webnovel

อะไรน่ากลัวกว่ากัน

กูณฑ์หนีออกมาจากห้องเก็บของ เขากุมหน้าอก หายใจหอบ อยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิดจนอายุสิบห้า เพิ่งรู้ว่าบ้านตัวเองมีผี ถึงจะไม่ได้ออกมาน่าสยองแบบในหนัง แต่ขึ้นชื่อว่าผีแล้วกูณฑ์ไม่อยากคบทั้งนั้นแหละ

"จะรีบไปไหน" แม่ทัก

"แม่ครับ แม่มีพระเครื่องไหมครับ" กูณฑ์ถาม

แม่เลิกคิ้ว "ลูกจะเอาไปทำอะไร ไหนบอกไม่เชื่อเรื่องพวกนี้"

ตั้งแต่กูณฑ์เข้าวัยรุ่น เขาก็เริ่มอายที่ต้องห้อยสร้อยพระไปไหนมาไหน เอ่อ แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขานะ ก็สร้อยพระที่แม่ให้เขามามันไม่ได้มีพระแค่องค์เดียวน่ะสิ มาตั้งสามองค์จนเพื่อนแซวหมดแล้วว่าจะไปล่าท้าผีที่ไหน อีกอย่างเขาอยู่มาตั้งนานก็ไม่เคยเห็นผีสักทีจนตัดสินใจถอดออก ใครจะไปรู้ล่ะว่าพอถอดออกก็เป็นเรื่องเลย หรือตอนแรกเขาไม่เห็นผีเพราะพระคุ้มครองอยู่กันแน่นะ

"โห! แม่" กูณฑ์ว่า "ขอหน่อยเถอะ"

แม่ยื่นสร้อยพระให้ "เก็บดี ๆ ล่ะ"

กูณฑ์เอาสร้อยพระทูนหัว บริกรรมคาถา กำพระไว้ในมือแน่น นี้เขาก็พร้อมลุยแล้ว จะไล่ไอ้ผีนั่นออกไปให้ได้เลย คนอย่างกูณฑ์ไม่ยอมอยู่ร่วมบ้านกับผีหรอกนะ

กูณฑ์เปิดประตูห้องเก็บของช้า ๆ เสียงเอี๊ยดอ๊าดที่เคยดังเป็นปกติของมันกลับฟังสยองอย่างบอกไม่ถูก เขาสูดหายใจลึก ๆ เขาเป็นลูกผู้ชาย เขาต้องทำได้

"นายกลับมาแล้วเหรอ" เจ้าผีทัก ดูท่าทางมันดีใจมากที่เห็นกูณฑ์ เหอะ คงคิดจะฆ่าเขาแล้วให้เป็นตัวตายตัวแทนล่ะสิ กูณฑ์รู้เรื่องพวกนี้ดี เขายื่นพระไปตรงหน้า คาดว่าเจ้าผีนั่นจะกรีดร้องแล้วหายไปเหมือนในหนังผีที่เคยดู แต่ว่า..

เจ้าผียื่นแขนเข้ามาจับพระเครื่องก่อนจะดึงออกไปจากมือกูณฑ์ มันก้มลงมองสำรวจพระอย่างสนใจ

"พิมพ์ดีเสียด้วย หายากอยู่นะ" มันชม

กูณฑ์ตบหน้าผากตัวเอง เพิ่งเคยเห็นผีไม่กลัวพระก็ตอนนี้แหละ

"ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้" กูณฑ์บ่นพึมพำ

กูณฑ์คิดว่าตัวเองพูดเบาแล้ว แต่เขาลืมไปว่าผีน่ะหูดีเสมอ

"แล้วต้องเป็นยังไงล่ะ" เจ้าผีเอียงคอถาม

"นี่มันพระนะเว้ย" กูณฑ์ตะโกน "แกจะต้องทุรนทุรายสิ"

ผีเม้มปาก "นายเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ"

