webnovel

004 อาหารมื้อใหญ่มื้อแรก

บทที่ 4 อาหารชุดใหญ่มื้อแรก

ไก่ป่ามีแรงมากกว่าไก่บ้าน มันดิ้นจนอวี๋หวั่นต้องหาอะไรมาผูกเสีย

ทว่า อวี๋หวั่นหาอยู่นาน กลับหาเครื่องมือในตะกร้าไม่เจอเลยสักชิ้น ในที่สุด เธอก็คลำเจอเชือกสีแดงเส้นหนึ่งจากในเสื้อ

“ในกระเป๋าเสื้อมีเชือกด้วยแฮะ” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว ไม่รีรอรีบผูกไก่ป่าตัวนั้นด้วยเชือกสีแดง

อวี๋หวั่นนำไก่ป่ากลับบ้าน พลางฮัมเพลงไปด้วย

แต่ว่า บริเวณเชิงเขาล้วนมีแต่กระท่อมมุงด้วยหญ้าแห้ง เมื่อนับรวมกันแล้วคงไม่เกินยี่สิบถึงสามสิบหลังคาเรือน อวี๋หวั่นรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้ยากจนเสียเหลือเกิน

หมู่บ้านตั้งอยู่ระหว่างภูเขาเขาสองลูก มีไร่นาน้อยใหญ่ หากไปทางตะวันตกจะยิ่งกันดารไร้ผู้คน และบ้านของพวกเขา ก็อยู่ด้านตะวันตกสุดของหมู่บ้าน ทางเข้าเป็นลานโล่งซึ่งพื้นไม่เรียบเสมอกัน อวี๋หวั่นจำได้ว่าบ้านโบราณในอีกโลกก็มีลานโล่งเช่นนี้ เรียกว่า ‘เต้าฉ่าง’ ไม่แน่ใจที่นี่เรียกว่าอย่างไร บางทีอาจไม่มีชื่อเรียกก็เป็นได้

เมื่อเข้าไปในบ้าน เถี่ยตั้นน้อยก็ตื่นแล้ว และกำลังสวมเสื้อผ้าด้วยความงัวเงีย

สตรีที่นอนอยู่บนเตียงยังคงอยู่ในนิทรา ลมหายใจแผ่วเบา ผิวขาวซีดดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย

อวี๋หวั่นวางตะกร้าลง และเดินเข้าไปในห้อง

เมื่อเถี่ยตั้นน้อยเห็นเธอ ดวงตาใสก็เป็นประกายขึ้นทันที “ท่านพี่!”

อวี๋หวั่นเห็นเสื้อพองๆ บนร่างของเด็กน้อย จึงเอื้อมไปจัดชายกางเกงของเขา พร้อมกับดึงชายเสื้อใส่กางเกงให้เรียบร้อย ขณะที่กำลังจะถามเขาว่าหลับสบายดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงนกร้องดังแหลมมาจากห้องโถง

เถี่ยตั้นน้อยตกใจในตอนแรก หลังจากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น

เด็กเมื่อรู้สึกตื่นเต้น มักโหวกเหวกเช่นนี้เสมอ

“พี่ไม่ได้เข้าไปในเมืองหรอก” อีกอย่างก็เพราะไม่มีเงินด้วย

อวี๋หวั่นจัดผ้าห่มให้สตรีที่นอนหลับอยู่บนเตียง จากนั้นก็หิ้วไก่ไปหลังบ้าน

หลังบ้านมีรั้วไม้ล้อมรอบ ด้านหน้าเชื่อมกับตัวบ้าน ส่วนด้านหลังเชื่อมกับเล้าหมูและห้องครัว

และแน่นอนว่าเล้าหมูนั้นไม่ได้เลี้ยงหมู

“ไก่ตัวนี้ พี่จับมาจากบนภูเขา” อวี๋หวั่นกล่าว

“จับมาจากภูเขาหรือ? ท่านพี่ ท่านเก่งมาก!” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยชมด้วยความปลาบปลื้ม

อวี๋หวั่นหยิบชามเปล่าออกมา และลงมือเชือดไก่

เถี่ยตั้นน้อยไม่ได้ตกใจกลัวภาพที่เห็น เขานั่นยองๆ ที่พื้นอย่างว่าง่าย จ้องมองตาไม่กะพริบ

“ทำให้พวกเรากินหรือ” เขาเอ่ยถาม

“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำให้ใครกิน?” อวี๋หวั่นตอบ

เถี่ยตั้นน้อยลังเล แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

อวี๋หวั่นรู้สึกว่าน้องชายแปลกไป เธอกำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าว จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ

เธอนำไก่แช่ในน้ำร้อน และนำมาถอนขน พลางคิดว่าทำกับแกล้มอะไรดี จะกินหัวผักกาดบ่อยๆ ก็คงไม่ได้ เพราะเธอเองก็ไม่ชอบหัวผักกาดอยู่แล้ว

ทันใดนั้น เธอหันไป สายตาก็เหลือบเห็นกอไผ่เรียงรายอยู่ด้านหลังห้องครัว

ต้นไผ่สีเขียวสด ลำไผ่มีแถบสีเทาจางๆ น่าจะเป็นต้นไผ่ที่อายุสามถึงห้าปี ต้นไผ่อายุประมาณนี้ เหมาะกับการขุดหน่อไม้เป็นที่สุด

“ท่านพี่ มองอะไรอยู่หรือ” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยถามด้วยความงุนงง

อวี๋หวั่นไม่ได้ตอบ เธอวางไก่ที่ถอนขนเสร็จแล้วลง หยิบพลั่วและเดินตรงไปยังกอไผ่

เถี่ยตั้นน้อยไม่รู้ว่าเธอทำอะไร จึงเดินเตาะแตะตามไป

อวี๋หวั่นเดินไปเดินมาบริเวณกอไผ่ ทันใดนั้นก็ก้มลงใช้พลั่วขุดลงไปที่ไผ่ต้นหนึ่ง สิ่งที่เธอขุดขึ้นมามีขนาดเท่ามันเทศ และมีปลายแหลม

“มีจริงๆ ด้วย” อวี๋หวั่นหัวเราะ

“นี่คืออะไรหรือ ท่านพี่” เถี่ยตั้นน้อยถามด้วยความสงสัย

อวี๋หวั่นกล่าวตอบอย่างมีความสุขว่า “หน่อไม้”

“กินได้หรือไม่” เถี่ยตั้นน้อยถามต่อ

อวี๋หวั่นยิ้มพลางตอบว่า “กินได้สิ”

ไม่เพียงกินได้เท่านั้น แต่ยังรสชาติดีมาก อีกทั้งคุณค่าทางอาหารก็สูงเช่นกัน

หลังจากที่อวี๋หวั่นขุดหน่อไม่ขึ้นมา ก็นำดินกลบลงไป เผื่อว่าหน่อไม้จะงอกขึ้นมาใหม่

หน่อไม้ที่นี่จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่ไม่ใช่ต้นไผ่ทุกต้นจะงอกหน่ออ่อนได้เช่นนี้

หลังจากที่อวี๋หวั่นขุดไปแล้วสองหน่อ เถี่ยตั้นน้อยก็หิวจนท้องร้องดังจ๊อกๆ ขึ้นมา

อวี๋หวั่นล้างหน่อไม้จนสะอาด หั่นเป็นแผ่น ทั้งยังหั่นเนื้อไก่ป่าเป็นก้อน เครื่องในแยกไว้อีกด้าน เธอนำเนื้อไก่และหน่อไม้ไปผัดด้วยไฟแรง แล้วจึงนำมาต้มด้วยไฟอ่อน

อวี๋หวั่นเข้าครัวไม่บ่อยนัก ทักษะด้านการทำอาหารก็ไม่นับว่าดีมาก กระนั้นเธอก็ต้านทานวัตุดิบที่ดีเช่นนี้ไม่ไหว ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมของเนื้อไก่ที่ผสมเข้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหน่อไม้ก็ลอยไปในอากาศ หอมอบอวลไปทั่ว จนเด็กชายตัวน้อยแทบอดใจไม่ไหว

เถี่ยตั้นน้อยหิวจนน้ำลายสอ

อวี๋หวั่นเปิดฝาหม้อ ตักไก่ขึ้นมาหนึ่งชิ้นให้เขา

เขาส่ายหัว กลืนน้ำลายและพูดว่า “ข้าจะรอท่านแม่กับท่านพี่มากินพร้อมกัน”

“ได้สิ” อวี๋หวั่นไม่ได้ปฏิเสธ เธอปิดฝาหม้อ พลางพูดกับเถี่ยตั้นน้อยว่า “ต้นกระเทียมมีไม่พอ พี่จะไปเก็บที่แปลงมาสักหน่อย”

“เช่นนั้นข้าจะเฝ้าไก่ให้เอง!” เถี่ยตั้นน้อยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ และกล่าวตอบไปว่า “ดีเลย เจ้าเฝ้าไก่ อย่าให้ใครมาแอบกินล่ะ”

เธอเพียงแต่กล่าวเล่นๆ กับเถี่ยตั้นน้อยเท่านั้น หารู้ไม่ว่า ทันทีที่เธอย่างเท้าออกไปนอกบ้านนั้น ก็มีคนที่คิดจะขโมยไก่ในหม้อของเธอเสียแล้ว

