มารุสเร้นกายไปตามตรอก เขาใช้เวลานานกว่าจะพบกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เขาได้รับคำสั่งจากนายเหนือชีวิตให้มาตามหา
" ฮาเหม็ด..." เขาเรียกชายฉกรรจ์ที่นั่งดื่มกีร์อย่างเมามันส์ กับพรรคพวกอีกสามสี่คน
" ใครวะ!!!" เขาหันมาทำตาขวางใส่คนที่บังอาจมาขัดขวางเวลาดื่มของเขา ร่างสูงใหญ่ในชุดคุมสีดำสนิทกลืนไปกับมุมมืดของตรอกอันเป็นที่เร้นกายของพวกเขา
" ฉันเอง....มารุส" เขาค่อยๆก้าวเข้ามาไกล้ๆแสงไฟจากตะเกียง ใบหน้าทมึนของเขาทำเอากลุ่มชายฉกรรจ์นั้นได้ยิ้มออก
" แกเองหรอกรึที่ตามหาพวกฉันทั่วฮาลันน่าร์" เขาพูด พร้อมกับลุกขึ้นเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร
" ฉันมีสินค้ามาเสนอขาย...คนต่างแดน...ความงามเป็นเริส...ฉันว่าคงได้ราคาดีไม่น้อย" มารุสยื่นภาพที่เขาเก็บมันไว้ในกระเป๋าให้แก่ฮาเหม็ด แสงสลัวๆสาดส่องให้เห็นภาพของหญิงสาว ที่งดงามราวกับฝัน
" ฉันรู้จักนาง...คนของ ไลอาร์ แกสติดีอยู่หรือเปล่ามารุส...ไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนของไลอาร์ " เขาโยนกระดาษนั้นคืนให้กับผู้มาเยือน ใช่ว่าเขาจะไม่อยากได้นางเสียหน่อยแต่เมื่อเขาสืบดูรู้แล้วว่าแม่หญิงต่างแดนคนนั้นเป็นใครเขากลับต้องเลิกล้มแผนการทั้งหมดของเขาในทันทีทันใด เนื่องจากพิจารณาดูแล้วแม้แต่เด็กน้อยยะงรู้เลยว่ามันไม่คุ้มค่าแน่นอน
" นอกจากพวกนายจะได้เงินจากการขายนางแล้ว...พวกนายจะได้เงินจากเจ้านายของฉันด้วย " มารุสถือไพ่เหนือกว่า เขาหยิบเช็คเงินสดที่มีมูลค่าหลายล้านโบกสบัดไปมาเพื่อหลอกล่อชายฉกรรจ์ตรงหน้า
" ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าหากฉันมีอันตรายฉันจะซัดทอดพวกนายทันที!!!" ฮาเหม็ด ขู่ เขาพึงใจตัวเลขบนเช็คนั้นเป็นอย่างมาก แค่แม่หญิงคนเดียวแต่คุ้มเสียยิ่งกว่าเสี่ยงแบบนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย ลูกน้องของเขายกเหล้ากีร์มาให้ทั้งคู่ได้ดื่มเพื่อเป็นข้อตกลงแก่กันและกัน
" ปัญหามีอีกอย่าง...แม่หญิงนางไม่ใค่รจะออกจากคฤหาสน์เท่าไหร่นัก...คงต้องรอจนกว่านางจะออกมาตลาดหนหน้าซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...แกอย่ามาเร่งเชียว" เขาบอกพลางกระดกเหล้ากีร์ที่หมักมาอย่างยาวนานจนดีกรีนั้นสูงและรสชาติดีซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของฮาลัน จึงไม่แปลกที่ไม่นานนักพวกเขาก็เมามายกันจนดึกดื่น