"เอ่อ คือว่า" กูณฑ์เริ่ม ให้ตาย ทำไมเขาต้องรู้สึกผิดด้วยเนี่ย

"ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่เคยทำอะไรใครแท้ ๆ" ผีว่าต่อ "ทำไมต้องจงใจหาของมาทำร้ายกันด้วย"

"คือ" แววตาของผีที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวทำเอากูณฑ์คิดว่าตัวเองเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลกเลย

กูณฑ์สั่นหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป หมอนี่มันเป็นผี แล้วขึ้นชื่อว่าผีก็ไว้ใจไม่ได้ เขาจะต้องเด็ดขาดกว่านี้

"แต่นายเป็นผี" กูณฑ์ว่า "ผีกับคนอยู่ร่วมกันไม่ได้หรอกนะ"

"ฉันเป็นภูต" ผีหัวดื้อเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

"มันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ" กูณฑ์โต้กลับ จะภูตจะผีก็เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติไม่ควรยุ่งเกี่ยวทั้งนั้น

"ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว" ผีว่า ก้มลงมองเท้าตัวเอง "นายไม่ให้ฉันอยู่ที่นี่ แล้วจะให้ไปอยู่ไหน"

"นายจะไปที่ชอบ ที่ชอบสิ" กูณฑ์แนะนำ เขาไม่รู้หรอกว่าผีควรไปอยู่ที่ไหน ก็เขาเป็นคนไม่ใช่ผีนี่หว่า แต่มันเป็นประโยคที่เขาได้ยินบ่อยตอนมีคนตาย ถึงเขาจะไม่รู้ว่าที่ชอบที่ชอบนั่นหมายถึงอะไรก็เถอะ

ผียิ้มแฉ่ง มันค่อย ๆ ขยับมาหากูณฑ์ทีละนิด กูณฑ์ผงะถอยหลัง

"ทำบ้าอะไร"

"ฉันก็จะไปอยู่กับนายไง"

"จะบ้าเหรอ" กูณฑ์ว่า เขาถอยไปจนชิดประตูห้อง

"ก็นายบอกให้ฉันไปที่ชอบ ๆ" ผีว่า

"ฉันหมายถึงไปสวรรค์ ไปนรกโว้ย" กูณฑ์ว่า

"แต่มันต้องมีคนมารับฉันไม่ใช่เหรอ" ผีย้อนถาม "ฉันไม่เคยไป จะไปถูกได้ไง"

คำถามนี้กูณฑ์ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

"แต่ยังไงนายก็อยู่ที่นี่ไม่ได้" กูณฑ์ว่า

ผียักไหล่ "ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นักหรอกนะ ทั้งมืด ทั้งสกปรก" มันปัดฝุ่นหนังสือที่อยู่บนพื้น "หนังสือดี ๆ ก็ถูกวางให้ฝุ่นจับไปหมด ไม่มีใครสนใจเลย"

"ไม่อยากอยู่ ก็ไปสิวะ" กูณฑ์พูดอย่างหงุดหงิด

"ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไปไม่ได้ ฉันถูกผูกติดกับหนังสือเล่มนี้ ฉันออกห่างจากมันไม่ได้"

กูณฑ์ขมวดคิ้ว "แกก็ถือหนังสือไปด้วยสิ ยากอะไร" ทำไมผีต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย

"เดี๋ยวทำให้ดู" ผีหยิบหนังสือเล่มดังกล่าวขึ้นมา

กูณฑ์ขยี้ตา เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ทันทีที่ผีหยิบหนังสือขึ้นมา มันก็หายวับไป เหลือแต่หนังสือปกติที่เปิดอ้าอยู่บนพื้น ไม่สิ ไม่ใช่หนังสือปกติ หนังสือปกติไม่มีตา มีปากหรอกใช่ไหม

"ก็เป็นอย่างนี้แหละ" หนังสือขยับปากพูด ดูน่าสยองกว่าตอนเป็นผีเสียอีก อย่างน้อยตอนเป็นผี หน้าตามันก็ยังเหมือนคนอยู่

