webnovel

ทุกขลาภ

ฝ่ายเจ้าของห้องนอนเมื่ออยู่ ๆ มีผู้ชายเข้ามาชิด เธอก็เลือกทำในสิ่งที่คนปกติทุกคนควรทำ คือ พยายามลุกไปขอความช่วยเหลือ

'แย่แล้ว' มลคิด เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ถ้าปล่อยให้เธอไป มีหวังเขาโดนรุมกระทืบแน่ เขาจึงดึงชายสไบของเธอไว้

"ปล่อยข้านะ บอกให้ปล่อย" แก้วประไพพยายามสะบัดออก และในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ เธอกำลังจะเปิดประตูห้องแล้ว มลตัดสินใจในฉับพลันนั้นเอง เขาร่ายมนตร์มหาเสน่ห์ใส่เธอทันที ความจริงเขาไม่อยากทำแบบนี้เลย การร่ายมนตร์สเน่ห์เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจเพราะผู้ถูกมนตร์เสน่ห์จะหลงรักผู้ร่ายมนตร์และยอมทำทุกอย่าง มอบทั้งกายและหัวใจให้ แต่คราวนี้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน มลก็จำเป็นต้องใช้มาตรการสิ้นท่า เพราะหากเขาไม่ร่ายมนตร์ มีหวังเธอคนนี้ไปเรียกพวกพ้องมารุมเขาแน่ มลยังไม่อยากตายนะ

แก้วประไพชะงัก เธอหันกลับมาหามลด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

"ท่านเป็นใคร" เทวาสุรีถามอย่างอ่อนโยน

"ข้าชื่อมล เป็นเจ้าชายวิทยาธร ข้าไม่รู้ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วท่านล่ะเป็นใคร" มลว่า

แก้วประไพเดินกลับมา เธอซุกตัวลงบนตักของมล

"ข้าชื่อแก้วประไพ เป็นธิดาของท้าวชยังกูร บางทีเทวดาคงอุ้มท่านมาให้ข้ากระมัง"

มลหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะผลักเธอออกไป เขารู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่เขาให้เธอไม่ได้ เขามีอุสาอยู่แล้ว เขาไม่อยากทำร้ายน้อง ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากทำร้ายแก้วประไพ นี้ไม่ใช่ความต้องการของเธอจริง ๆ แต่เป็นเวทมนตร์บังคับให้เป็นไป

"ท่านรังเกียจข้าหรือ" แก้วประไพสะอื้น

มลถอนหายใจ "ข้าไม่ได้รังเกียจ แต่ว่า.. ท่านช่วยบอกทางออกให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีภารกิจต้องกลับไปทำ"

"ท่านจะกลับมาหาข้าแน่นะ" แก้วประไพถามย้ำ

มลพยักหน้า เขาจะกลับมา แต่ไม่ได้จะรับเธอเป็นภรรยาหรอกนะ

แต่ก่อนที่แก้วประไพจะบอกทางออกให้แก่มล ประตูห้องนอนก็ถูกถีบเปิดออก เผยให้เห็นกลุ่มอสุราถืออาวุธครบมือ คนนำทัพมาคือท้าวชยังกูรนั่นเอง

"เจ้าบังอาจมากที่กล้ามาลวนลามลูกสาวข้า"

"ช้าก่อน" มลว่า เขายังไม่ทันทำอะไรเธอเลยนะ

แก้วประไพคุกเข่าต่อหน้าผู้เป็นบิดา ก่อนจะอ้อนวอนว่า "เสด็จพ่อ โปรดเมตตาด้วย เขาเป็นสามีของลูก"

"เฮ้ย!" มลอุทาน นี่อะไรกัน เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง อยู่ ๆ ก็มีกระดูกมาแขวนคอเสียอย่างนั้น

หากแก้วประไพคิดว่าพูดแบบนั้นแล้วท้าวชยังกูรจะใจอ่อน เธอก็คิดผิด เพราะพอได้ยินลูกพูดแบบนั้น ถามท้าวอสุราก็โกรธหนักกว่าเดิมเสียอีก

"ไปจับมันมาให้ได้" ชยังกูรออกคำสั่ง

พวกอสูรวิ่งเข้ามา ตั้งใจจะจับตัวมลเพื่อเอาความดีความชอบ มลรีบยิงธนูออกไปทันที ลูกศรของเขาเป็นกลายเป็นอาวุธสารพัดช่วยให้พวกอสูรชะงักไปบ้าง แต่มลรู้ว่าทำแบบนี้ก็แค่ยืดเวลาตายเท่านั้นเอง เขาคนเดียวจะสู้กับอสุราตั้งสี่ห้าตนได้อย่างไร ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ

"ถอนผมสิ" เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู

มลตัดสินใจทำตาม เขาถอนผมออกมากระจุกหนึ่ง ก่อนจะโปรยลงบนพื้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำไปทำไม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนบอกให้เขาถอนผม แล้วคนคนนั้นเป็นใคร ต้องการอะไรจากเด็กชาย แต่วิทยาธรรู้โดยสัญชาตญาณว่าคนผู้นั้นเป็นมิตร

อสูรตนหนึ่งหัวเราะ "อยากหัวล้านก็ไม่บอก"

แต่แล้วพวกเขาก็หัวเราะไม่ออก เมื่อเห็นว่าผมกระจุกนั้นกลายเป็นกองทัพวิทยาธร จากที่เคยคิดว่าจะใช้วิธีหมาหมู่ ตอนนี้จำนวนเท่ากันแล้ว

มลเองก็ประหลาดใจพอ ๆ กัน เขารู้ว่ามีวิชานี้อยู่ แต่ก็ไม่เคยเรียน ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าไม่ได้สู้อยู่คนเดียว ต้องมีใครสักคนใช้เวทมนตร์สร้างร่างสังเคราะห์ให้เขา

ร่างสังเคราะห์ของมลต่างเข้าไปสู้กับพวกลูกน้องอสุราเป็นคู่ ๆ ต่างฝ่ายต่างสู้กันเต็มที่ ส่วนมลก็หันมาสนใจหัวหน้า

ท้าวชยังกูรฟาดเด็กชายรับเขาไว้ด้วยคันธนู แก้วประไพกอดขาผู้เป็นพ่อไว้แน่น กันไม่ให้ทำอะไรชายที่เธอรัก

"ถอยไป แก้วประไพ" พญาอสุราสั่ง

"ไม่ถอยเพคะ" แก้วประไพพูดอย่างหนักแน่น "เสด็จพ่อ อย่าฆ่าเขาเลยนะเพคะ เห็นแก่ลูกเถิด"

ชยังกูรโกรธจนตัวสั่น เขาขังลูกไว้ในหอคอยเจ็ดชั้น ป้องกันไม่ให้ใครมายุ่มย่าม แต่ทำขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถรักษาลูกสาวตัวเองไว้ได้ ตอนนี้เขาจะขยับไปไหนก็ไม่ถนัดเพราะลูกจอมดื้อเกาะขาเขาไว้ไม่ปล่อย เมื่อชยังกูรเห็นว่าไม้แข็งไม่ได้ผลจึงหันมาใช้ไม้อ่อน บางทีอาจเป็นความผิดเขาเองก็ได้ที่พยายามรักษาความไร้เดียงสาของลูกไว้ แก้วประไพก็โตเป็นสาวแล้ว สมควรจะมีคู่ครองที่เหมาะสม หากเขาหาคู่ให้เธอตั้งแต่ต้น ลูกเขาก็คงไม่ถูกวิทยาธรชั้นต่ำย่ำยี

"ฆ่ามัน แล้วพ่อจะหาคู่ครองที่เหมาะสมกว่าให้" พญาอสุราพูดอย่างอ่อนโยน

"ไม่เพคะ ลูกรักเขา"

มลได้แต่มองฉากละครโศกนาฏกรรมที่ดำเนินไปอย่างสับสน ตอนนี้เขาน่าจะถือโอกาสเผ่นหนี แต่เขาทำใจทิ้งให้แก้วประไพไปไม่ได้จริง ๆ

"ยิงศรนาคสิ" เสียงกระซิบลึกลับดังขึ้นอีก

มลทำตาม พญานาคเลื้อยออกมา

"เหอะ เจ้ารักมันเพราะมนตร์ต่างหาก เดี๋ยวพอพ่อ.." ยังไม่ทันที่ชยังกูรจะพูดอะไรต่อ พญานาคตัวมหึมาก็มารัดเขาไว้

พวกอสูรที่เป็นลูกน้องต่างอุทานด้วยความตกใจ บางคนอยากจะเข้ามาช่วย แต่คู่ต่อสู้ไม่ยอมให้เข้ามาช่วยง่าย ๆ

