บทที่ 4
เลียม เดแคลน
หลังจากจบเหตุการณ์วุ่นวาย เหล่านักเวทที่สังกัดฝ่ายสมดุลอำนาจฯต่างพากันแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเอง บางส่วนก็ไปดูแลสภาพของสิ่งปลูกสร้างเพื่อสำรวจความเสียหาย บางส่วนก็ไปดูแลเหล่านักเวทสังกัดฝ่ายสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการปะทะกับนักเวทนอกรีดเพื่อดูแลสภาพร่างกายของพวกเขา ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งรวมถึงนักเวทคนดัง 'เลียม เดแคลน' พากันกระจายตัวไปพูดคุยสอบถามกับผู้คนในเหตุการณ์เพื่อสอบถามเหตุการณ์จากแต่ละมุมมอง
ชายหนุ่มตาฟ้าคนดังเดินตรงไปหาวีโอเลตที่ถูกขอให้นั่งรออยู่ในซุ้มชั่วคราวที่เหล่านักเวทจัดพื้นที่รับรองไว้ให้คนในเหตุการณ์ แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าเพื่อเตรียมพูดคุยกับเธอ
"สวัสดีครับ" ชายหนุ่มทักทายเธอด้วยใบหน้าจริงจัง เด็กสาวจึงเงยหน้าขึ้นมามอง
"ค่ะ" เธอตอบรับด้วยท่าทางเตรียมตัวที่จะพูดคุย
"จากปากคำของทุกคน เห็นว่าคุณเป็นคนหยุดพลังเวทของแม่มดเอาไว้สินะ?" เขารีบเข้าเรื่องที่สนใจอย่างตรงประเด็น แววตามุ่งมั่นจ้องเข้าไปที่ดวงตาของเด็กสาว
"อ่า...ใช่ค่ะ คือสถานการณ์มันแย่มาก แล้วนักเวททุกคนก็ตึงมือกันไปหมด เลยคิดว่าควรต้องทำอะไรสักอย่างที่พอจะทำได้น่ะค่ะ"
"'งั้นเหรอ? มีสติมากเลยนะครับเนี่ย ปกติทุกคนที่เจออะไรพวกนี้จะตั้งสติไม่ค่อยได้ แม้แต่พวกนักเวทเอง ถ้าเป็นพวกมือใหม่ส่วนใหญ่ก็จะยังทำอะไรไม่ถูกกันทั้งนั้นเลยนะ...ไม่ทราบว่า คุณได้รับการทาบทามจากเอียนโซเป็นการส่วนตัวไปแล้วรึยัง?" ชายหนุ่มเริ่มคลายยิ้มบางๆออกมา หน้าตาดูเป็นมิตรมากขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่ากำลังประทับใจในการกระทำของเด็กสาวตรงหน้า
"คะ? ทาบทาม? หมายถึง?" วีโอเลตถามด้วยท่าทีสงสัยไม่เข้าใจ
"หมายถึงทาบทามเข้าเป็นนักเวทมนตร์ประจำองค์กรไงครับ คือ...เท่าที่ฟังแล้วนอกจากคุณจะมีสติมากที่สุดแล้วเนี่ย ยังมีพลังมากพอที่จะสกัดพลังเวทมนตร์ระดับแม่มดซะด้วย เอียนโซคงไม่ตาถั่วขนาดมองไม่เห็นเมจอย่างคุณหรอกนะ?" เลียมว่าพลางเอียงคอมองหน้าเด็กสาวพร้อมรอยยิ้มละไมโปรยเสน่ห์
ทว่าเด็กสาวที่ถูกเข้าใจว่าเป็น 'เมจ' กลับหน้าเจื่อนลงไปในทันที
"คือว่า...ฉันไม่ใช่เมจนะคะ" เธอตอบอย่างตะกุกตะกัก
พรึ่บ!
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ เลียมก็ขมวดคิ้วสงสัยและเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือขวาของเด็กสาวหงายขึ้นมาให้เห็นข้อมือด้านในอย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ
และเมื่อพบว่าที่ข้อมือด้านขวาของเด็กสาวไม่ได้มีร่องรอยตราประทับใดๆ ต่างกันกับข้อมือขวาของเขาที่จับมือเธออยู่ซึ่งมีรอยประทับตัวอักษร M ติดอยู่...เลียมก็อ้าปากหวอด้วยความสงสัย และเงยหน้ามองตาเด็กสาวด้วยความไม่เข้าใจสุดขีด
"ไม่มีทาง...ถ้าอย่างงั้น...คุณสลายพลังของแม่มดได้ยังไง?"