กูณฑ์พยายามคิดหาวิธีที่จะช่วยผีตนนี้ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนดีอะไรหรอกนะ แต่เขาทนอยู่ร่วมบ้านกับผีไม่ได้จริง ๆ ต่อให้เป็นผีดีก็เถอะ แต่เด็กหนุ่มอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ

กูณฑ์พยายามเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับ เขาไม่ถนัดอะไรพวกนี้เอาเสียเลย เขาเป็นสายลุยมากกว่า เท่าที่รวบรวมได้คือไอ้ผีนี่ถูกผูกติดกับหนังสือ ไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีหนังสือไปด้วย แต่พอมันหยิบหนังสือเข้ามาใกล้เกินไป มันก็กลายเป็นหนังสือเล่มนั้นเสียเองซึ่งไปไหนไม่ได้เพราะไม่มีขา

กูณฑ์ทึ้งหัวตัวเอง ให้ตายสิ เขาไม่ใช่หมอผีหรือพระสักหน่อย เขาจะไปรู้ได้ยังไง

ทันทีที่เขาคิดอย่างนั้นได้ เขาก็ยิ้มกว้าง ใช่แล้ว เรื่องแบบนี้ต้องให้พระจัดการสิ

"นายยิ้มอะไร" เจ้าหนังสือผีถาม กระดาษของมันดูซีดลง

"ฉันรู้แล้วว่าจะทำยังไงกับนายดี" กูณฑ์ว่า เขาหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกง

"เบา ๆ หน่อยสิ ยับหมด" มันประท้วง

"เงียบน่า เจ้าผีหนังสือ" กูณฑ์ว่าอย่างไม่สบอารมณ์

"นายเรียกฉันว่ายังไงนะ"

"ก็เรียกผีหนังสือไง นายมันผีหนังสือ"

กูณฑ์รู้สึกว่าเจ้าหนังสือนั่นพยายามงับก้นเขาด้วยหน้ากระดาษของมัน เขาสะดุ้งโหยง กระโดดตัวลอย

"หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าผีหนังสือ"

"เลิกเรียกฉันว่าผีหนังสือก่อน"

"แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ก็แกเป็นผีหนังสือ"

"งั้นฉันเรียกนายว่าไอ้หัวแดงก็ได้สินะ ก็นายมันหัวแดง" ผีย้อน

กูณฑ์โกรธจนตัวสั่น ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เขาเกลียดไปกว่าการเรียกว่าหัวแดงอีกแล้ว เพราะสีผมที่ไม่เหมือนพ่อแม่ทำให้เขาถูกล้ออยู่เสมอ บางคนก็แค่ล้อเล่นขำ ๆ แต่กูณฑ์ไม่เคยขำด้วย แต่บางคนก็เล่นหนักถึงกับบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกจริง ๆ ของพ่อแม่

"ฉันมีชื่อ" กูณฑ์คำราม โชคดีของหมอนี่ที่มันเป็นผีหรือถึงมันไม่ได้เป็น กูณฑ์นี่แหละจะจัดการให้มันเป็นเอง

"ฉันก็มีชื่อเหมือนกัน" ผีตอบ

"แกชื่ออะไรล่ะ" กูณฑ์ถาม

เงียบกันไปสักพัก ก่อนที่ผีจะพูดอ้อมแอ้ม

"ฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้วเหมือนกัน ไม่มีคนเรียกชื่อฉันนานแล้ว"

"โธ่เว้ย!" กูณฑ์สบถ ก่อนจะเตะตั้งหนังสือเพื่อระบายอารมณ์

"แต่ว่าฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า แบบฉันนี่พวกมนุษย์เรียกว่าเคียว.."