ปกติแล้วชยังกูรสู้กับพญานาคได้สบายมาก แต่เพราะถูกเล่นทีเผลอเลยเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ชยังกูรพยายามขยายขนาด แต่ยิ่งขยายพญานาคก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น แถมยังโดนพิษของพญานาคเสียจนมึนไปหมด ให้ตายสิพญาอสูรผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาจะต้องมาแพ้วิทยาธรตัวกระจ้อยนี่นะ ชีวิตช่างไม่แน่นอนเอาเสียเลย

"เสด็จพ่อ" แก้วประไพกรีดร้อง "เสด็จพ่อ"

ชยังกูรยิ้มให้ลูกสาว "ลูกรัก เจ้าโชคดีแล้วที่ได้สามีเก่งกาจ ฝากเนื้อฝากตัวกับเขาให้ดี"

"ท่านมล" แก้วประไพหันมาขอร้องชายที่เธอคิดมอบกายถวายชีวิตให้ "โปรดปล่อยเสด็จพ่อของข้าด้วยเถิด"

"เสด็จพ่อของท่านต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก" มลพูดเสียงก้องกังวาน

ชยังกูรพยักหน้ารัว ๆ "ข้าสัญญาว่าจะตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่เบียดเบียนใครอีก หากข้าผิดคำพูด ขอให้สวรรค์ลงโทษ"

มลเรียกพญานาคกลับมา พญานาคคลายรัดออก กลับคืนร่างเป็นลูกศรดังเดิม เสร็จแล้วเขาก็หันไปหาร่างสังเคราะห์ของเขาที่หยุดการต่อสู้แล้ว เพราะพอหัวหน้ายอมแพ้ พวกลูกน้องก็พากันวางอาวุธ ร่างสังเคราะห์นี้ก็มีเมตตาพอตัว เพราะพออีกฝ่ายวางอาวุธ ไม่คิดสู้ พวกมันก็ไม่กระหน่ำซ้ำเติม ได้แต่พากันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น

ชยังกูรลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมาหามล "ขอบคุณท่านมากที่ไว้ชีวิตข้า ไหน ๆ ท่านก็เป็นสามีลูกข้าแล้ว ข้าขอจัดงานแต่งให้ถูกต้องตามประเพณี เสร็จแล้วก็จะยกบ้านเมืองให้ท่านปกครองต่อไป"

มลอ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน เขาตั้งใจจะทำภารกิจเพื่อเอาบ้านเมืองของตัวเองคืน แต่อยู่ ๆ ก็มีคนมายกบ้านเมืองให้เสียอย่างนั้น แถมยังแถมลูกสาวให้อีก แก้วประไพเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เป็นเทวาสุรีที่สะสวยอยู่ แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่สวยไม่สวย ประเด็นมันอยู่ที่มลไม่เคยคิดจะเป็นพวกเจ้าชู้หลายเมีย เขามีพ่อเป็นวีรบุรุษมาตลอด พ่อของเขายังมีแม่แค่คนเดียวได้ มลก็อยากมีเมียแค่คนเดียวเหมือนกัน และตำแหน่งนั้นก็ควรเป็นของอุสา เด็กสาวที่เป็นกำลังใจให้เขามาตลอด ไม่เคยรังเกียจแม้ตอนที่เขาหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ครั้นเขาจะปฏิเสธพญาอสุราก็ใช่ที่ เพราะต่อให้ตอนนี้อีกฝ่ายยอมแพ้ ก็ไม่ใช่ว่าพอเขาปฏิเสธแล้วจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกเพราะหาว่าไปดูถูกลูกสาวเขา

"ขอบคุณท่านมากที่จะยกธิดาที่พร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติให้ข้า" มลหยอดคำหวาน "ทว่าตอนนี้ข้ามีภารกิจต้องทำ ดังนั้นจึงขอความกรุณาท่านบำรุงเลี้ยงธิดาของท่านไว้ก่อน หากข้าทำภารกิจเสร็จแล้วจะรับนางไปเอง"

ชยังกูรรับคำ "ข้าจะดูแลนางอย่างดี"

"ให้ข้าไปด้วยไม่ได้หรือท่าน" แก้วประไพถาม

มลส่ายหน้า "ท่านจงอยู่กับบิดาเถิด ข้าสัญญาว่าจะกลับมา"