"ฉัน...มีของวิเศษติดตัวอยู่น่ะค่ะ"
"ของวิเศษ? ของชิ้นนั้นคืออะไร? แล้วคนธรรมดาแบบคุณไปได้มันมาได้ยังไง?"
"มันเป็นสมบัติที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้น่ะค่ะ อย่างพวกเครื่องประดับแม่ก็จะยกให้ฉันทั้งหมดเลย"
"แสดงว่าพ่อคุณเป็นนักเวทมนตร์งั้นเหรอ?"
"...ใช่ค่ะ แต่ท่านเสียไปนานแล้ว"
"ชื่ออะไรเหรอ?" หน้าตาท่าทางของชายตรงหน้าดูจะอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และดูเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆด้วย
"คุณคงไม่รู้จักหรอกมั้ง"
"บอกมาเถอะน่า" น้ำเสียงของเขาดูห้วนขึ้นจนเด็กสาวเริ่มไม่ค่อยอยากคุยด้วยต่อสักเท่าไหร่นัก
"... 'วินเซนต์' ค่ะ" เธอตอบออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
แต่คำตอบนั้นเรียกเอาความประหลาดใจให้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มตาฟ้า เขาอ้าปากค้างอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความครุ่นคิด แล้วค่อยๆเก็บอาการกลับมา และเงยหน้ามองวีโอเลตชัดๆ ไม่นานนัก เขาก็เหลือบสายตาไปมองต่างหูข้างซ้ายที่ยังเหลืออยู่ของเธอ
พรึ่บ!
เป็นอีกครั้งที่เขาถือวิสาสะ เอื้อมมือไปหมายจะจับต่างหูสายยาวของเด็กสาว ทว่าครั้งนี้เธอไม่ยอม และได้เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือของเขาด้วยใบหน้าหงุดหงิด
"อะไรกันคะ? คิดอยากจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ? ฉันแค่พยานในเหตุการณ์นะ ไม่ใช่ผู้ร้ายสักหน่อยคุณถึงจะได้ถือวิสาสะทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้ได้" เธอตอบโต้กลับโดยไม่คำนึงถึงความยิ่งใหญ่ของฐานะทางสังคมของชายตรงหน้าอีกต่อไป
"...อา ขอโทษที" เขายอมผละออกมา และปล่อยมือของเธอออกแต่โดยดี ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "ว่าแต่ ผมนี่ก็เสียมารยาทจริงๆเลย มัวแต่ยิงคำถามอย่างเดียว ยังไม่ได้ถามชื่อคุณเลยเนอะ?"
"..." เด็กสาวดูไม่อยากตอบคำถามของชายตรงหน้าอีกแล้ว เธอนิ่งไปในขณะที่ทั้งคู่จ้องหน้ากันเขม็ง ก่อนที่ชายตรงหน้าจะหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วพูดออกมา
"ผมต้องบันทึกในรายงานส่งให้หัวหน้าน่ะ ถ้าไม่รู้ชื่อพลเมืองดีคนสำคัญแบบคุณล่ะก็ คงยุ่งเลยล่ะ ว่ามั้ย?" เขาโน้มน้าวพลางเอียงคอมองหน้าเธอและส่งรอยยิ้มละไมมาอีกครั้งหนึ่ง
"...วีโอเลต รอจเจอร์" แม้จะไม่อยาก แต่เธอก็ไม่อยากขัดขวางการทำหน้าที่ของเหล่านักเวทมนตร์ และยอมตอบด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก
"อา...เข้าใจแล้ว" เมื่อได้ยินชื่อของเด็กสาว ชายหนุ่มก็พยักหน้าและดูเหมือนจะหายข้องใจไปพอสมควร ก่อนจะทำหน้าตาตึงเครียดมองไปที่เด็กสาวอีกครั้ง "ว่าแต่ว่า ตอนที่แม่มดพยายามจะโจมตีเกราะป้องกัน เห็นว่ามีการโจมตีพร้อมกันสองทางนี่นา อีกทางหนึ่งที่ยัยนั่นโจมตีก็คือ...พลังงานสีฟ้าตรงยอดหอคอย ถูกมั้ย?"
"ใช่ค่ะ"
"คุณรู้รึเปล่าว่าพลังงานนั่นมีความสำคัญยังไง? ทำไมถึงได้ตัดสินใจจัดการฝั่งนี้เองแล้วตะโกนบอกให้คุณ 'ยูกิ' ...เอ่อ ผมหมายถึงคุณนักเวทที่สู้กับแม่มดตอนแรกน่ะ ทำไมถึงบอกให้เขาไปปกป้องทางนั้นล่ะ?"
"...ก็พลังงานตรงนั้นคือพายุที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่โซนนี้นี่คะ เป็นพายุที่พวกนักเวทต้องคอยมาสลายเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับเมือง แต่ถ้ามวลพลังงานนั้นถูกทำลายก่อนที่จะถึงเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งพายุและผลกระทบจากพลังเวทก็จะโจมตีโซนบริเวณนี้ทั้งหมด ฉันก็เลยคิดว่ามันสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดเลยน่ะค่ะ ให้คุณนักเวทเขาไปป้องกันทางนั้นน่ะดูจะเข้าท่ากว่าเยอะเลย" เธอเผลออธิบายยาวเหยียดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และคำตอบนั้นก็ทำเอาคิ้วของชายตรงหน้าถึงกับขมวดมาชนกัน
"ทำไมถึงได้รู้ข้อมูลนี้ล่ะครับ?"
"ก็...แค่ชอบศึกษาหลายๆเรื่องก็เลยอ่านหนังสือเยอะน่ะค่ะ"
ปึ้ง!
ชายหนุ่มกระแทกฝ่ามือลงบนขอบพนักเก้าอี้ที่วีโอเลตนั่งอยู่อย่างแรง และเคลื่อนตัวให้เข้าไปประชิดกับเด็กสาวจนน่าตกใจ ดวงตาของเขาจ้องไปที่เธอเขม็งราวกับโมโหในคำตอบของเธอ
"ไม่มีทาง...ข้อมูลพวกนี้น่ะไม่ใช่อะไรที่ใครๆแค่นึกอยากจะรู้ก็รู้ได้ง่ายๆหรอก...อย่าบอกนะว่าที่คุณศึกษาข้อมูลพวกนี้ในเชิงลึกขนาดนี้เพราะ...อยากเป็นนักเวทมนตร์งั้นเหรอ?" เขาพูดพลางจ้องเขม็งรอคำตอบจากวีโอเลตที่นั่งมองเขาตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตกใจ
"..." เธอพูดไม่ออก ได้แต่พยายามพะงาบ ๆปากเพื่อจะกลั่นกรองประโยคคำพูดออกมา แต่เสียงกลับไม่ออกจากลำคอแม้แต่น้อย
"อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ...คุณไม่ใช่เมจนี่นา ในเมื่อเกิดมาเป็นคนธรรมดาคุณก็ควรจะเจียมเนื้อเจียมตัวแล้วอยู่ในที่ของคุณไปซะสิ ข้อมือขวาที่ไม่มีตราประทับของคุณน่ะ มันคือสิ่งที่กำหนดเส้นทางชีวิตที่ควรจะเป็นของคุณเอาไว้แล้ว...ไม่คิดอย่างงั้นเหรอ?" เขาพูดในลักษณะที่ดูเหมือนการข่มขู่ พร้อมมองหน้าเด็กสาวอย่างไม่วางตา แววตาคู่นั้นฉายความรู้สึกที่ดูสะใจปนดูถูกมาจนเด็กสาวรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนี้เลย
ไม่ได้ ห้ามร้องนะ จะร้องต่อหน้าคนแบบนี้ในตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
วีโอเลตคิดในใจพลางพยายามเก็บอาการเอาไว้...แต่มันยากเสียเหลือเกิน
"คุณกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? เลียม" เสียงพูดที่ฟังดูเยือกเย็นดังมาจากบุคคลที่สามที่เพิ่งมาถึง เปรียบเสมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตเด็กสาวเอาไว้อย่างฉิวเฉียด!
เมื่อได้ยินเสียงๆนั้น ชายหนุ่มนิสัยเสียก็ยอมผละตัวออกมาช้าๆ แต่ยังไม่ละสายตาจากนัยน์ตาสีบลูเบอร์รี่ตรงหน้า
"ก็แค่สอบสวนโดยละเอียดน่ะครับ" เขาตอบด้วยเสียงนิ่งโดยไม่หันไปมองหน้าคู่สนทนาผู้มาใหม่ ชายวัยกลางคนเจ้าของดวงตากลมโตและใบหน้าละมุนดูอ่อนกว่าวัยที่เป็นผู้นำของนักเวทสังกัดฝ่ายสิ่งแวดล้อม
"จากที่ฉันดู...มันเหมือนกับการข่มขู่เสียมากกว่านะ"
"คุณยูกิก็ว่าไปนั่น ผมไม่ใช่คนที่จะใช้อำนาจในทางมิชอบสักหน่อยนะครับ"
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นนะ เพราะถ้าเธอมีพฤติกรรมแบบนั้นล่ะก็...มีหวังตำแหน่งซีเนียร์ที่กำลังจะได้รับของเธอก็คงสั่นคลอนเนอะ? ว่ามั้ย?"
ทันทีที่ประโยคนั้นออกมา เลียมก็ดูหน้าตาหงุดหงิดขึ้นอีกทวีคูณ เขายอมละสายตาจากเด็กสาวตรงหน้าแล้วมองไปทางอื่นที่ยังคงไม่ใช่คู่สนทนาซึ่งยืนมองเขาจากด้านหลังอยู่ดี
"ก็คงงั้นแหละครับ ว่าแต่คุณยูกิไปเช็คร่างกายมาเรียบร้อยแล้วเหรอครับ? ทำไมถึงมาเดินเล่นในเขตการทำงานของฝ่ายสมดุลอำนาจฯได้อย่างอิสระแบบนี้ล่ะครับ?" เลียมพูดจาเหน็บแนมสมกับท่าทีที่ดูนิสัยเสียของเขา
"เรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันไม่ได้บาดเจ็บอะไร แล้วก็...มีเรื่องต้องขอบคุณ 'พลเมืองดี' ที่ช่วยชีวิตคนในโซนนี้เอาไว้ได้ด้วยล่ะ...การสอบสวนก็ดูไม่น่าจะมีอะไรมากนะ ต้องใช้เวลานานเลยเหรอกว่าฉันจะได้คุยกับเด็กคนนี้น่ะ?" ยูกิพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่รูปประโยคนั้นกลับแลดูกดดัน จนเลียมเผลอจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดแล้วหันไปมองหน้าเขา
"ไม่นานหรอกครับ อันที่จริงผมก็กำลังจะไปแล้วล่ะ ยังไงซะก็ไม่ได้มีเรื่องให้คุยกับ 'เด็กธรรมดา' คนนี้สักเท่าไหร่น่ะครับ" เขาว่าก่อนจะยอมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยท่าทางยโสโอหัง
แม้จะน่าหงุดหงิด แต่ยูกิก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ เขายืนนิ่งๆจนเห็นว่าแผ่นหลังของชายนิสัยเสียนั้นไกลออกไปแล้ว จึงค่อยนั่งลงบนเก้าอี้แทน แล้วปรับสีหน้าให้ดูอ่อนโยนลง
"หมอนั่นคงเสียมารยาทกับเธอไปเยอะเลยใช่มั้ย? เด็กนิสัยเสียก็แบบนี้ล่ะ อย่าไปจำคำพูดไร้มารยาทของเขามากนักล่ะ" ชายวัยกลางคนเอ่ยปลอบใจด้วยรอยยิ้มละไมที่ดูจริงใจกว่าของใครบางคนพอสมควร
"...ก็แค่ตกใจน่ะค่ะ...ว่าแต่คุณ...ยูกิใช่มั้ยคะ?"
