"อา...อาจจะเกี่ยวกับข่าวลือ และเรื่องการตายของเสนาบดีหานหนิงเฉิง"มู่หลิ่งฟู่คาดเดาอย่างมีหลักการ
"ขุนนางคนนั้นเสียชีวิตแล้วหรือเจ้าคะ?"ชิงหลินออกจะแปลกใจ เพราะสิ่งที่นางสั่งให้ฝูงนกทำนั้นก็ไม่น่าทำให้ถึงตายได้ อย่างมากก็แค่ตาบอดกับกลายเป็นขันทีไปตลอดชีวิตเท่านั้น
"ใช่..หลังจากรักษากันอยู่สามวัน หานหนิงเฉิงก็ใช้ผ้าผูกคอตายในห้องนอน"มู่หลิ่งฟู่กล่าวพลางถอนใจ ใจหนึ่งก็นึกสมเพชเวทนา แต่อีกใจก็อดสมน้ำหน้าไม่ได้ ยังคิดว่ามันตายง่ายเกินไปเสียด้วยซ้ำสำหรับคนชั่วช้าสารเลวเช่นมัน
ดวงตาคมเรียวดุของเฟิ่งอิง มองน้องสาวบุญธรรมด้วยความเป็นห่วง ด้วยหลังฟื้นขึ้นมาก็ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จากองครักษ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้จะฟังดูเหลือเชื่อแต่ก็เชื่ออย่างสนิทใจ เพราะเคยพบเจอเรื่องทำนองนี้มาแล้วที่ป่าอาถรรพ์
"ลูกสะใภ้ พ่อมีเรื่องจะถามเจ้า"มู่หลิ่งฟู่เอ่ยกับสตรีที่ถูกบุตรชายโอบไหล่ไว้
"เชิญท่านพ่อถามมาได้เจ้าค่ะ"เงยหน้าตอบอย่างนอบน้อม
".....สั่งให้ทุกคน ถอยไปให้หมด ส่วนเจ้า..เฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาใกล้ประตูเด็ดขาด!"น้ำเสียงเด็ดขาดเต็มไปด้วยอำนาจของมู่หลิ่งฟู่ เสนาบดีฝ่ายบู๊อดีตแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร ทำพ่อบ้านเจารีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที เพียงอึดใจในห้องก็ไร้ซึ่งบ่าวไพร่ นอกเหนือ สองนายท่าน สองฮูหยิน หนึ่งสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันและเฟิ่งอิง ก็มีเพียงสี่องครักษ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ฟังได้
"ยามนี้ มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้น ลูกสะใภ้...เจ้ายังมีสิ่งใดปิดบังพวกเราอีก ใช่หรือไม่?"มู่หลิ่งฟู่ถามเข้าประเด็น จากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาล้วนมีนางเกี่ยวพันด้วยทั้งสิ้น
เริ่มตั้งแต่ ตามหาสี่สัตว์หายาก เพื่อน้อมเกล้าถวายแด่ฝ่าบาท ก็เป็นนางที่ทำให้ภารกิจสำเร็จลงได้ด้วยดี เป็นเหตุให้องค์รัชทายาทได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากยิ่งขึ้น
ฝีมือด้านศิลปะก็โดดเด่นไม่เหมือนใคร ถึงขั้นที่องค์รัชทายาทตรัสชมแล้วยังให้นางวาดแบบตำหนักทดแทนหลังเก่าซึ่งฝ่าบาทเองก็ประทานอนุญาต
เรื่องที่ตำหนักองค์รัชทายาท ก็เป็นนางที่พบสาเหตุ ที่อยู่ดีๆ ม้าก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ทำให้องค์รัชทายาทไม่ต้องเผชิญกับคำตำหนิจากฝ่าบาท
นี่ยังไม่นับรวมเรื่อง ที่เกิดขึ้นที่หุบเขากินคนเลย คราวนี้นางกลับมาสร้างความฮือฮา ด้วยการเปิดโปงความชั่วของเสนาบดีหานหนิงเฉิง จนผู้คนเรียกนางว่า ธิดาสวรรค์ หน้าจวนแม่ทัพไร้พ่ายยามนี้ จึงเต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ที่สอดรู้สอดเห็นและอยากยลโฉมธิดาสวรรค์สักครั้ง
