู่แข่งรายสำคัญของตระกูลพวกเขา

"...งั้นผมขอตัวไปพักก่อนนะครับ พรุ่งนี้จะได้เริ่มฝึกตามตารางได้เลย"

"พรุ่งนี้? ลูกพูดอะไรน่ะ? พวกเราไม่มีเวลาเหลือเยอะแล้วนะ อีกไม่ถึงเดือนก็ต้องเข้าไปวัดระดับพลังอย่างเป็นทางการแล้วนะ ลูกแน่ใจเหรอว่าเริ่มพรุ่งนี้จะทัน? คือ...แม่ไม่ได้จะบังคับหรอกนะ แต่แม่เป็นห่วงว่าจะไม่ทันน่ะสิ"

เอาอีกแล้วสินะ...ความหวังดีของคุณแม่...

"...งั้นผม...จะเริ่มวันนี้เลยละกันครับ"

"ตั้งใจเข้านะลูก แต่อย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ"

หักโหมที่ว่าหมายถึง...ฝึกหนักจนตายได้อะไรแบบนั้นหรือเปล่านะ? เพราะถ้าฉันตายไปสักคนบ้านนี้คงเหมือนเสียแหล่งทรัพยากรสำคัญของตระกูลไปอะไรแบบนั้นสินะ

"ครับ" เด็กหนุ่มตอบกลับ ก่อนที่แม่เขาจะส่งยิ้มให้อีกครั้งแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง

3.15 AM

เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงมาหลายชั่วโมง กำลังพลิกตัวไปมาซ้ายขวา แม้จะอยากข่มตานอนก็ทำไม่ได้

ขณะที่หงายตัวขึ้นมองเพดานห้อง มือขวาของเด็กหนุ่มก็ขยับมาทาบที่กลางอก ก่อนจะเริ่มกำมือขยำเสื้อไว้แน่น

เขาพรวดพราดลุกขึ้นมานั่งบนเตียงโดยที่ยังไม่ปล่อยมือออกจากเสื้อ สีหน้าของเด็กหนุ่มดูกระอักกระอ่วน ร่างกายเริ่มสั่นเทา ความเครียดและความอึดอัดเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่าง

ไม่ว่าจะทำอย่างไรความรู้สึกนี้ก็ไม่หายไปเสียที เขาจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า มือคว้ากางเกงวอร์มเสื้อฮู้ดมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

เขาเดินออกไปตามถนนด้านนอกบ้าน เท้า2ข้างก้าวเดินไปตามสัญชาตญาณทั้ง ๆ ที่แววตาของเด็กหนุ่มดูช่างเลื่อนลอยและว่างเปล่า

รู้สึกตัวอีกที ขาของเด็กหนุ่มก็พาเขามายืนอยู่หน้าประตูสนามฝึกที่คุ้นเคยเสียแล้ว...

ฉันคงจะบ้าไปแล้วสินะ ถึงได้ยังมาที่นี่ในตอนนี้ทั้งที่อุตส่าห์พูดไว้ขนาดนั้นแล้ว

เตวิชถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในที่ปกคลุมด้วยความมืดแล้วนั่งลงพิงผนังข้างๆกับบานประตู แต่ยังไม่วายสอดส่องสายตาไปรอบๆ ทว่าก็ไม่รู้สึกว่าจะมีบุคคลอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

...ไม่มาสินะ...ก็ดีแล้วล่ะ...

เด็กหนุ่มเผลอลืมความอึดอัดไปชั่วขณะที่มองหาใครบางคนอยู่ ก่อนจะกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆ ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาทางดวงตา...น้ำตาค่อยๆ เอ่อคลอ และไหลผ่านแก้มของเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ

"ฮึก...ฮือๆๆ" เขาเริ่มปล่อยให้เสียงออกมาจากลำคอเต็มที่เพื่อระบายความรู้สึกออกมาอีกทาง พลางมองไปที่สัญลักษณ์บนข้อมือที่เริ่มฉายแสงสีฟ้าออกมาเองอีกครั้ง ยิ่งเห็นภาพนั้น เสียงสะอื้นของเด็กหนุ่มก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ความเจ็บปวดในใจยิ่งชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ มือซ้ายของเขาขยับไปถูที่สัญลักษณ์บนข้อมือขวาด้วยความคิดว่า ถ้าเขาลบรอยๆ นี้ออกไปได้จริงๆ ชีวิตมันจะง่ายขึ้นรึเปล่านะ? ...เขานั่งถูข้อมืออยู่อย่างนั้นจนรอยแดงปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน...เขาทำแบบนั้นจนในที่สุดก็ยอมแพ้และยอมรับความจริงที่ว่า...

รอยบนมือนี้จะยังคงติดตัวเขาไปจนวันตาย...

เด็กหนุ่มนั่งร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบจะลืมเวลา...