ยามเฉินวันที่แปด
ชิงหลินลืมตาตื่นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย ความเจ็บปวดทรมานเจียนตายที่ได้ประสบ บัดนี้หายเป็นปลิดทิ้งลอบถอนใจแรงที่ผ่านมาได้
ความสุขที่ต้องแลกด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อและน่ากลัวยิ่งนัก หากเป็นไปได้จะไม่ขอใช้พลังนี้อีก! เพียงแค่คิดถึงความเจ็บปวดเจ็ดวันเจ็ดคืนที่ผ่านมาก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว
"หือ?"คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำหนักและความอบอุ่นที่เอว หลุบตามองจึงเห็นท่อนแขนของบุรุษโอบกอดอยู่จึงค่อยพลิกกายที่นอนตะแคงข้างกลับมาอีกด้านก็พบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังหลับสนิทของสามี
"เพียงเจ็ดวัน ก็โทรมได้ถึงขนาดนี้เชียวรึนี่"พูดพลางลูบคางที่เต็มไปด้วยไรหนวดอย่างรักใคร่ รู้ดีว่าตลอดเจ็ดวันเขาเฝ้าดูแลไม่ยอมห่างแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน พร่ำบอกแต่ว่า เสียใจ ปวดใจ ที่ไม่อาจเจ็บแทนได้ หากตาไม่ฝาดนางคิดว่าเห็นเขาร้องไห้ด้วย ผู้ชายโปรไฟล์เลิศขนาดนี้จะไม่ให้รักให้หลงได้อย่างไรไหว
พอคิดมาถึงตรงนี้ชิงหลินจึงจุมพิตที่ริมฝีปากหนาได้รูปเบาๆขอบคุณ แต่แล้วดวงตากลมโตมีอันเบิกกว้าง เมื่อคนที่ถูกจุมพิตที่คิดว่าหลับอยู่ กลับลืมตาในจังหวะที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน
สองสายตามองประสานกันไร้ถ้อยคำใดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นริมฝีปากหนาอุ่นร้อนก็เริ่มขยับช้าๆ พลิกกายขึ้นทาบทับร่างเล็กบอบบางของภรรยาไว้ใต้ร่างแกร่งของตน จุมพิตหยอกเย้านางอย่างรักใคร่ ก่อนจะค่อยเร่าร้อนขึ้นตามแรงปรารถนาที่อัดอั้นมานานถึงเจ็ดวันเต็ม
ทางด้านชิงหลินที่รับรู้ถึงความต้องการของสามีก็ให้ความร่วมมือและตอบสนองเขาอย่างสุดความสามารถ แม้จะมีประสบการณ์ไม่มากแต่ก็พยายามอย่างเต็มที่
"หลินหลิน เป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บตรงไหนอีกรึไม่?"เสียงร้องขัดคอของเจ้าฟานฟานน้อยทำสองร่างที่กำลังนัวเนียกันชะงัก
"อื้อ..พอเท่านี้เถิดเจ้าค่ะ"ชิงหลินดันอกสามีออกห่างด้วยความกระดากอายใจดวงน้อยเต้นแรงและยิ่งแรงขึ้นไปอีก เมื่อฝ่ามือที่ยันหน้าอกเขาไว้สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวแรงไม่แพ้กันของอีกฝ่าย
มู่หลิ่งเหวินหงุดหงิดที่ถูกขัดคอ พรูลมออกแรงๆใส่ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ห่างเพียงคืบ พลิกตัวลงนอนที่เดิมแล้วดึงร่างเล็กบอบบางขึ้นมาไว้บนตัวของตนไม่ใส่ใจกับเสียงร้องตกใจของนาง
"คิดจะทำอะไรเจ้าคะ? ปล่อยข้านะ"คนถูกแกล้งตวาดแหวใบหน้าแดงก่ำและบูดบึ้ง สองมือยันอกเขา ร่างกายตั้งแต่เอวคอดกิ่วถูกแขนและขาแข็งแรงพันธนาการไว้จนดิ้นไม่หลุด ราวกับเชือกเส้นโต
"พี่ดูแลเจ้าตั้งหลายวัน ไม่คิดจะให้รางวัลกันบ้างเลยหรือ?"ตัดพ้อนางทั้งน้ำเสียงและ
ดวงตา
"หลินเอ๋อร์ ให้รางวัลขอบคุณแล้วนี่เจ้าคะ"พูดพลางหลุบตาลงเอียงอายหนีสายตากรุ้มกริ่มใบหน้าที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก
"อา...จุมพิตแบบขอไปทีเช่นนั้น นับเป็นอันใดได้"
"แบบขอไปทีที่ไหนกัน หลินเอ๋อร์ตั้งใจมอบให้เลยนะเจ้าคะ"
"ใช้ไม่ได้ หากเจ้าตั้งใจมอบให้จริงใยจึงแอบให้เช่นนั้น"
"...ท่านเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย จู้จี้จุกจิกแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"
"...นับแต่หลังเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าครั้งนั้น"
"....!?"
"ไม่รู้ตัวเลยรึ?"
"ไม่..ข้าไม่รู้เลยว่าท่าน..."ชิงหลินตะลึงพูดไม่ออก ปลาบปลื้มใจเป็นที่สุดเพราะนั่นหมายความว่า คนที่สามีรักจริงๆคือช่อลดาที่อยู่ในร่างเด็กสาวชิงหลิน!
"นับแต่เจอเจ้าครั้งนั้น พี่ก็เริ่มสนใจเจ้า เฝ้าดูเจ้ามาตลอด ยิ่งนานวันความรู้สึกที่มีต่อเจ้าก็เพิ่มพูนมากขึ้น จนคิดว่าไม่อาจจะรักใครได้เท่าเจ้าอีกแล้ว"มู่หลิ่งเหวินสารภาพหมดเปลือก เชยคางมนขึ้น "พี่ขอสาบาน ว่าพี่จะรักเจ้า ดูแลเจ้า ทะนุถนอมเจ้า และมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียว หากผิดคำขอให้ตาย…"
มือเล็กยกขึ้นปิดปากห้ามแล้วค่อยกล่าว "ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์เชื่อ แต่สมมุตินะเจ้าคะสมมุติว่า หากวันหนึ่งท่านปันใจให้หญิงอื่น โปรดบอกหลินเอ๋อร์ทราบก่อน"
"หือ?..เจ้าให้พี่มีฮูหยินรองได้ เช่นนั้นหรือ?"แกล้งถามลองใจ
"ฮึ!..ฝันไปเถิด ความหมายของข้าคือ หากท่านคิดจะพาภรรยาใหม่เข้ามา ก็จงหย่าให้ข้าเสียก่อนต่างหากเล่า!"ตอบกลับด้วยเสียงที่ค่อนข้างห้วนปลายเสียงออกจะสะบัดๆเล็กน้อย
มู่หลิ่งเหวินพลันชะงักวูบจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มด้วยสายตาขุ่นเคืองและน้อยใจที่นางเอ่ยคำว่า หย่า ออกมาไอย่างง่ายดาย
"เอ่อ..อย่าพึ่งงอนสิเจ้าคะ ท่านควรรู้ไว้ข้าเป็นคนจิตใจคับแคบมากถึงมากที่สุด และไม่ยอมใช้สามีร่วมกับหญิงอื่นเด็ดขาด แม้ว่าข้าจะรักท่านมากเพียงใดก็ตามเข้าใจไหมเจ้าคะ?"
"อา...พี่เข้าใจแล้ว ฮูหยินน้อยของพี่"พอได้ยินประโยคต่อมาความขุ่นเคืองน้อยใจหายไปทันที
"หลินหลิน ฟานฟานหิวแล้ว"เจ้าพยัคฆ์น้อยที่ถูกลืมมุดหัวแทรกตัวเข้ามาจากด้านข้าง การกระทำของมันสร้างความขบขันแก่ชิงหลินยิ่งนัก ผิดกับอีกคนที่ถูกขัดคอครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาคมทรงเสน่ห์หลุบตามองเจ้ามารน้อยอย่างหงุดหงิด ยิ่งได้เห็นมันจ้องตอบกลับมาทำให้แม่ทัพหนุ่มมันเขี้ยวใช้นิ้วดีดหน้าผากมันเสียงดังเพียะ
"แง้ว!หลินหลิน เจ้าคนนิสัยไม่ดีแกล้งฟานฟาน จัดการ จัดการเลย"เจ้าพยัคฆ์น้อยที่ถูกดรรชนีพิฆาตดีดอย่างแรงฟ้องนางทั้งน้ำตา หากไม่กลัวว่าหลินหลินจะโกรธ มันจะใช้ร่างใหญ่โต สง่างามและน่าเกรงขามของมัน จัดการเจ้าคนนิสัยไม่ดีนี่เสียเดี๋ยวนี้ เจ้าพยัคฆ์น้อยคิดอย่างขุ่นเคือง พร้อมกับแยกเขี้ยวใส่
ชิงหลินได้แต่ส่ายหน้าระอา ดันตัวเองออกมานั่งห้อยขาข้างเตียง อุ้มเจ้าพยัคฆ์น้อยมาวางบนท่อนขาของตนลูบคลำศีรษะกลมๆเล็กๆอย่างปลอบโยน
"ฮึ..เจ้ามารน้อยจอมเสแสร้ง"แม่ทัพหนุ่มพึมพำดันตัวขึ้นพิงหัวเตียงแล้วรวบตัวนางมานั่งบนท่อนขาแข็งแรงของตนอย่างรวดเร็ว สร้างความตกใจแก่นางจนอุทานออกมาเสียงดัง
"เจ้ายังไม่ได้ให้รางวัลพี่"แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนไม่สนใจสายตาดุของนาง
"...ติดไว้ก่อนได้ไหมเจ้าคะ?"แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ "ต้องเดี๋ยวนี้"
"ก็ได้ ก็ได้..."พูดจบก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มทั้งสองข้างของสามี
"...นี่คือรางวัลสำหรับเจ็ดวันเจ็ดคืน ที่พี่ดูแลเจ้าแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเช่นนั้นหรือ?"น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจและท่าทางแง่งอนของสามีทำชิงหลินใจเต้น อา...จะน่ารักไปไหนเนี่ย!
มือเรียวเล็กประคองใบหน้าหล่อเหลาขึ้นมาระดับสายตาสบตาเขาแล้วกล่าวด้วยเสียงที่คิดว่า ไพเราะอ่อนหวานที่สุด
"ขอบคุณ..ที่อยู่เคียงข้างหลินเอ๋อร์เจ้าค่ะ"จากนั้นยื่นหน้าเข้าหาใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่หลบสายตา จุมพิตที่ริมฝีปากแผ่วเบาแล้วส่งยิ้มหวานปิดท้าย
เล่นเอาชั่วขณะหนึ่ง จิตของแม่ทัพหนุ่มหลุดลอยไปไกลคล้ายถูกมนต์สะกด กว่าจะรู้สึกตัวร่างเล็กบอบบางก็เดินไปเปิดประตูห้องและกำลังสั่งการบางอย่างกับสาวใช้เสียแล้ว
"เฮ้อ...พลาดท่าจนได้"พูดพลางลูบหน้าแดงเรื่อของตน ดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอดมองนางที่นั่งพับเพียบบนพื้นห้องข้างกายมีเจ้าสี่มารน้อยกระโดดโลดเต้นล้อมหน้าล้อมหลังด้วยสายตาอ่อนโยน
-----------
หลังจากอาบน้ำแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย มู่หลิ่งเหวินพาชิงหลินมาที่โต๊ะอาหาร มีสี่สหายน้อยวิ่งนำหน้า ด้านหลังมีองครักษ์ทั้งสี่ คุ้มกันอย่างแน่นหนา ปิดท้ายคือเสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ย
ตลอดทางที่เดินมาที่โต๊ะอาหารชิงหลินสังเกตเห็นทหารยามเดินลาดตระเวนมากกว่าก่อนหน้านี้ถึงสองสามเท่าตัว
"ทำไมถึงมีทหารยามเยอะนักเล่าเจ้าคะ?"อดใจถามไม่ได้แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มหวานจากสามี เห็นดังนั้นนางจึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ
"หลินเอ๋อร์คารวะ ท่านพ่อทั้งสอง คารวะท่านแม่ทั้งสองเจ้าค่ะ"ยอบกายคารวะอาวุโสทั้งสี่ทันที เมื่อเข้ามาถึงโต๊ะอาหาร
"หลินเอ๋อร์/ลูกสะใภ้ มานั่งตรงนี้เถิด"ฮูหยินทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกัน ปรี่เข้ามาประคองร่างเล็กบอบบางนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วนั่งลงประกบซ้ายขวา ไล่ให้แม่ทัพหนุ่มไปนั่งข้างมู่หลิ่งฟู่ผู้เป็นบิดาแทน
"พวกเรากลายเป็นส่วนเกินไปเสียแล้ว"ชิงหยวนกล่าวพลางส่ายหน้า สามบุรุษมองดูฮูหยินของตนที่เอาแต่สนทนากันอย่างสนุกสนาน จนลืมเลือนสามีตนเองไปเสียสนิทก็ได้แต่ทอดถอนใจ
"เรียนท่านแม่ทัพ หัวหน้าพยัคฆ์ดำเฟิ่ง มาถึงแล้วขอรับ"พ่อบ้านเดินเข้ามารายงาน
"ให้เข้ามาได้"มู่หลิ่งเหวินอนุญาตด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ทางด้านชิงหลินพอเห็นร่างใหญหนาเดินเข้ามาก็ลุกเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเขา แล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าแย้มยิ้มยินดี "เฟิ่งอิง....หายดีแล้วหรือ?"
"ขอบคุณฮูหยินน้อย ข้าหายดีแล้วขอรับ"เฟิ่งอิงตอบพลางค้อมศีรษะให้นางอย่างนอบน้อม ดวงตาคมเรียวดุเต็มไปด้วยความยินดีที่ได้มีโอกาสเห็นใบหน้าและรอยยิ้มอันงดงามของนางอีกครั้ง "เอ่อ.."
"หือ?..อยากพูดอะไรก็พูดมาเถิด"
"...อาการป่วยของท่าน...."
"ฮูหยินของข้าหายดีแล้ว ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง"ชิงหลินสะดุ้งโหยงกับเสียงที่ดังอยู่เหนือศีรษะ เงยหน้าขึ้นไปก็พบสามีกำลังหลุบตาลงมองนางอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง
เฟิ่งอิงจึงโค้งคำนับแทนคำตอบ ผู้คุ้มกันหนุ่มสงสัยมาหลายวันแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้แสดงท่าทีหงุดหงิดโกรธเคืองทุกครั้งที่เห็นหน้าตน
"เจ้ามาก็ดีแล้ว นั่งลงก่อนเถิด"ชิงหยวนกล่าวยิ้มๆ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาชื่นชม
"....ขอรับนายท่าน"แม้จะสงสัยแต่ก็ทำตามแต่โดยดี ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉยก้มต่ำลงเล็กน้อยตามมารยาทที่พึงปฏิบัติ รอฟังคำสั่ง
ฝ่ายมู่หลิ่งเหวินโอบประคองภรรยามานั่งข้างตนไม่ใส่ใจกับอาการขัดขืนของนาง แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าการแสดงความรักในที่สาธารณะเป็นสิ่งไม่ควรแต่ก็หาใส่ใจไม่
"เจ้าคงรู้ ว่าข้าเรียกเจ้ามาพบด้วยเรื่องใด?"ชิงหยวนถามเฟิ่งอิงเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงหันไปทางบุตรี "หลินเอ๋อร์ พ่อกับแม่เจ้า ปรึกษากันว่า จะรับเฟิ่งอิงเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าจะว่าเช่นไร?"
"ลูกเห็นด้วยอย่างยิ่งเจ้าค่ะ"ชิงหลินตอบกลับทันทีโดยไม่หยุดคิด ยิ้มกว้างดีใจ นางก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้ามีพี่ชายอย่าง เฟิ่งอิง บิดามารดานางคงวางใจเรื่องทายาทผู้สืบทอดกิจการของสกุลชิงที่เรื้อรังมานานเสียที ด้วยนางเป็นสตรี หากรับช่วงต่อก็ต้องแต่งสามีเข้าบ้านเปลี่ยนมาใช้แซ่ชิงแล้วผู้ชายหน้าไหนจะยอมกันเล่า
อีกอย่างความจริงใจ ซื่อสัตย์และภักดีสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องคนอื่น มันหาไม่ได้ง่ายๆในสังคมที่มีแต่ความแก่งแย่งชิงดีเช่นนี้
"นายท่าน!ข้าไม่คู่ควรขอรับ!"เสียงปฏิเสธที่ค่อนข้างดังดึงสติชิงหลินให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง มองดูร่างใหญ่หนาที่ลงไปคุกเข่าเบื้องหน้าบิดาด้วยความประหลาดใจ
"ได้อย่างไรกัน เจ้าบอกเองว่า หากหลินเอ๋อร์เห็นชอบ ก็จะไม่คัดค้านเรื่องนี้"ชิงหยวนแย้งใบหน้าคร้ามแดดตึงขึ้นอย่างขุ่นเคืองที่ถูกปฏิเสธ
"เรื่องนั้น..."เฟิ่งอิง ไพล่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน เมื่อนายท่านและฮูหยินเรียกพบและเอ่ยเรื่องทายาทขึ้น อยากรับตนเป็นบุตรบุญธรรมซึ่งแน่นอนว่า เฟิ่งอิงย่อมปฏิเสธ โดยอ้างว่าสมควรถามความเห็นจากคุณหนูทายาทตัวจริงเสียก่อน หากคุณหนูเห็นชอบตนก็ยินดี
แต่ไม่นึกว่าคุณหนูจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย เฟิ่งอิงคิดว่า คุณหนูน่าจะคัดค้านเรื่องนี้ เหตุเพราะสกุลชิงหาใช่ครอบครัวพ่อค้าธรรมดาไม่ แต่เป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นฉี!