"เอ่อ..เรื่องนั้น.."ชิงหลินมองหน้าสามีเห็นพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้ เมื่อหันไปทางบิดามารดา ก็เห็นทั้งสองพยักหน้าให้เช่นกัน แล้วยังมีสายตาสนใจจากบิดามารดาสามีและพี่ชายบุญธรรมรวมถึงสี่องครักษ์ที่ขยับกายเล็กน้อย อย่างคนที่อยากรู้อยากเห็นอีกจึงว่า
"..ข้าสามารถพูดคุยสื่อสาร กับบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ และยังสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ส่วนสี่สหายน้อย ก็สามารถยืดร่างหดร่างได้ตามใจชอบ มีเท่านี้แหละเจ้าค่ะ"
สีหน้าประหลาด ดวงตาที่เบิกกว้าง ปรากฏบนใบหน้าของทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งมู่หลิ่งเหวินที่รู้เยอะกว่าผู้ใด ก็ยังอดทึ่งไม่ได้
"พูดคุยกับสัตว์ได้?"มู่หลิ่งฟู่ถาม
"..เจ้าค่ะ"
"สั่งให้ทำสิ่งใดก็ได้?"มู่ฮูหยินถาม
"..เจ้าค่ะ"
"สี่สหายน้อยสามารถยืดหดตัวได้?"ชิงหยวนถามด้วยตนและฮูหยินรู้เพียงนางสามารถพูดคุยกับสัตว์ได้เท่านั้น
"...เจ้าค่ะ"
"เรื่องยาถอนพิษที่เหยี่ยวนำมาให้..ก็เป็นคำสั่งของเจ้า?"ชิงฮูหยินถาม
"..เจ้าค่ะ"
"แล้วเรื่อง...."เฟิ่งอิงคิดจะถามเรื่องบาดแผลของตน แต่ถูกดวงตาคมทรงเสน่ห์ของแม่ทัพหนุ่มปรามไว้จึงเลือกที่จะเงียบ
ชิงหลินเอียงคอมองอย่างสงสัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า พี่ชายคงอยากถามถึงเรื่องวิธีการช่วยและรักษาบาดแผลของตัวเอง ดีที่สามีห้ามไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นนางอาจจะเดือดร้อนมากกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าเป็นแน่ มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่อยากให้ใครรู้นอกจากสามี
"ข้าจนคำพูดแล้วจริงๆ เจ้าช่าง....อา...."มู่หลิ่งฟู่เอ่ยอย่างตื่นเต้น ความสุขุมเยือกเย็นถูกทำลายไปชั่วครู่
ขณะที่คนอื่นๆต่างพากันจ้องมองนางราวกับเป็นเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ มีเพียงมู่หลิ่งเหวินที่รู้สึกทึ่งในคราวแรก แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความกังวลใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ตนและนางเข้าเฝ้า
"โครก คราก"เสียงท้องของชิงหลินที่ร้องประท้วงขึ้นเพราะความหิว ทำเอาทุกคนที่จมอยู่ในห้วงความคิดของตนหลุดจากภวังค์แล้วระเบิดหัวเราะออกมาจนบรรยากาศอึมครึมเปลี่ยนไปสดใสขึ้นทันใด
-------------
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านมาสามวันแล้ว พร้อมกับคำมั่นที่ว่าจะช่วยปกป้อง คุ้มครองนางให้ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ อีกแรงหนึ่ง ซึ่งทำให้นางซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
และตอนนี้ชิงหลินกำลังยืนอึ้งใบ้รับประทาน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิบบุรุษในชุดรัดกุมสีดำสนิทร่างสูงใหญ่บึกบึนอย่างกับยักษ์ปักหลั่น กอปรกับใบหน้าคมเข้มดุดันไร้อารมณ์ เกรงว่าเพียงแค่ยืนเฉยๆก็อาจทำให้เด็กกลัวจนตัวสั่น เผลอๆอาจถึงขั้นร้องไห้กันเลยทีเดียว อา...พ่อคุณเอ๊ย...แล้วแบบนี้ใครจะกล้าเข้าใกล้ข้าเล่า!
"นี่คือ กองกำลังพิเศษ กองกำลังหลิ่งหลินที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเจ้า"มู่หลิ่งเหวินที่ยืนสองมือไพล่หลังกล่าวกับภรรยา
"กองกำลังหลิ่งหลิน?"ทวนคำเบาๆ
"ถูกต้อง พวกเขาจะคอยติดตามคุ้มกันดูแลเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง เป็นยอดฝีมือที่ดีที่สุดของกองกำลังปีศาจมู่ เชี่ยวชาญการต่อสู้ทุกรูปแบบ"แม่ทัพหนุ่มอธิบายต่อ
สี่สหายน้อยพากันเดินวนรอบร่างมนุษย์ใหญ่ยักษ์อย่างสนใจ ทั้งยังใช้จมูกสูดดมเพื่อจดจำกลิ่นของแต่ละคนไว้ ซึ่งกองกำลังหลิ่งหลินก็หลุบตาลงมองพวกมันเช่นกันราวกับต้องการจดจำไว้ให้ขึ้นใจ
พรึ่บ! "คารวะฮูหยินน้อย!!"ทั้งสิบนั่งลงชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมือขวาทาบอกซ้ายแล้วกล่าวเสียงดัง
ทำชิงหลินสะดุ้งตกใจเผลอถอยไปหนึ่งก้าว จากนั้นรีบตีหน้าขรึมปกปิดความตื่นตระหนกแล้วกล่าว "เอ่อ...ลุกขึ้นเถิด แล้วพวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง?"
"หลินหลิน เจ้าพวกนี้เก่งมาก"ฟานฟานน้อยเดินมาหยุดตรงหน้านางแล้วส่งเสียงบอก ชิงหลินจึงย่อตัวลงคุกเข่า ส่งเสียงถามทางจิต
"...งั้นหรือ?.."สามสหายน้อยรีบผงกหัวเพื่อยืนยันคำพูดของหัวหน้าโดยมีสายตาของมู่หลิ่งเหวินหลุบมองอย่างอ่อนโยน
ผิดกับกองกำลังหลิ่งหลินที่มองด้วยความเทิดทูน ด้วยกองกำลังปีศาจมู่ร่วมพันคน และยังทหารนับแสนที่สังกัดจวนแม่ทัพไร้พ่ายแห่งนี้ ล้วนอยากรับใช้ฮูหยินน้อยทั้งสิ้นภายหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวความเก่งกาจของนาง
"เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติภารกิจ จึงใช้หมายเลขแทนชื่อ"มู่หลิ่งเหวินกล่าวยิ้มๆ เพียงเท่านั้นก็ทำเอากองกำลังหลิ่งหลินอึ้งไปตามๆกัน ด้วยน้อยครั้งจะได้เห็นท่านแม่ทัพอ่อนโยนเอาอกเอาใจสตรีเช่นนี้
"แล้วหมายเลขอะไรกันบ้าง ข้าจะได้เรียกใช้ถูก?"เอียงหน้าถามสามี
"หมายเลขเก้า จากกองกำลังปีศาจมู่หน่วยที่หนึ่งขอรับ"ชายหนุ่มที่อยู่หัวแถวตอบเป็นคนแรก
"หมายเลขหนึ่งร้อยสี่สิบห้า จากกองกำลังปีศาจมู่หน่วยที่สองขอรับ!"คนถัดมารายงานตัว
"หมายเลขสองร้อยหนึ่ง จากกองกำลังปีศาจมู่หน่วยที่สามขอรับ"คนที่สามรายงานต่อจากคนที่สอง
ที่เหลืออีกเจ็ดคนก็มีหมายเลข สามร้อยยี่สิบเจ็ดจากหน่วยสี่ สี่ร้อยสิบสามจากหน่วยห้า ห้าร้อยห้าสิบห้าจากหน่วยหก หกร้อยหนึ่งจากหน่วยเจ็ด เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามจากหน่วยแปด แปดร้อยเก้าสิบเก้าจากหน่วยเก้า และเก้าร้อยหนึ่งจากหน่วยสิบ
การบอกเพียงครั้งเดียวหลายๆชื่อ หากเป็นคนปกติทั่วไปไม่มีทางจำได้หมด แต่กับชิงหลิน เนางจำได้อย่างแม่นยำว่าใครหมายเลขอะไร ต่อให้สลับที่ยืนก็จำได้ เป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่ติดตัวมาจากโลกเก่า แต่ในเมื่อสามียกบุรุษหน้าตายเหล่านี้ให้ก็เกิดนึกสนุกอยากจะเปลี่ยนชื่อพวกเขาเสียใหม่ดังนั้น
"ในเมื่อพี่เหวินยกคนเหล่านี้ให้หลินเอ๋อร์ ดังนั้นหลินเอ๋อร์ขอเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย คงได้ใช่หรือไม่?"น้ำเสียงติดจะรื่นเริงเจือความเจ้าเล่ห์คล้ายกำลังมีแผนการบางอย่างในใจเป็นเหตุให้คิ้วเข้มของแม่ทัพหนุ่มเลิกขึ้น กอดอกพร้อมทั้งพยักหน้าลงเล็กน้อยเชิงอนุญาต
"หมายเลขเก้า"เอ่ยเรียกบุรุษร่างใหญ่หน้าตายที่ยืนอยู่หัวแถว
"ขอรับฮูหยินน้อย!"หมายเลขเก้าเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ใบหน้านิ่งราวกับรูปปั้น ทำเอามุมปากบางกระตุก อา....หากยืนนิ่งๆคิดว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งเลยนะเนี่ย
"เจ้าเป็นหัวหน้ากองกำลังหลิ่งหลินนี้ใช่หรือไม่?"
"ขอรับฮูหยินน้อย!"
"แล้วนี่เรียงตามลำดับความสามารถใช่หรือไม่?"ถามพร้อมกับไล่สายตาจากหัวแถวทางฝั่งหมายเลขเก้า ไปอีกทางพลางกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังแต่ก็ไม่เบา"ที่เหลือก็หมายเลข145,201,327,413,555,601,773,899,901 สินะ"
แม่ทัพหนุ่มอึ้งจนกล่าวไม่ออกคลายมือที่กอดอก มองภรรยาอย่างพิจารณา นี่นางถึงกับจำหมายเลขของกองกำลังหลิ่งหลินได้ด้วยการบอกเพียงครั้งเดียว!
เช่นเดียวกับกองกำลังหลิ่งหลินที่ตะลึงต่อมาหัวใจพองโตด้วยความปลาบปลื้มใจ ที่ฮูหยินน้อยจำหมายเลขของพวกตนทุกคนได้อย่างแม่นยำ ทั้งที่พวกตนบอกเพียงครั้งเดียว สายตาที่ดุดันเย็นชาไร้ความรู้สึก ยามนี้กลับเต็มไปด้วยความยินดีและเทิดทูนบูชายิ่งขึ้นไปอีก
"ขอรับฮูหยินน้อย"หมายเลขเก้าค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมเช่นเดิม
"หมายเลขที่ใช้เรียกแทนชื่อของแต่ละคน มันยากแก่การจดจำ"
ยากแก่การจดจำ? ฮูหยินน้อย...ท่านกำลังล้อพวกข้าเล่น?
"ดังนั้น ข้าจะตั้งให้ใหม่ก็แล้วกัน"ชิงหลินยิ้มพรายอย่างหมายมาด ดวงตากลมโตเป็นประกายระยับ มือเรียวเล็กลูบหัวกลมๆเล็กๆของฟานฟานน้อยในอ้อมแขนเบาๆ โดยมีสามสหายน้อยนอนหมอบอยู่แทบเท้าหลินหลิน อย่างรอคอยว่าเมื่อไหร่หลินหลินจะเสร็จธุระตรงนี้ แล้วพาพวกมันไปเดินเล่นสักที
"เจ้าเป็นหัวหน้าและฝีมือดีที่สุดก็ "หนึ่ง"(หนึ่ง ภาษาไทย)เป็นภาษาของชนเผ่าทางใต้ หมายถึง เลขหนึ่ง(อี้)ในภาษาของเรา"กล่าวพลางชูนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าหมายเลขเก้า พยายามปั้นหน้าให้ดูจริงจัง เมื่อเห็นสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงของเจ้าพวกหน้าตาย
"...หนึ่ง"หมายเลขเก้าทวนคำ อา...พูดไม่ถนัดเลย
"ใช่ ที่เหลือก็ ...สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ...สิบ..."ขณะพูดก็เดินไปหยุดตรงหน้าของแต่ละคนจนครบ และกลับมายืนข้างสามีมองพวกเขา ทวนชื่อใหม่ของตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเจือขบขัน
เมื่อเห็นว่าทุกคนจำหมายเลขของตนได้แล้ว ก็ไม่ลืมที่จะบอกความหมายของคำเหล่านั้นให้พวกเขาทราบ จากนั้นจึงเอ่ยขอตัวไปหาบิดามารดาปรึกษาเรื่อง กลุ่มของจิวหูและพวกพ้องที่กลับตัวกลับใจเลิกทำชั่วมาติดตามนางว่าจะเอาอย่างไรดี
-------------
กว่าจะถึงวันเข้าเฝ้าฉีเฉินหลงฮ่องเต้ยังมีเวลายี่สิบสองวัน ในระหว่างนี้ชิงหลินไม่ได้ออกไปไหนเลย เพราะด้านหน้าจวนยังคงเต็มไปด้วยพ่อบ้านบ่าวไพร่จากจวนขุนนางมากมาย พยายามนำเทียบเชิญมาให้ หวังให้นางไปร่วมงานที่จวนตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
แต่ถูกสามีปฏิเสธหมดซึ่งนางมารู้ทีหลังว่าที่สามีปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้นางอึดอัดลำบากใจ ด้วยจุดประสงค์ที่แท้จริงของขุนนางเหล่านั้นแค่อยากใช้นางเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์กับสามีหาได้ทำไปโดยสุจริตใจไม่
พูดง่ายๆคือ หากไปงานตามเทียบเชิญขุนนางเหล่านั้นก็จะใช้เป็นข้ออ้างได้ว่า มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนแม่ทัพไร้พ่าย และอาจนำปัญหายุ่งยากใจมาให้ในอนาคต การปฏิเสธจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้
ดังนั้นเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ชิงหลินจึงมอบหมายภารกิจแรกให้กลุ่มของจิวหูทำ นั่นคือการเดินทางไปเรือนสายธาร นำของที่นางต้องการกลับมาให้ก่อนวันเข้าเฝ้าฮ่องเต้ โดยภารกิจนี้ไม่เอาไปนับรวมกับกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกับสามี
กลุ่มของจิวหูมีทั้งสิ้นหกสิบนาย คราวแรกชิงหลินจะให้พวกเขาติดตามบิดามารดากลับจวนสกุลชิง แต่พวกเขากลับคุกเข่าแล้วบอกว่า จะขอติดตามและรับใช้นางเพียงผู้เดียว เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเขานางจึงต้องรับไว้อย่างเสียไม่ได้
"ด้วยฝีมืออันน้อยนิด พวกเจ้าคิดว่าจะมีปัญญาปกป้องฮูหยินของข้ารึ?"แม่ทัพหนุ่มถามหลังจากทราบเรื่องราว
"สองเดือน ภายในสองเดือนนี้ หากพวกเจ้าสามารถเอาชนะ กองกำลังหลิ่งหลินได้หนึ่งคน ข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าติดตามรับใช้ฮูหยินของข้า"แม่ทัพหนุ่มหยิบยื่นโอกาสที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ให้แก่กลุ่มของจิวหู
