webnovel

003 เริ่มต้นชีวิตใหม่

บทที่ 3 เริ่มต้นชีวิตใหม่

บ้านที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่นั้นไม่ใหญ่นัก พื้นที่รวมกันมีขนาดเพียงสองห้อง แยกกันที่ห้องโถงกลาง ต่อให้ปิดตาเดินก็ไม่มีทางไปผิดห้อง

อวี๋หวั่นเดินไป พลางจัดระเบียบความทรงจำในหัว

จะว่าไปก็บังเอิญเหลือเกิน ครอบครัวนี้สกุลอวี๋ เจ้าของร่างเดิมชื่ออาหวั่น ชื่อเดียวกับเธอ

ครอบครัวนี้ไม่ซับซ้อน สมาชิกประกอบด้วยบิดาผู้ซึ่งถูกเนรเทศไปเป็นทหารหนึ่งคน มารดาที่ป่วยออดๆ แอดๆ หนึ่งคน น้องชายที่ผอมโซหนึ่งคน และยังมีเธอซึ่งมาอยู่ในร่างนี้อีกหนึ่งคน

ในความทรงจำ ครอบครัวนี้ดีกับเธอ และไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชังเพียงเพราะเธอเป็นสตรี แม้แต่น้องชายตัวน้อยก็รู้ว่าควรแสดงความนอบน้อมต่อเธอ

เธอเป็นคนที่กินดีอยู่ดีที่สุดในบ้าน เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้เลยในหมู่บ้านที่บุรุษเป็นใหญ่

แต่แน่นอนว่าชีวิตของเจ้าของร่างนี้ไม่ได้สบายนัก บิดาไม่อยู่แล้ว ส่วนมารดาก็ไม่สามารถลงแรงทำไร่ไถนาได้ เธออายุยังน้อยก็ต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูปากท้องของคนในบ้าน หากเทียบกับอวี๋หวั่นที่เป็นมอดตัวใหญ่[footnoteRef:1]ในอีกโลกหนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน [1: มอดตัวใหญ่ ในภาษาถิ่นต่งเป่ย ใช้สำหรับเรียกคนที่ถึงวัยหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง แต่กลับไม่ทำงาน ]

ที่กล่าวมานี้ เป็นความทรงจำทั้งหมดที่อวี๋หวั่นได้รับมาจากเจ้าของร่างเดิม

หรืออาจกล่าวได้ว่า นี่คือความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมต้องการรักษาไว้ก่อนตาย

“ท่านพี่ ระวัง” ขณะที่เถี่ยตั้นน้อยที่จูงมืออวี๋หวั่นไปที่ประตูนั้น เขาก็ร้องเตือนขึ้นมา เสียงนี้เรียกสติอวี๋หวั่นที่ตกอยู่ในห้วงความคิดได้อย่างประจวบเหมาะ

อวี๋หวั่นลูบศีรษะเล็กๆ ของเขา

เขาคือน้องชายของเธอ ส่วนในห้องก็คือมารดาของเธอ

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาคือคนที่เธอยอมสละชีวิตเพื่อปกป้อง

เธอเพิ่งมาถึง ความคิดเช่นนี้ส่วนใหญ่คงจะมาจากปณิธานของเจ้าของร่างเดิม หรือไม่ก็เพราะปณิธานอันแรงกล้าเช่นนี้เอง ที่สามารถเรียกจิตวิญญาณที่อยู่อีกโลกหนึ่ง ให้มาเติมเต็มปณิธานแทนเจ้าของเดิมได้

ในห้องไม่มีเตาไฟ ไม่มีตะเกียง ทั้งยังมืดสนิท ลมหนาวสายหนึ่งพัดวูบเข้ามา ที่จริงแล้วข้างในไม่ได้หนาวน้อยไปกว่าข้างนอกเลย

อวี๋หวั่นเดินคลำทางในความมืดไปยังเตียงนอน

เมื่อคุ้นเคยกับความมืดในห้องแล้ว อวี๋หวั่นก็พอจะมองเห็นร่างของสตรีนางหนึ่ง

ใบหน้าซีดขาวซึ่งปราศจากสีเลือดฝาดนั้น ซูบผอมจนแก้มทั้งสองข้างยุบลงไปเป็นหลุม มองเห็นโหนกแก้มได้อย่างชัดเจน ทว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางยังดีเหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะคิ้วและจมูกที่งามโดดเด่นเป็นพิเศษ