"คิดว่าข้าจะเสียดายสมบัติเหล่านั้นหรือ?"ชิงหลินพอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายออก
"ข้ามิกล้า"เฟิ่งอิงกล่าวปฏิเสธค้อมศีรษะต่ำลงไปอีกเล็กน้อย ใจกระตุกกับถ้อยคำคล้ายตัดพ้อนั้น
"เช่นนั้น...ก็คงรังเกียจที่จะมีน้องสาวเช่นข้า"กล่าวเสียงเศร้า
"ฮูหยินน้อย!..ข้า..."เฟิ่งอิงเงยหน้าเตรียมจะแก้ไขความเข้าใจผิด แต่ต้องชะงักคำพูดเมื่อเห็นใบหน้างดงามเศร้าหมองของนาง
"เจ้าไม่ปฏิเสธ หมายความว่า...เจ้ารังเกียจที่จะมีน้องสาวเช่นข้าจริงๆสินะ"
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างมู่ฮูหยินและชิงฮูหยินต่างมองหน้ากัน ในแววตามีความขบขันกับฉากการเล่นละครบทโศกของนาง ด้วยพบเจอและผ่านประสบการณ์มามากมายดังนั้นกิริยาเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้เหตุใดจะดูไม่ออก
"...."ผิดกับมู่หลิ่งเหวินที่ขบกรามแน่นหงุดหงิดใจ ที่เห็นภรรยาทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับบุรุษอื่น แม้จะไม่ใช่ในเชิงเกี้ยวพาแต่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ!
"ฮูหยินน้อย..ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น...ข้าเป็นเพียงผู้คุ้มกันต่ำต้อย ไหนเลยจะอาจเอื้อม"เฟิ่งอิงพยายามอธิบายเหตุผล ความลำบากใจฉายชัดบนใบหน้าคมเข้ม ชิงหลินแม้จะเห็นใจเขาแต่เพื่อสกุลชิง ยังไงก็ต้องทำให้เขายอมตกลงให้ได้!