เดิมที กองกำลังปีศาจมู่หนึ่งคนสามารถต่อกรกับศัตรูหลายสิบคนได้สบายๆและนี่ กองกำลังหลิ่งหลินคือ สิบอันดับแรกของกองกำลังปีศาจมู่จากหนึ่งพันคน! สวรรค์.... หากฮูหยินน้อย คิดการใหญ่โดยใช้คนเหล่านี้ คิดดูเอาเถิดว่าจะเกิดอันใดขึ้น เมื่อคิดได้ดังนี้จิวหูถึงกับตัวสั่นเทิ้มเหงื่อเย็นไหลซึมทั่วร่าง
"ข้าและพี่น้องจะพยายามอย่างสุดความสามารถขอรับ!!"แม้จะรู้สึกกลัว แต่ด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชายจึงกลั้นใจตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
"ดี!..."มุมปากของแม่ทัพหนุ่มยกขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รู้สึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นของชายผู้นี้อยู่มากทีเดียว
"ทำไมต้องแกล้งพวกเขาด้วยเจ้าคะ?"ชิงหลินเอ่ยถามสามีเมื่อกลับมาที่เรือนพักแล้ว ส่วนสี่สหายน้อยออกไปเดินเล่น ย่อยอาหารพร้อมเหยี่ยวหนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากการบินท่องเที่ยว
รอบเรือนพักของนางมีกองกำลังลังหลิ่งหลินห้านายเฝ้าอยู่ทั้งสี่ทิศ อีกห้านายพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับยามค่ำคืน
ส่วนองครักษ์ทั้งสี่กำลังยืนกอดอกเหล่มองกองกำลังหลิ่งหลินสองนาย ที่ยืนนิ่งหน้ามองตรงเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยความหมั่นไส้ระคนอิจฉา เหตุเพราะถูกปฏิเสธทันทีที่เอ่ยปาก จากท่านแม่ทัพเรื่องที่จะขอติดตามคุ้มกันฮูหยินน้อยเอง
เหตุผลที่องครักษ์ทั้งสี่อยากติดตามรับใช้ฮูหยินน้อย ก็เพราะมักจะได้พบเจอเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นแปลกใหม่และน่าประทับใจอยู่เสมอช่วยให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา ประการสำคัญฮูหยินน้อยเป็นสตรีที่น่ายกย่องจิตใจดีมีเมตตาไม่ถือตัว หรือวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นคุณหนูทั่วไป จนเป็นที่รักใคร่เทิดทูนของบ่าวไพร่ทั้งจวน เดินผ่านไปทิศทางใดมักได้ยินบ่าวไพร่กล่าวยกย่อง สรรเสริญฮูหยินน้อยแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังชมชอบนาง
"..."หนึ่งกับสองกองกำลังหลิ่งหลินทำเหมือนไม่ใส่ใจกับอาการเหล่มองอย่างหาเรื่องของยอดสี่องครักษ์ ทั้งที่ภายในใจกำลังหัวเราะเยาะองครักษ์ทั้งสี่อย่างบ้าคลั่ง
กลับเข้ามาในเรือนพักของชิงหลินและสามี
"หือ?..เหตุใดจึงกล่าวหาพี่เช่นนั้นเล่า?"มู่หลิ่งเหวินตัดพ้อสองมือรวบเอวคอดกิ่วมาวางบนท่อนขา
"อุ๊ย..คุยดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องอุ้มข้ามานั่งบนตักเลย"ประท้วงเสียงหลงใบหน้าแดงเรื่อ สองมือน้อยพยายามงัดแกะมือกาวของสามี ที่วนเวียนอยู่แถวหน้าท้องแบนราบจนรู้สึกปั่วป่วนไปหมด
เสี่ยวอี้ เสี่ยวสุ่ยถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าทั้งสองแดงเรื่อด้วยความขัดเขินกับภาพการแสดงความรักที่เปิดเผยของท่านแม่ทัพที่มีต่อฮูหยินน้อย