มารดาเจ้าของร่างเดิมไม่ได้รับบาดเจ็บ หากแต่ได้รับความกระทบกระเทือนด้านจิตใจจนหมดสติ บวกกับหลายวันมานี้ไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงได้แต่นอนหายใจโรยรินเช่นนี้

เมื่อเห็นนางเจียง อวี๋หวั่นจึงยกเตาไฟจากห้องของตนเข้ามา พร้อมทั้งนำผ้านวมมาห่มให้นาง

หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็เดินถือตะเกียงน้ำมันไปในห้องครัว

ถึงแม้จะเรียกว่าห้องครัว กระนั้นก็เป็นเพียงครัวเล็กๆ ที่ใช้หญ้าแห้งมุงขึ้นมา ตรงข้ามกับเตาหุงต้มมีฟืนแห้งที่ถูกใช้งานไปเกินครึ่งมัดหนึ่ง

แม้แต่ฟืนยังไม่ค่อยมี อวี๋หวั่นรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี

เป็นดังคาด ไม่นานอวี๋หวั่นก็พบว่าข้าวสารในถังก็เหลือน้อยแล้วเช่นกัน

อวี๋หวั่นค้นตู้กับข้าวดูอีกครั้ง นอกจากน้ำพริกครึ่งถ้วย ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย กระนั้น เถี่ยตั้นน้อยก็ยังเดินอุ้มตะกร้ามา และกล่าวว่า “ท่านพี่ หัวผักกาด!”

ในตะกร้ามีหัวผักกาดที่ดูไม่สดเท่าไรนักอยู่สองสามหัว และยังมีมันเทศอีกหนึ่งหัวที่ไม่รู้ว่าไปรวมอยู่ในนั้นได้อย่างไร

นี่คือสิ่งที่เธอไม่มีโอกาสพบเจอในอีกโลกหนึ่ง ตอนนี้เธอเรื่องมากไม่ได้แล้ว

อวี๋หวั่นล้างพร้อมกับปอกเปลือกหัวผักกาดและมันเทศ หั่นมันเทศเป็นท่อนๆ ผสมเข้ากับเมล็ดข้าวที่เหลือน้อยจนน่าเวทนา เพื่อนำมาทำเป็นโจ๊ก ส่วนหัวผักกาดก็หั่นเป็นเต๋า และคลุกรวมกับน้ำพริก

เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้ใช้เตาฟืนหุงต้มเช่นนี้ ควบคุมไฟยากเสียเหลือเกิน ทำให้โจ๊กบางส่วนเหนียว

เถี่ยตั้นน้อยยืนอยู่หน้าประตูครัว บางครั้งก็โผล่หัวน้อยๆ เข้ามา และมองด้วยสายตาอันคาดหวัง

ไอร้อนซึ่งกลิ่นหอมเหมือนมันเทศลอยขึ้นมาจากหม้อ มารวมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวและข้าวก้นหม้อ ทำให้เด็กชายตัวน้อยรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา

“ท่านพี่ ข้าหิว” เถี่ยตั้นน้อยกล่าวพลางเช็ดน้ำลาย

“เสร็จแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าว

โจ๊กมีไม่มาก สามารถแบ่งได้สามถ้วยพอดี

อวี๋หวั่นส่งถ้วยที่มีมันเทศมากที่สุดให้เถี่ยตั้นน้อย และส่งถ้วยที่โจ๊กข้นที่สุดให้กับนางเจียง

นางเจียงยังคงนอนไม่ได้สติ ไม่สามารถกินข้าวเองได้

อวี๋หวั่นจึงลองปลุกนาง

นางเจียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่ว่าสติยังคงพร่าเลือน

อวี๋หวั่นป้อนข้าวนางเจียงที่มึนงงทีละน้อย เมื่อเธอนำถ้วยเปล่ากลับไปวางที่โต๊ะ เถี่ยตั้นน้อยก็กินโจ๊กมันเทศในชามหมดแล้ว ช้อนก็วางลงแล้วเช่นกัน

แต่แล้ว อวี๋หวั่นก็สังเกตเห็นว่ามีมันเทศก้อนใหญ่สองสามก้อนเพิ่มมาในชามซุปใสจืดชืดของเธอ

เถี่ยตั้นน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย ทั้งยังกะพริบตาปริบๆ มองมาทางเธอ ราวกับกำลังบอกว่า ‘ท่านพี่ กินสิ!’