แต่มู่หลิ่งเหวินใจร้อนและอยากจบเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อที่จะได้พาภรรยากลับเรือนพักเสียทีจึงเดินเข้ามาหยุดยืนข้างนาง
"..."เฟิ่งอิงที่สังเกตเห็นจึงเงยหน้าขึ้น เห็นแม่ทัพหนุ่มพยักหน้าส่งสัญญาณบางอย่างจึงยันกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แม่ทัพหนุ่มจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ผู้คุ้มกันหนุ่มกระซิบข้างหู ด้วยถ้อยคำที่คนฟังตะลึงวูบ "เจ้ามีสิทธิ์ ปฏิเสธด้วยรึ? ชีวิตนี้ของเจ้า นางเป็นผู้ช่วยไว้ ไม่เช่นนั้น เจ้าได้ไปเยือนปรโลกแล้ว"
"ท่านจะบอกว่า ที่ฮูหยินน้อยล้มเจ็บก็เพราะเรื่องนี้.."รวมถึงท่าทางโกรธเคืองของท่านด้วย เฟิ่งอิงต่อในใจ
"ฮึ...แล้วเจ้าคิดว่า ข้าโกรธเจ้าโดยไร้ซึ่งเหตุผลรึ!"แม่ทัพหนุ่มกระซิบตอบในระดับเสียงเท่ากัน น้ำเสียงขุ่นมัวชัดเจน จากนั้นรวบเอวคอดกิ่วพากลับไปนั่งที่เดิม
"อุ๊ย...ดะเดี๋ยว ข้ายังพูดกับเฟิ่งอิงไม่จบเลย"ชิงหลินร้องประท้วงเบาๆ
"จบแล้ว ใช่หรือไม่? ท่านพี่ภรรยา"แม่ทัพหนุ่มหยุดเท้าถามและเปลี่ยนคำเรียกอีกฝ่าย
"ขอรับ ท่านน้องเขย"เฟิ่งอิงรับมุขอีกฝ่ายมุมปากยกยิ้มเล็กน้อย ชีวิตนี้ที่ได้นางช่วยไว้จะขออยู่และทำเพื่อนาง หากนางสั่งให้ไปตายข้าก็ยินดี
"เอ๊ะ...หมายความว่า..เจ้ายอมตกลง?"เฟิ่งอิงมองนางพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยน
"ท่านพ่อ ท่านแม่ "ชิงหยวนและฮูหยินชิงพยักหน้า ชิงหลินจึงหันกลับมาทางพี่ชายบุญธรรมอีกครั้ง
"ในที่สุด ข้าก็มีพี่ชาย น้องเล็กคารวะพี่ใหญ่"ยอบกายเคารพ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวอย่างไม่มีปิดบัง ใบหน้าจิ้มลิ้มยามแย้มยิ้มเต็มที่ช่างงดงามและสดใส ราวกับท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิ เป็นเหตุให้สามีและพี่ชายหมาดๆถึงกับใจเต้นไม่เป็นจังหวะเผลอมองอย่างหลงใหล
"อะแฮ่ม! เฟิ่งอิง นับจากนี้แซ่ของเจ้าคือ ชิงนามเฟิ่ง ชิงเฟิ่งอิงบุตรชายข้า และ หลินเอ๋อร์ คือน้องสาวเจ้า ยกน้ำชาคารวะบิดามารดาเร็วเข้า!"ชิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี พยักหน้าเรียกบุตรบุญธรรม
"ชิงเฟิ่ง คารวะท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรม"เฟิ่งอิงยกน้ำชาให้ทั้งสองแล้วทำความเคารพเต็มพิธีการ
"ลุกขึ้นเถิด บุตรชายข้า"ชิงหยวนกล่าวอนุญาต ชิงฮูหยินแย้มยิ้มยินดี ด้วยถูกชะตาและเอ็นดูกับชายหนุ่มผู้นี้มานานไม่ต่างสามีเท่าใดนัก
"ต่อไป เจ้าต้องเรียกข้าว่า ท่านลุงมู่ ท่านป้ามู่ เข้าใจหรือไม่?"มู่หลิ่งฟู่กล่าวขึ้นบ้างอย่างอารมณ์ดี
"ทราบแล้วขอรับ ท่านลุงมู่ ท่านป้ามู่"เฟิ่งอิงประสานมือคำนับอาวุโสทั้งสองแล้วส่งยิ้มน้อยๆให้น้องสาวบุญธรรม ที่ยืนอยู่เคียงข้างสามีใกล้กับจุดที่ตนยืนอยู่พลางเอ่ยเรียก "น้องเล็ก"
"พี่ใหญ"ชิงหลินหัวเราะชอบใจ ที่เห็นใบหน้าคมเข้มมีริ้วแดงจางๆยามที่เอ่ยเรียกนาง อา...เขินล่ะสิท่า กิริยาที่ไม่ระมัดระวังของนางทำให้ถูกสามีทำตาดุใส่
"นั่งลงก่อนเถิด จริงสิ...อาเหวิน"มู่หลิ่งฟู่มีสีหน้าจริงจังยามเอ่ยเรียกบุตรชาย
"ขอรับท่านพ่อ"ขานรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่มือหยาบหนาที่อยู่ใต้โต๊ะกลับดึงมือเรียวเล็กที่อยู่ใกล้ มากุมไว้บนท่อนขาแข็งแรงของตน ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้หลังมือเนียนนุ่มไปมาอย่างหยอกเย้า