"เอ่อ..ท่านแม่ทัพกับฮูหยินน้อยต้องการพักผ่อน คงต้องรบกวนทุกท่านถอยห่างออกจากประตูอีกสักเล็กน้อย...เจ้าค่ะ"เสี่ยวอี้ข่มกลั้นความขัดเขินกล่าวกับบุรุษทั้งหกด้วยเสียงสั่นเครือมือเรียวหยาบเล็กน้อยถูไถกันไปมาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าน่ารักที่ก้มต่ำแดงก่ำราวกับผลอิงเถา
บุรุษทั้งหกทำตามโดยไร้ข้อโต้แย้ง ถอยห่างจากประตูไปอีกสิบก้าว ใบหน้าของแต่ละคนดูเรียบเฉยราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากสังเกตดูให้ดีๆก็จะเห็นริ้วแดงจางๆจากใบหน้าเรียบเฉยนั้น
คนที่อยู่ในห้องยกยิ้มพอใจกับความรู้งานของสาวใช้
"ยิ้มอะไรเจ้าคะ?"ชิงหลินถามสามี ด้วยไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธจึงไม่ได้ยินที่สาวใช้ของตนพูดกับบุรุษทั้งหก หากรู้มีหวังเสี่ยวอี้คงถูกบิดเนื้อเขียวเป็นแน่
"....พี่...."มือหนาจับไหล่ทั้งสองข้างของภรรยาที่นั่งตะแคงข้างบนท่อนขาแกร่งให้หันมาทางตน ด้วยความสูงที่ต่างกันทำให้ยามนี้ใบหน้าจิ้มลิ้มเสมอกับใบหน้าหล่อเหลาพอดี ดวงตาคมทรงเสน่ห์เป็นประกายหวานเยิ้ม ไหวระริกเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
"เอ่อ...อื้อ....อืมมมม"เพียงแค่คิดจะพูดก็ถูกปิดปากด้วยริมฝีปากอุ่นชื้นของสามีแล้ว จุมพิตที่แสนหวานชวนให้ใจละลาย ราวกับช็อกโกแลตที่โดนความร้อน ยอมรับว่าชอบรสจูบของสามีมากจนเก็บเอาไปฝันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นความลับตลอดไป
-----------
วันที่สิบเดือนสิบ
วันนี้เป็นวันที่ชิงหลินและสามีต้องเข้าเฝ้าฉีเฉินหลงฮ่องเต้ เป็นการส่วนพระองค์ ณ ตำหนักฟ้าทรงธรรมด้วยเรื่องใดนั้นไม่มีผู้ใดรู้ ดังนั้น ทุกอย่างจึงต้องพร้อมรวมไปถึงการแต่งกายด้วย สองสาวใช้จึงช่วยฮูหยินน้อยแต่งตัวอย่างพิถีพิถันกว่าทุกวัน
เมื่อทุกอย่างพร้อมสองสาวใช้ประคองชิงหลินออกมาก็พบเข้ากับสามียืนหลังตรงสองมือประสานกันอยู่ข้างหลัง ในชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้ม เสริมให้บุคลิกที่สง่างามองอาจดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีกหลายส่วน นางมองสามีตาเป็นประกาย ใจดวงน้อยเต้นแรงเต็มไปด้วยความชื่นชมและหลงใหล เดี๋ยวนะ... หลงใหลงั้นหรือ? มะไม่มั้ง? เราเนี่ยนะหลงใหลสามีตัวเอง? ชิงหลินรีบสลัดความคิดเพ้อเจ้อออกไปจากสมอง โดยไม่รู้เลยว่า ทุกการกระทำขออยู่ในสายตาของสามีอยู่ตลอดไม่มีตกหล่นเลยสักนิด
"พี่รูปงาม ถึงขนาดทำเจ้าน้ำลายหกเลยหรือ? หึๆ"แม่ทัพหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใช้นิ้วหัวแม่มือไล้มุมปากอวบอิ่มฉ่ำน้ำสีชมพูอ่อนราวกับมีน้ำลายจริงๆ แล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำเอาคนฟังอยากเอาศีรษะโขกกำแพงหนีความอับอาย
"ขะข้าเปล่า...ไปกันได้หรือยังเจ้าคะ?"รีบเบี่ยงกายหลบ ยกมือขึ้นแตะมุมปากอีกข้าง แต่ก็ไม่พบน้ำลายดังที่เขากล่าวหา ก็รู้ได้ทันทีว่าโดนแกล้งเสียแล้ว จึงหันไปถลึงตาใส่เขาอย่างเอาเรื่องแล้วสะบัดก้นเดินไปขึ้นรถม้าไม่รอเขามีสี่สหายน้อยวิ่งตามไปติดๆ
"หึๆ"แม่ทัพหนุ่มหัวเราะชอบใจ ก้าวเดินตามนางไปโดยมีกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบนาย และสี่องครักษ์ ติดตามไปคุ้มกันความปลอดภัยของผู้เป็นนายทั้งสองอย่างใกล้ชิด