"เคียวเกี่ยวข้าวเนี่ยนะ" กูณฑ์ขัดอย่างไม่อยากเชื่อ ถึงครอบครัวเขาจะไม่ได้ทำนา แต่เขาก็พอรู้จักเคียวเกี่ยวข้าวอยู่ และมันก็ไม่มีอะไรเหมือนผีตนนี้เลยสักนิด

"เคียวรินรินต่างหาก" ผีว่า มีความเหนื่อยหน่ายอยู่ในน้ำเสียง

"ชื่อเหมือนญี่ปุ่นเลย" กูณฑ์ตั้งข้อสังเกต

"ก็ใช่น่ะสิ" ผีว่า "ถ้าจำไม่ผิด ตอนเป็นมนุษย์ฉันน่าจะเป็นคนญี่ปุ่น"

"แล้วทำไมนายพูดภาษาไทยกับฉันล่ะ"กูณฑ์เปลี่ยนสรรพนามการเรียกให้สุภาพขึ้น

"ทำอย่างกับพูดภาษาญี่ปุ่นแล้วนายจะฟังออก"

ก็จริงของมัน กูณฑ์คิด "เล่าเรื่องเคียวรินรินต่อสิ"

"เป็นวิญญาณแห่งความรู้ที่ถือกำเนิดมาจากคัมภีร์โบราณที่ถูกเจ้าของทิ้งเอาไว้อย่างไม่ไยดี ไม่ทำการเปิดอ่านกระทั่งฝุ่นจับเต็มไปหมด" ผีอธิบาย "เพราะงั้นนายโทษฉันไม่ได้นะที่มาอยู่นี่ นายไม่รู้จักหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเอง"

"เดี๋ยวนี้ใครเขาอ่านหนังสือกัน" กูณฑ์ว่า "รู้จักอีบุ๊คหรือเปล่า ตามเทรนด์บ้าง"

"ฉันเป็นวิญญาณแห่งความรู้นะ ทำไมแค่นี้จะไม่รู้จัก" ผีว่าอย่างผยอง "อีก็เป็นคำเรียกผู้หญิงแบบไม่สุภาพไง ฉันว่าเรียกคุณบุ๊คจะดีกว่านะ"

กูณฑ์สำลักน้ำลาย เห็นได้ชัดว่าเจ้าผีตนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกจริง ๆ กูณฑ์เชื่อว่าผีนี้คงมีความรู้มาก แต่เป็นความรู้ในตำราที่ไม่พัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยเสียมากกว่า แต่จะโทษมันก็ไม่ได้ ก็เล่นติดอยู่ในหนังสือเป็นปี ๆ

"ฉันจะอธิบายให้นายฟังทีหลัง" กูณฑ์ตัดบท จริง ๆ มันยากที่จะอธิบายให้ผีฟังว่าอีบุ๊คคืออะไร ทั้ง ๆ ที่มันไม่รู้จักสมาร์ทโฟนด้วยซ้ำ

กูณฑ์ออกมาจากห้องเก็บของและตรงไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน ตอนแรกเขาลังเลว่าจะอาบน้ำและขึ้นห้องเลยดีไหม แต่ความหิวก็ชนะ

"ตายแล้ว! ฝุ่นเต็มไปหมด"แม่ดุ "ไปขลุกอะไรอยู่ในห้องเก็บของ คงไม่ได้ไปซ่อนอะไรหรอกใช่ไหม" แม่หรี่ตามอง

"ผมสาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้เอาอะไรไปซ่อนทั้งนั้น" กูณฑ์พูดพร้อมสบตาแม่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แล้วเขาไม่ได้โกหก เมื่อกี้เขาไม่ได้เอาอะไรไปซ่อนจริง ๆ

"ครูโทรมาหาแม่" แม่เปลี่ยนเรื่อง เสียงเรียบ

"ผมไม่ผิดนะ" กูณฑ์พูดอย่างร้อนรน "เจ้านั่นมันหาเรื่องผมก่อน"

"ครูถามแม่ว่าสนใจร่วมทำบุญกับทางโรง.." แม่หยุดพูดกลางคัน เมื่อได้ยินคำสารภาพของลูก

กูณฑ์หน้าซีด เมื่อเห็นแม่หันมายิ้มหวานให้

"เล่ามาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น" แม่พูดเสียงเย็น

กูณฑ์กลืนน้ำลาย เขาหนีไปห้องเก็บของทันไหม แม่ตอนนี้น่ากลัวกว่าผีอีก