ผู้ที่มาถึงนั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นนางจ้าว มารดาของจ้าวเหิง

หลังจากวันที่อาหวั่นตกน้ำ จ้าวเหิงก็รีบช่วยเธอขึ้นมาทันที และบอกกับคนอื่นว่าเธอพลัดตกน้ำ แม้แต่นางจ้าวมารดาบังเกิดเกล้าก็ยังไม่รู้ความจริง

อาหวั่นหมดสติไปหลายวัน เดิมทีนางจ้าวคิดว่าเธอคงไม่รอดแล้ว แต่ใครจะรู้ เมื่อครู่เพื่อนบ้านกลับบอกกับนางว่าเห็นอาหวั่น

“อาหวั่น ฟื้นแล้วรึ? เจ้านี่จริงๆ เลย ฟื้นแล้วก็ไม่บอกไม่กล่าวกันบ้าง เจ้าเหิงต้องจ่ายค่าเรียนแล้ว รีบเอาเงิน...”

นางจ้าวเดินเข้ามาในบ้าน พูดอยู่เสียนาน สุดท้ายก็หยุดลง

กลิ่นหอมอะไรนี่?

ทำไมหอมเช่นนี้?!

นางจ้าวรีบร้อนมุ่งตรงไปยังห้องครัว

เมื่อเถี่ยตั้นน้อยเห็นนางจ้าวก็หน้าเสียทันที

นางจ้าวไม่แม้แต่จะชายตามองเถี่ยตั้นน้อย ไม่รีรอรีบเปิดฝาหม้อขึ้น

ทันทีที่นางเห็นไก่ตุ๋นสีเหลืองทองในหม้อนั้น แววตาก็ลุกเป็นประกาย!

นางจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กินเนื้อคือเมื่อใด สิบวันที่แล้ว? ครึ่งเดือนที่แล้ว? นางเด็กอาหวั่นนี่ไร้ความสามารถ หนึ่งเดือนให้นางกินเนื้อเพียงครั้งสองครั้ง ยังรู้สึกว่าน้อยจนเวทนาตนเอง สวรรค์จะรู้หรือไม่ว่านางนั้นอยากกินเนื้อแทบขาดใจ

ที่นี่มีเนื้อหม้อใหญ่ หม้อใหญ่!

นางวางฝาหม้อลงด้วยความตื่นเต้น เปิดตู้เก็บถ้วยชาม หยิบโถสะอาดออกมาหนึ่งใบ และตักเนื้อไก่ในหม้อขึ้นมา

เถี่ยตั้นน้อยคว้ามือของนางเอาไว้ พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านพี่บอกไว้ ว่าทำให้พวกเรากิน ไม่ให้คนอื่นกิน!”

นางจ้าวหัวเราะและตอบว่า “ท่านพี่ของเจ้าก็ลูกสะใภ้ข้า นางก็คือของของข้า จะให้เจ้ากินเมื่อไรกัน”

นางเด็กบ้า! ทำของดีเช่นนี้ยังไม่รู้จักนำไปให้นาง ที่แท้ก็ต้มอยู่ในบ้าน โชคดียิ่งนักที่นางมา ไม่เช่นนั้นเนื้อไก่หม้อใหญ่นี้คงถูกเจ้าเด็กขี้โรคกินหมดเป็นแน่!

“หลีกไป!” นางจ้าวตะคอก

“ไม่!” เถี่ยตั้นน้อยกอดนางจ้าวไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือ

นางจ้าวเริ่มมีโทสะ นางสะบัดมืออย่างแรง ดึงแขนตนเองขึ้นมาหยิกเข้าที่แก้มของเถี่ยตั้นน้อย พร้อมขู่ว่า “เจ้ามันเป็นอะไร กล้ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ ข้าจะตีให้หนัก!”

แก้มข้างหนึ่งของเถี่ยตั้นน้อยถูกหยิกจนแดง เขายืนเท้าเอว จ้องหน้านางและตอบกลับไปว่า “ท่านตีสิ! ตีเลย!”

“เจ้า! เด็กนี่!” นางจ้าวเงื้อฝ่ามือ

ปกติแล้ว หากเป็นเช่นนี้ นางจ้าวคงจับเจ้าเด็กบ้าคนนี้ตีเสียหนักๆ ไปแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ เนื้อไก่ในหม้อช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน นางอยากรีบนำกลับไปให้ลูกๆ ที่บ้านกินกันแล้ว ดังนั้น นางจึงผลักเขาออก และหันไปตักไก่ในหม้อ

นางตักไก่ในหม้อจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือไว้แม้แต่คอไก่

.............................................

Siguiente capítulo