ชิงหลินสะดุ้งพยายามชักมือกลับแต่ไร้ผล จึงลองใช้มืออีกข้างแกะมือเหล็กของเขาออก แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว จะต่อว่าเขาก็อายเกินกว่าจะพูดออกไป จึงได้แต่นั่งก้มหน้าหลบสายตาไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของนาง
"มีสิ่งใดหายหรือ?"แม่ทัพหนุ่มได้จังหวะกระซิบถามนางที่เอาแต่นั่งก้มหน้า
คนถูกล้อขบริมฝีปากแน่นขุ่นเคืองใจที่ถูกล้อ จึงหยิกเนื้อบนหลังมือเขาแล้วออกแรงด้วยความหมั่นไส้ ทำอีกฝ่ายสูดปาก
"เป็นอันใดรึอาเหวิน?"ชิงหยวนที่นั่งอยู่ใกล้ถามด้วยความสงสัย
"อา...แค่ถูกมดกัดเท่านั้นขอรับ"อาการเจ็บราวมดกัด มีหรือจะทำให้แม่ทัพหนุ่มถอดใจกลับยิ่งกระตุ้นความอยากแกล้งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เปลี่ยนจากกุมมือนุ่มนิ่มไปโอบกอด ดึงศีรษะนางให้มาซบไหล่ตนเองแทน
"ปล่อยข้านะเจ้าคะ"ชิงหลินกัดฟันตอบพร้อมทั้งส่งสายตาเขียวปัดให้กับการทำประเจิดประเจ้อในที่โล่งแจ้งของสามี เหล่มองโดยรอบเห็นพากันส่งยิ้มมาให้ก็ยิ่งรู้สึกอายจนต้องก้มหน้ามองมือตัวเอง
"....ท่านพ่อ มีเรื่องใดจะคุยกับข้าหรือขอรับ?"ถามบิดาเสียงเรียบไร้ความเก้อเขิน
"ก็ข่าวลือเรื่องธิดาสวรรค์ ที่ผู้คนกำลังเล่าลือกันอยู่ในยามนี้อย่างไรเล่า"มู่หลิ่งฟู่เหล่มองลูกสะใภ้แวบหนึ่งอย่างเป็นกังวล
"ธิดาสวรรค์?"ชิงหลินพึมพำเบาๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มมีความสงสัยใคร่รู้ ด้วยตลอดเจ็ดวันนางต้องทนทุกข์ทรมานกับข้อแลกเปลี่ยนจึงไม่รู้เรื่องราวภายนอกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
"ทุกคนมองหลินเอ๋อร์ทำไมเจ้าคะ?"ถามเมื่อเห็นทุกคนมองมาที่นางเป็นตาเดียว
"...ธิดาสวรรค์ที่ผู้คนโจษจันก็คือ เจ้า"มู่หลิ่งเหวินเน้นคำว่า เจ้า ยามที่กล่าวกับนาง
"เอ๊ะ...ข้าหรือ?"ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ดวงตากลมโตเบิกกว้างประหลาดใจ ตั้งท่าจะหัวเราะแต่พอเห็นสายตาจริงจังของทุกคนทำเอานางหัวเราะไม่ออก "หรือจะเป็นเพราะเรื่องที่ลานประหาร?"
"ถูกต้อง ยามนี้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ ไปถึงในวังหลวงแล้ว เคราะห์ดีที่ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นปีศาจหรือมารร้าย"มู่หลิ่งฟู่ถอนหายใจยามที่กล่าวจบลง
"...หลินเอ๋อร์ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ"นางได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิด ที่สร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวตนเองและครอบครัวของสามี
"แล้วไปเถิด เรื่องสำคัญยามนี้ก็คือ ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เจ้าพร้อมอาเหวิน เข้าเฝ้าที่ตำหนักฟ้าทรงธรรม เป็นการส่วนพระองค์ ยามอู่ในวันที่สิบเดือนสิบที่จะถึงนี้"มู่หลิ่งฟู่กล่าวกับลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวลเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ถึงพระประสงค์ที่แท้จริงของฝ่าบาท
"เข้าเฝ้า? เรื่องใดหรือเจ้าคะ?"อดถามไม่ได้ ครั้งก่อนก็เรื่องแบบวาดตำหนักขององค์รัชทายาท แล้วครั้งนี้เล่าหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องข่าวลือนี่หรอกนะ