อวี๋หวั่นรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา

เธอเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิม หากแต่เป็นความรู้สึกของเธอเอง

“ท่านพี่” เถี่ยตั้นน้อยเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ขยับ เขากลืนน้ำลาย แล้วดันถ้วยโจ๊กไปด้านหน้า “รีบกินเถอะ โจ๊กไม่ร้อนแล้ว”

อวี๋หวั่นรู้ว่าเขากินไม่อิ่ม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจ เธอยกถ้วยขึ้น และซดโจ๊กที่แทบไม่เหลือไอร้อนจนหมด ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

ลมหนาวพัดผ่านช่องหน้าต่างจนเกิดเสียงดัง นางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

อวี๋หวั่นนอนด้านในสุด

แต่เธอยังคงนอนไม่หลับ

เดิมทีคิดว่าคืนนี้คงนอนไม่ค่อยหลับ แต่ใครจะรู้ เธอนั้นหลับจนไม่ฝันเลย ตื่นมาก็เห็นแสงอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าเสียแล้ว

เถี่ยตั้นน้อยกำลังหลับสบาย แก้มแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้นอนในที่อุ่นๆ เช่นนี้

นางเจียงยังคงหลับใหล ทว่าลมหายใจสม่ำเสมอกว่าเมื่อคืนเล็กน้อย

อวี๋หวั่นไม่ได้ปลุกทั้งคู่ เธอลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แต่งตัวและดื่มน้ำเย็นเพื่อบรรเทาความหิว จากนั้น เธอก็หยิบมีดและสะพายตะกร้าจากในครัว เดินย่ำไปบนน้ำค้างที่จับตัวแข็งในความหนาวเหน็บ ไปตามทางในความทรงจำของเธอ

ที่นี่คือแปลงผักของเจ้าของร่างคนเดิม ในแปลงมีทั้งต้นกระเทียม หัวผักกาด และผักกาดขาว

ผักกาดขาวโตพอสำหรับเก็บเกี่ยว เพียงแต่ดูแหว่งๆ วิ่นๆ ทั้งยังไม่รู้ว่าไก่บ้านไหนมาจิกกินไป ส่วนหัวผักกาดยังมีเหลืออยู่บ้าง อวี๋หวั่นดึงออกมาหนึ่งหัว ไม่ทันได้ล้าง เธอก็ใช้มีดปอกเปลือก และกินหัวผักกาดนั้น

ที่บ้านไม่มีข้าวเหลือแล้ว กินหัวผักกาดเพียงอย่างเดียวไม่พอเป็นแน่

ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คนทั้งบ้านอิ่มท้องอยู่นั้น สายตาอันเฉียบคมก็เหลือบไปเห็นรอยเท้าของไก่

ผักกาดขาวในแปลงผักถูกไก่จิก เห็นรอยเท้าไก่ในแปลงจึงย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่า สิ่งที่ดึงความสนใจของอวี๋หวั่นก็คือ มีขนนกสีไพลินเส้นหนึ่งไหวเบาๆ อยู่ข้างรอยเท้าไก่

ไก่บ้านไม่น่าจะมีขนที่สวยงามเช่นนี้

ไก่ป่านั่นเอง!

ไก่ป่าเข้ามาในแปลงผักของครอบครัวเธอ…

นั่นทำให้เธอรู้สึกโกรธ

ตกยากถึงขนาดแม้แต่ไก่ยังดูแคลน โทสะก็ไร้ที่ระบาย อีกฝ่ายเปิดฉากหาเรื่องก่อน ก็อย่าโทษว่าเธอไม่เกรงใจแล้วกัน

ไก่ป่าอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง มีวัฏจักรการดำรงชีวิตที่ค่อนข้างแน่นอน ไม่น่าจะลงเขามาง่ายๆ ทว่าเหมันตฤดูมาถึงแล้ว ไก่ป่าหาอาหารได้ยากยิ่ง ช่างบังเอิญนัก แปลงผักของอาหวั่นแปลงนี้ใกล้กับเชิงเขาที่สุด กันดารที่สุดในหมู่บ้าน จึงมีไก่ป่าลงมาหาอาหาร

ไก่ป่าจิกกินใบผักอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้ระแวดระวังภัยที่จะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

อวี๋หวั่นเดินย่อง ยื่นมือออกไป และจับไก่ป่าใส่ลงในตะกร้า!

.................................................

Siguiente capítulo