สามสหายเดินกันอย่างรีบเร่ง จะหยุดพักก็ต่อเมื่อกินอาหารเท่านั้น เมื่อเป้าหมายมาใกล้ขนาดนี้แล้ว ก็ทำให้พวกเขามีกำลังใจมากขึ้น
"อากาศเริ่มร้อนแล้วนะ" กูณฑ์ว่า ความจริงอากาศก็ไม่ได้ถือว่าร้อนหรอก แต่เพราะพวกเขาผ่านความหนาวหฤโหดมา อากาศที่อุ่นขึ้นนิดหน่อยเลยกลายเป็นร้อนไป
"งั้นเจ้าก็ถอดเสื้อออกได้เลย" มลว่า "คงจะใกล้ถึงเมืองข้าเต็มทีแล้ว"
กูณฑ์ถอดเสื้อออก ส่วนเคียงก็กลายร่างเป็นหนังสือ
"จะไปไหนกันต่อดีล่ะ ท่านมล" กูณฑ์เย้า
มลส่ายหน้า "ต่อไปนี้เรียกข้าว่าปทุม"
"อะไร นี่ต้องเปลี่ยนชื่อด้วยเหรอ"
"จุดประสงค์ของการปลอมตัวคือไม่ให้ผู้ใดจำได้" มลว่า
"โอเค" กูณฑ์เผลอพูดศัพท์จากภายนอกตามความเคยชิน
มลจ้องเขม็ง
"ตกลง ฉันเข้าใจแล้ว" กูณฑ์แก้
ตอนที่มลเล่าเรื่องเมืองวิทยาธรให้ฟัง กูณฑ์ก็คิดว่าจะเป็นเมืองใหญ่คึกคัก ไม่แพ้เมืองมลิวัน แต่เท่าที่เห็นเมืองนี้ราวกับเมืองร้าง
"คนน้อยจัง" กูณฑ์ว่า เมื่อพวกเขาเดินเข้าเมืองมาตั้งนานแล้ว ยังแทบไม่เห็นใครสักคน ไม่มีหนุ่มสาวออกมาทำงาน ไม่มีคนแก่ออกมาพูดคุยกัน ไม่มีเด็กเล็ก ๆ ออกมาวิ่งเล่น
มลขมวดคิ้ว "ปกติเมืองนี้มีชีวิตชีวาเสมอ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
"เขาคงไม่ได้ย้ายออกไปหมดเมืองหรอกนะ" กูณฑ์ว่า
"คงไม่" มลชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งที่มีควันไฟลอยออกมา "มีควัน ก็แสดงว่ามีคน"
"งั้นเราไปถามกันให้รู้เรื่องดีไหม" กูณฑ์ว่า
มลลังเล "แต่เราไม่ได้มาเที่ยวเล่น เราจะมาหา.."
กูณฑ์โบกนิ้วชี้ไปมาต่อหน้ามลด้วยท่าทางเหมือนกำลังจะพูดกับเด็กเล็ก ๆ "ไม่เอาน่า เราจะบุกไปแบบไม่มีแผนได้ยังไง ลองสืบดูก่อนดีกว่า"
มลเม้มปาก "ก็ได้"
พวกเขาเดินไปที่บ้านหลังนั้นและเคาะประตู
ไม่นานก็มีวิทยาธรหญิงตนหนึ่งเปิดประตูให้ ใบหน้าของเธอมีรอยเหี่ยวย่นซึ่งประหลาดมาก เพราะปกติวิทยาธรจะกินผลดรุณวัฒนาซึ่งเป็นผลไม้วิเศษช่วยให้อ่อนวัยอยู่เสมอ
"ข้าขอเข้าไปได้ไหมขอรับ" มลถามอย่างสุภาพ
วิทยาธรหญิงขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดเสียงแหบพร่า "เจ้ามาจากไหนน่ะ"
"ข้าเป็นวิทยาธรพเนจรขอรับ ทราบว่าที่นี่เกิดโรคระบาด ข้าพอมีความรู้อยู่บ้าง ก็เลย.." มลยังไม่ทันพูดจบ อีกฝ่ายก็กระชากเขาเข้ามาในบ้าน ก่อนจะรีบปิดประตู ร้อนถึงกูณฑ์ที่ต้องรีบเบียดเข้ามาให้เร็วที่สุด
"เมืองนี้จะกลายเป็นเมืองผีไปแล้ว" เจ้าของบ้านบ่น
"เกิดอะไรขึ้นขอรับ" มลรีบถามเข้าเป้า "ข้าไม่เห็นใครสักคน"
วิทยาธรหญิงยิ้มเหยียด "อยู่ ๆ แมงสี่หูห้าตาของเราก็ล้มตายกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ"
"เรื่องนั้นข้าทราบดีขอรับ แต่ก็ไม่น่าทำให้เมืองนี้เป็นเมืองร้างเลย" มลยังคงสืบหาข้อมูลต่อไป