"ท่านจะไปที่ใดหรือ ให้ข้าสั่งให้พวกทหารไปส่งท่านไหม" ชยังกูรเสนอ

ความจริงแล้วมลก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะไปไหน เขาอยากกลับไปหาเพื่อนทั้งสอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน ยังจะรออยู่ที่เดิมหรือว่าออกจะเดินทางไปแล้ว มลไม่อยากให้พวกอสูรติดตามไปด้วยเท่าไหร่ จะหาว่าเขามองโลกในแง่ร้ายก็ได้ แต่เขายังไม่ไว้ใจพวกนี้เต็มที่นัก

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าไปเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนพวกท่าน ขอเพียงบอกทางออกไปจ่กเมืองและช่วยเตรียมเสบียงอาหารให้ ก็เป็นบุญคุณยิ่งแล้ว" มลตอบแบ่งรับแบ่งสู้

ชยังกูรพยักหน้า ก่อนจะสั่งลูกน้องให้เอาเสบียงมาให้มล พร้อมชี้ทางให้

"ช่วยกันแบกหน่อย" มลสั่งร่างสังเคราะห์ของตัวเองซึ่งพวกมันก็ช่วยกันขนของแต่โดยดี

มลกับร่างแยกเหาะออกมาตามที่ชยังกูรชี้ทางให้ ตอนนี้พวกเขาออกจากเมืองอสูรได้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถามหาเพื่อนที่ไหน

"ให้ตายสิ" มลสบถ ไม่รู้เทวดาองค์ใดอุ้มเขามา แต่ดันไม่รู้จักอุ้มเขากลับ

คิดถึงเทวดา เทวดาก็มา เทวดาปรากฏกายต่อหน้ามล

"ขอบคุณท่านมากที่ช่วยปราบชยังกูรให้" เทวดาว่าพลางโปรยดอกไม้เพื่อแสดงความยินดี

ดอกไม้ทิพย์ที่เทวดาโปรยให้ทั้งสวยทั้งหอมอยู่หรอก แต่มลไม่มีอารมณ์มาชื่นชมดอกไม้ เขาจำเสียงเทวดาองค์นี้ได้ เป็นเสียงที่คอยกระซิบให้เขาทำโน่นทำนี่ และคงเป็นเทวดาองค์เดียวกับที่อุ้มเขามาหาแก้วประไพด้วย

"ด้วยความยินดี" มลตอบอย่างสุภาพ แม้จะไม่อยากสุภาพด้วยเลยก็ตาม "แต่ท่านช่วยพาข้ากลับไปหาเพื่อนได้หรือไม่"

เทวดาพยักหน้า เสร็จแล้วก็ใช้ฤทธิ์บันดาลให้เสบียงอาหารรวมเป็นห่อเดียว อีกทั้งเสกร่างแยกของมลให้กลับเป็นเส้นผมเหมือนเดิม เขาปรี่มาอุ้มตัวมลไว้และพาเด็กหนุ่มเหาะไป

ถึงเทวดาจะเหาะเร็วเพียงใด ก็ยังช้ากว่าความรู้สึกของมล เขานึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสอง พวกนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับป่าเลยสักอย่าง ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เทวดาวางมลลงและชี้ทางให้ ปกติเทวดาไม่ค่อยอยากยุ่งกับพวกมนุษย์เท่าไหร่ ถึงจะเป็นมนุษย์ที่เป็นเทพอวตารก็เถอะ มลรีบวิ่งไปหาเพื่อนทันที ในใจก็เป็นห่วงไปต่าง ๆ นานา ได้แต่ภาวนาไม่ให้พวกเขาเป็นอะไร แต่พอมลพบเพื่อนทั้งสอง เขาก็ต้องอุทานออกมาอย่างอารมณ์เสีย เขาทำศึกกับอสุรา ลำบากแทบแย่ แต่คนที่เขาเป็นห่วงกลับนั่งจู๋จี๋กัน ไม่นึกเป็นห่วงเขาสักนิด

"อ้าว มลกลับมาแล้วหรือ" กูณฑ์ทัก "ได้อะไรมาบ้างล่ะ"

มลเหวี่ยงเสบียงอาหารลง "ไม่คิดจะห่วงกันบ้างหรือไง"

กูณฑ์เลิกคิ้ว "ให้ห่วงอะไรล่ะ นายไปยังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ"

มลยกมือขยี้หัว

"เกิดอะไรขึ้น" เคียวถาม "ทำไมนายไม่ใส่หน้ากากแล้วล่ะ เสบียงเยอะแยะอย่างนี้มาจากไหน"

มลถอนหายใจ เขาจะโมโหไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย มลใส่หน้ากาก ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องให้เพื่อนทั้งสองฟัง