"ใช่ ฉันจะมาขอบใจเธอน่ะที่ตอนนั้นเธอดูมีสติมากกว่าฉันเสียอีก ถ้าไม่ได้เธอล่ะก็ฉันอาจจะปกป้องอะไรไม่ได้สักอย่างเลยก็ได้นะ แถมยังกล้าพอที่จะเขวี้ยงของใส่พลังของคนน่ากลัวแบบแม่มดอีก...ถามจริงนะ ไม่กลัวว่ายัยแม่มดนั่นจะเปลี่ยนเป้าหมายมาหาเธอแทนเหรอ?" เขาพูดพลางอมยิ้มอย่างถูกใจไปด้วย
"ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังมีต่างหูอีกข้างน่ะค่ะ" เด็กสาวตอบพลางส่งยิ้มสดใสออกมา
"ใจกล้าจริงๆเลยแฮะ เอาจริงๆเธอมีนิสัยแบบที่ฉันหวังว่านักเวทหลายๆคนควรจะมีนะเนี่ย...ไม่สนใจอาชีพนี้งั้นเหรอ?"
"ถึงสนใจก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้นี่นาคะ ฉันไม่ใช่เมจสักหน่อย"
"อืม...ฉันจำได้ว่าเคยมีนักเวทที่ไม่ได้เป็นเมจอยู่นะ ถึงจะไม่รู้รายละเอียดก็เถอะ...แต่ไม่ใช่ว่าไม่ได้เป็นเมจแล้วจะเป็นนักเวทไม่ได้หรอกนะ" เขาพูดด้วยท่าทีสบายๆ และดูจริงใจเสียจนเด็กสาวเผลอใจเต้นแรงกับประโยคคำตอบนั้นโดยไม่รู้ตัว
วีโอเลตมองหน้าชายวัยกลางคนด้วยแววตาที่ดูมีประกายความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
"มีด้วยเหรอคะ?"
"ถึงจะไม่มาก แต่ก็จำได้ว่ามีอยู่นะ เห็นว่ามีคนที่เคยไต่ไปจนถึงระดับซีเนียร์ด้วยล่ะ...แต่ถ้าให้พูดตามตรงล่ะก็ มันต้องใช้ความพยายามสูงเหมือนกันนะ...แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอก"
"..."
"ในอนาคตตอนที่อายุถึง ถ้าเธอสนใจ อยากจะเข้ามาลองสอบดูก็ไม่น่าจะเสียหายหรอกนะ"
"..." เด็กสาวดูสับสนกับสิ่งที่ได้ยินพอสมควร จนชายตรงหน้าสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
"เงียบแบบนี้แสดงว่าสนใจจริงๆล่ะสิ? ถ้าสนใจล่ะก็ อย่างน้อยก็ลองพยายามให้สุดแรงสักครั้งดีมั้ยล่ะ? จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังไง"
"แต่ว่า..."
"ก็ไม่ได้บังคับอะไรหรอกนะ มันเป็นแค่คำเชิญชวนน่ะ เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนแมวมองที่ดันมาเจอเด็กที่น่าสนใจมากๆคนหนึ่งเข้าน่ะสิ จะตัดสินใจยังไงก็เป็นเรื่องของเธอล่ะนะ ยังไงซะเธอก็ยังเด็ก มีเวลาให้คิดอีกนี่นา"
"ฉัน...จะเป็นได้จริงๆเหรอคะ?" เด็กสาวเริ่มเผลอหลุดปากพูดออกมาโดยไม่พยายามปิดบังอะไรบางอย่างที่อยู่ในตัวเธออีกต่อไป
"ถ้าเธอพยายามมากพอล่ะก็...มันก็ไม่แน่หรอก ว่ามั้ย?" เขาเลือกที่จะถามกลับ พลางส่งรอยยิ้มใจดีมาให้เธอ
เด็กสาวอดที่จะยิ้มตามอย่างมีความหวังไม่ได้...ในจิตใจของเธอที่เคยมืดมิด เริ่มจะมีจุดเล็กๆแต่งแต้มเข้ามาเล็กน้อย
"ทำไมถึงดูเชียร์ให้ฉันเป็นนักเวทจังเลยล่ะคะ? แค่เพราะเมื่อกี้ฉันมีสติแล้วก็บ้าบิ่นงั้นเหรอ?"
"อืม...นั่นก็แค่ส่วนหนึ่งน่ะนะ...แต่ไม่รู้เพราะอะไร...เธอให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยแปลกๆน่ะ จะว่ายังไงดี? ความรู้สึกรอบตัวเธอ โดยเฉพาะฉากที่ตั้งสติแล้วยอมเสี่ยงทำอะไรบางอย่างดูน่ะ...มันให้ความรู้สึกเหมือนกับใครบางคนที่ฉันเคยรู้จักน่ะ"
"..."
"...เธอ...ชื่อว่าอะไรนะ? พอดีเมื่อกี้ฉันมาทันแค่ตอนที่เธอเริ่มถูกข่มขู่แล้วน่ะ"
"..."
ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้อ้าปากตอบ ก็มีเสียงของชายนิสัยเสียขัดขึ้นมาเสียก่อน
"คุณยูกิครับ ผมได้ยินมาว่าคุณยูกิมาช่วยงานที่นี่แบบเฉพาะกิจนี่นา ต้องรีบกลับไปดูแลที่โซนRอีกไม่ใช่เหรอครับ?" เลียมมายืนจ้องอยู่ด้านหลังไม่ไกลนักพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นการไล่ทางอ้อม
"...ให้ตายสิ นายนี่มันรู้ดีจริงๆเลยนะ"
"แน่นอนสิครับ ผมอุทิศทุกอย่างให้กับการทำงานในองค์กรอยู่แล้วล่ะ แล้วตอนนี้ผมก็ว่ามันดึกแล้วด้วย เราควรจะปล่อยเด็กคนนี้กลับบ้านได้แล้วนะครับ ไม่ใช่มานั่งเม้ามอยเรื่อยเปื่อยไร้ประโยชน์แบบนี้...อ้อ แม่เธอมารอแล้วนะ กลับไปได้แล้วล่ะ" เขาว่าก่อนจะหันไปเชิญวีโอเลตให้ออกไปเสียที
เมื่อคู่กรณีจ้องเขม็งมาขนาดนั้น เด็กสาวก็รู้สึกเกร็งจนไม่อยากอยู่ในสายตาเขาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วโค้งให้ยูกิเป็นการบอกลาเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป
แม้ว่าบทสนทนาจะยังไม่จบ แต่คำพูดและความรู้สึกบางอย่างที่เธอได้รับมาจากชายวัยกลางคนนั้น ก็ดูเหมือนจะมากพอที่จะปลุกไฟบางอย่างในตัวเด็กสาวที่เคยมอดไหม้ไปให้ค่อยๆลุกโชนขึ้นอย่างช้าและน่าประหลาดใจ...
เด็กสาวเดินออกมาด้วยความฮึกเหิมและจินตนาการที่เห็นตัวเองในฐานะนักเวทมนตร์อีกครั้ง...จนกระทั่ง...เธอมาเจอกับหญิงสาววัยกลางคนผู้เป็นแม่ที่ยืนรอรับอยู่ด้านนอกของซุ้มชั่วคราว...
"วี! ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย!?" หญิงผู้เป็นแม่วิ่งเข้ามาโผกอดเธอเอาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรค่ะแม่ วีไม่เป็นไร" เธอลูบหลังแม่เป็นการตอบรับความรู้สึก ในขณะที่สีหน้าค่อยๆเจื่อนลง ความทรงจำเก่าๆกลับมาพร้อมกับสัมผัสอันแสนอบอุ่นของแม่
ความทรงจำในวัยห้าขวบ...ที่แม่ของเธอโอบกอดเธอไว้แน่นและร้องไห้สะอึกสะอื้น...ทว่าในความทรงจำนั้น ไม่ได้มีเพียงสัมผัสของแม่เท่านั้น...มันยังมีประโยคคำพูดที่ติดฝังอยู่ในใจของเธอจนทุกวันนี้ด้วย
แม่ที่กอดเธอไว้ด้วยร่างที่สั่นเทาวันนั้น เคยพูดกับเธอไว้ด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า...
'อย่าเป็นนักเวทเลยนะวี...อย่านะ...อย่านะ...แม่ขอร้องล่ะ ฮึก...'
เสียงของแม่ในวันนั้นยังคงดังก้องและฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอ...และกำลังกลับมาทำลายกองไฟแห่งความฝันที่กำลังจะลุกโชนของเธออีกครั้งหนึ่ง...
ฉันควรจะทำยังไงดีนะ?
เด็กสาวได้แต่วนเวียนถามคำถามเดิมกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...