"ก็ตั้งแต่แมงสี่หูห้าตาผลิตทองให้ไม่ได้ พระราชาของเรา" เธอพูดคำว่าพระราชาของเราเหมือนคำสบถ "ก็ส่งวิทยาธรหนุ่ม ๆ ออกไปหาวิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้ ส่งไปไม่รู้กี่ตนต่อกี่ตนก็ยังไม่มีใครได้กลับมา พักหลัง ๆ ก็เลยส่งผู้หญิงไปด้วย แต่ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ไปแล้วไปลับทั้งนั้น"
"แล้วทำไมท่านถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะขอรับ" มลถาม
"เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าเป็นคนแก่" เธอพูดพลางชี้ที่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า "ข้าเลิกกินผลดรุณวัฒนานานแล้ว ข้าไม่อยากถูกส่งไปทำภารกิจที่ไม่มีวันสำเร็จหรอก"
"ถ้าอย่างนั้นตอนนี้บ้านเมืองก็มีแต่คนแก่หรือขอรับ" มลถามย้ำ
"ก็คงใช่" เจ้าของบ้านตอบ "พวกเขาต้องเลือกระหว่างอยู่ในฐานะคนแก่หรือจะออกนอกเมืองไปผจญภัย ข้าขอเลือกอยู่บ้านสบาย ๆ ดีกว่า"
กูณฑ์กับมลมองสบตากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดเหมือนกัน หากพวกหนุ่ม ๆ ออกนอกเมืองไปหมด โอกาสที่จะยึดเมืองคืนได้ก็มีมากขึ้น
"ขอบพระคุณท่านมาก" มลว่า พลางยกมือไหว้
"เจ้าบอกว่าเจ้ามีวิธีแก้โรคระบาดนี้หรือ"
"ขอรับ" มลตอบ
วิทยาธรหญิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "เจ้าแน่ใจหรือ เจ้ายังดูเด็กอยู่เลย จะมีปัญญาทำเรื่องที่คนโตกว่าเจ้าตั้งสองเท่าได้อย่างไร"
"อ้าว" กูณฑ์ขัดขึ้นอย่างทนไม่ได้ เขาไม่ชอบคนที่เอาอายุมาข่มกันเลย มลเองก็เห็นถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น หากปล่อยให้เพื่อนพูดอะไรน่าสงสัยจึงตวาดว่า
"เงียบ เจ้านายคุยกันอยู่ ควรจะให้บ่าวอย่างเจ้าเข้ามาขัดหรือ"
กูณฑ์อ้าปากจะเถียง แต่เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของมลก็นิ่งไป ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง
"ต้องขอโทษท่านจริง ๆ บ่าวของข้าคนนี้ไม่ค่อยรู้มารยาทสักเท่าไร"
"ไม่เป็นไร แต่ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดี พระราชาของเราองค์นี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ หากเจ้าทำสำเร็จก็แค่เสมอตัว แต่หากทำผิดพลาดขึ้นมา" เธอยกมือปาดคอเป็นสัญลักษณ์
"ข้ามั่นใจว่าจะไม่ผิดพลาดแน่นอน" เจ้าชายวิทยาธรพูดอย่างกล้าหาญ
"ก็ตามใจเจ้า" คนแก่กว่าพูดอย่างปลงตก "ข้าเคยเห็นวิทยาธรทั้งหญิงและชายอาสาแก้โรคระบาดนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ ต้องสังเวยชีวิตให้แก่พระราชา หากเจ้ามั่นใจถึงขนาดนั้น ข้าก็จะไม่ขัด"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องขอตัวก่อน" มลว่า
พวกเขาเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น ก่อนจะมุ่งตรงเข้าสู่พระราชวัง
"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่" นายประตูถาม
"ข้าเป็นวิทยาธรพเนจร ทราบว่าแมงสี่หูห้าตาที่นี่เกิดตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ข้ามีวิชาสามารถขยายพันธุ์แมงสี่หูห้าตาได้"
"ตัวกระจ้อยร่อยอย่างเจ้านี่นะ" นายประตูพูดอย่างดูถูก ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่ไปให้พ้น ๆ "พระราชวังไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างเจ้ามาเล่นนะ เจ้าหนู"
"ถึงข้าจะเป็นเด็กก็เป็นเหล็กเพชร" มลเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่ยักกะรู้ว่าพระราชาทรงกำหนดอายุคนทำภารกิจด้วย"
นายประตูหรี่ตามอง รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเด็กคนนี้ร้ายใช่เล่น
"ก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้า"
ในที่สุดมลกับกูณฑ์ก็มายืนต่อหน้าอัครเดช มลต้องใช้ขันติทั้งหมดที่มีไม่ให้พุ่งไปทำร้ายคนตรงหน้า เขานั่งลงคุกเข่าถวายบังคม กูณฑ์ทำตามอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
อัครเดชมองพวกเขาอย่างเหยียดหยาม "พวกเจ้าน่ะหรือคือคนที่ขยายพันธุ์แมงสี่หูห้าตาได้"
"พระเจ้าค่ะ" มลตอบทั้ง ๆ ที่ก้มหน้าอยู่ สำหรับคนอื่นอาจคิดว่ามลประหม่าที่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ แต่เด็กชายทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้อัครเดชจำหน้าเขาได้ต่างหาก ถึงจะเปลี่ยนสีผิวแล้ว แต่โครงหน้าเขาก็ยังเหมือนพ่อ ระวังตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
"ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะยกเมืองให้ปกครองกึ่งหนึ่ง" อัครเดชว่า "แต่หากเจ้าทำไม่ได้ ต้องโทษประหาร"
"พระเจ้าค่ะ" มลรับคำ
"ดี" อัครเดชว่า "ข้าจะให้ท่านอำมาตย์พาเจ้าไปดูแมงสี่หูห้าตาที่เหลืออยู่"
เด็กทั้งสองไปดูแมงสี่หูห้าตา กูณฑ์ตื่นเต้นและพยายามจะลองลูบขนดูจึงโดนมันกัดเข้า
"โอ๊ย!"
"เจ้านี่ไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ" อำมาตย์พูดอย่างดูถูก
"ต้องขออภัยแทนบ่าวของข้าด้วย" มลว่า
กูณฑ์เบ้หน้า ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ
"กูณฑ์" มลเรียกด้วยเสียงเปี่ยมไปด้วยอำนาจ "เจ้าจงเอาขี้เถ้านี่ไปให้พวกมันกินเสีย"
"ขอรับ นายท่าน" กูณฑ์ว่า เขาเอาขี้เถ้าที่ไม่ใช่ขี้เถ้าธรรมดาป้อนให้แมงสี่หูห้าตากิน ทันทีที่พวกมันกินเสร็จ ก็วิ่งไปรอบ ๆ ส่งเสียงดังโหวกเหวก บางตัวก็เริ่มต่อสู้กัน
"เฮ้ย เฮ้ย" อำมาตย์ว่า พยายามห้ามการต่อสู้ ตอนนี้แมงสี่หูห้าตาก็แทบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ขืนให้มันกัดกันอีก มีหวังแย่แน่
แต่ไม่มีแมงสี่หูห้าตาตัวไหนฟังเขา หลังจากที่ทั้งโดนกัดและโดนวิ่งชน เขาก็ต้องยอมแพ้
แมงสี่หูห้าตาตัวหนึ่งจัดการพรรคพวกของมันสำเร็จ มันส่งเสียงคำรามอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเข้าไปดมแมงสี่หูห้าตาอีกตัวหนึ่ง อีกฝ่ายก็รับไมตรีด้วยดี
"อุ๊ย ไม่อยากเห็น" กูณฑ์ว่า พลางยกมือปิดตาตัวเอง แต่ถ่างนิ้วไว้
"ถ้าเจ้าจะปิดตาอย่างนั้น ไม่ต้องปิดก็ได้" มลประชด
"ขี้เถ้านั่นคืออะไร" อำมาตย์ถามอย่างสนใจ แมงสี่หูห้าตาไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน หรืออาจจะเคย แต่เขาไม่เคยเห็นก็ได้
"ท่านไม่ต้องห่วง ไม่นานท่านจะได้ลูกแมงสี่หูห้าตาแน่นอน" มลว่า
"ถึงเจ้าจะทำให้มันผสมพันธุ์กันได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีลูก" อำมาตย์ว่า
"ดูถูกกันเข้าไป" กูณฑ์บ่นพึมพำ
"ข้ารับรองด้วยชีวิต" มลตบอกตัวเอง
"ก็ดี" อำมาตย์ว่า "ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็อยู่บ้านข้าจนกว่าจะมีแมงสี่หูห้าตาเกิดก็แล้วกัน"
มลโค้งคำนับ "ขอรับ ท่าน"
ทั้งกูณฑ์และมลได้อาศัยอยู่ในบ้านของอำมาตย์ พวกเขาได้นอนห้องเดียวกัน พวกเขาต้องช่วยงานอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพวกงานบ้านหรือทำกับข้าวซึ่งพวกเขาก็ยอมทำด้วยดี
"เหนื่อยไหม" เคียวถามเมื่อกูณฑ์กลับมาห้องนอน
"แทบตาย" กูณฑ์ว่า นอนแผ่สองสลึงบนเตียง "กลายร่างมาหอมแก้มฉันหน่อยส้"
"ไม่ได้" มลเป็นคนตอบ เขายังไม่ได้หอมแก้มใครเลย กูณฑ์ก็ไม่ควรได้เหมือนกัน
"ขัดจริง" กูณฑ์บ่น
"เพื่อความปลอดภัย" มลว่า
ผ่านไปสามเดือน ข่าวลือเรื่องแมงสี่หูห้าตาตั้งท้องก็แพร่สะพัดไปทั่ว มลผู้กำลังช่วยผ่าฟืนอยู่ถูกเรียกตัวให้เข้าวังโดยด่วน
กูณฑ์กับมลไปเข้าเฝ้าอัครเดช ในห้องท้องพระโรงมีแค่พวกเขา อัครเดช แมงสี่หูห้าตาที่ท้องอ่อน ๆ และชายคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหมอ
"พวกเจ้าสามารถทำให้มันตั้งท้องได้จริง ๆ ด้วย" อัครเดชว่า "ข้าไม่รู่จะขอบคุณเจ้าอย่างไร"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกพระเจ้าค่ะ" มลตอบ "ขอเพียงพระองค์ทรงรักษาคำพูดก็พอแล้ว"
อัครเดชลูบคางตัวเอง ตอนที่เขาประกาศหาผู้มีฝีมือมาช่วย เขาได้ประกาศว่าจะยกเมืองให้กึ่งหนึ่งจริง ๆ ยิ่งให้รางวัลใหญ่ก็เป็นการเชิญชวนให้คนเข้ามาทำงานมากขึ้น เขามั่นใจว่าไม่มีใครจะเอาเมืองจริง ๆ หรอก แต่วิทยาธรเด็กน้อยตนนี้จะเอาให้ได้
"นี่แน่ะ เจ้าเด็กน้อย" อัครเดชพูดเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กโง่ ๆ "เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะปกครองบ้านเมือง ข้าจะมอบหีบทองให้เจ้าหีบหนึ่งก็แล้วกัน"
กูณฑ์อ้าปากจะค้าน อย่างนี้มันโกงกันชัด ๆ ไม่รู้จักรักษาคำพูดเลย แต่มลหยิกเขาและพูดว่า
"ขอบพระทัยที่ทรงพระเมตตา"
อัครเดชตบตักตัวเอง "ดี ดี"
ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจากวังพร้อมทองหีบหนึ่ง เด็กทั้งสองเดินทางออกจากเมืองเข้าสู่ป่า พอพ้นเขตเมืองวิทยาธรแล้ว กูณฑ์อยากให้เคียวกลับร่างเดิม แต่มลค้านไว้
"ฉันไม่เข้าใจ เราพ้นเขตแล้วนี่ มล" กูณฑ์พูดอย่างไม่พอใจ เขาอยากกอดเคียวจะแย่อยู่แล้ว
มลจุปาก "ข้าเห็นคนในพุ่มไม้นั่น"
กูณฑ์มองตาม "ไม่เห็นจะมีใครเลยนี่ มล"
"อย่าเรียกข้าว่ามล ข้ากลัวว่า.."
คนในพุ่มไม้โผล่ออกมา เขามีแผลไฟไหม้ครึ่งหน้า และเดินมาหาเด็กทั้งสองช้า ๆ
"มล" เขาสำลัก
ทั้งกูณฑ์และมลมองหน้ากันรับรู้โดยไม่ต้องมีคำพูดว่า ได้เวลาเผ่นอีกแล้ว