มารุส ปลีกกายออกจากวงสนทนาในแก้วที่สามเขาเดินทางอย่างเงียบเชียบเพื่อไปพบกับเจ้านายของตน สวนหลังคฤหาสน์กลางหาวของตระกูลมุสตาฟนั้น เป็นเส้นทางเก่าที่ไม่ค่อยมีคนใช้สอยมากนัก จึงเหมาะที่จะใข้เป็นเส้นทางลับที่เหล่าผู้อยู่นอกกฏหมานชอบใช้กัน
ซูซี่ เดินวนเวียนไปมาที่ห้องโถงใหญ่ด้วยความร้อนใจ เธอใช้วิธีหลากหลายเพื่อกำจัดอัญชันไปให้พ้นทาง แต่ทุกครั้งก็ถูกขัดขวางด้วยคนของไลอาร์ ความโกรธแค้นของเธอนั้นทำให้ตามืดบอด ยอมลงทุนเสียเงินทองหลายล้านเพื่อจ้าง กลุ่มโจรค้าทาสให้ลักพาตัวอัญชันไปขายให้พ้นๆทาง
" นายหญิง..." มารุสโผล่ออกมาจากเงามืดในมุมที่อับสายตาของคฤหาสน์ ซูซี่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงของลูกน้องของเธอ
" สำเร็จไหม??" เธอถามอย่างตื่นเต้น
" พวกฮาเหม็ดรับงานนี้ครับนายหญิง" เขาตอบ
" ดี!!!...นายไปได้แล้ว " ซูซี่แทบจะกระโดดโล้ดเต้นหญิงสาวเดินตัวปลิวรีบขึ้นห้องนอนของตน หัวใจของเธอเต้นระรัวเหมือนระฆังที่ถูกสั่น ความยินดีแล่นไปทั่วร่างจนเธอเก็บอาการแทบไม่อยู่ หลายเดือนมานี้ ทั้งนำเรื่องที่เธอสืบได้ไปบอกแก่องค์สุลต่าน หรือแม้แต่สร้างเรื่องเท็จต่างๆให้มหาราณีทราบ แต่เจ้าชายนอกคอกเช่นไลอาร์ กลับไม่ได้ทำให้พวกท่านกระตือรือล้นที่จะจัดการเรื่องอัญชัน ถึงจะดูโมโหทุกครั้งที่เธอได้รายงานเรื่องราวต่างๆ ทว่าคำตอบของพวกท่านก็แค่เพียงจะจัดการให้แม่หญิงคนนั้นเป็นเพียงนางบำเรอเท่านั้น ซูซี่ไม่อยากเห็นหนามที่ทิ่มตำใจอย่างหญิงต่างแดน เธอไม่อยากให้ใครมาปันมรดกจากเธอไป และนั่นทำให้เธอขาดสติสัมปชันญะที่ดีไปจนกระทั่งคิดจะขายคนๆหนึ่งเป็นทาสไป
ทุกๆวันเงินเดือนออก อัญชันจะรู้สึกดีที่สุด เธอจะรีบเข้าในเมืองเพื่อซื้อของต่างๆส่งไปให้บิดา รวมถึงโอนเงินไปให้ทางบ้านด้วย การที่นานๆจะได้มาชอปปิ้งเพื่อสนองความต้องการของตนเองบ้างมันเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุด เมื่อก่อนจะใช้เงินแต่ละบาทยังคิดแล้วคิดอีกจนหัวแทบจะระเบิดแต่มาคราวนี้ ต่อให้ใช้เงินมือเติบยังไงเธอก็ยังเหลือกินเหลือใช้อยู่ดี อีกเหตุผลหนึ่งคือวันที่เธอได้เข้าในเมืองคือวันที่เธอได้โทรคุยหาเพื่อนๆที่แสนคิดถึงแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆแก่กันจนเกือบหมดเวลาทั้งวัน วันนี้ก็เป็นอีกวันที่หญิงสาวกลับมาที่คฤหาสน์ด้วยความสุข พร้อมชายหนุ่นร่างสูงกำยำที่นั่งรอเธออยู่ที่ห้องรับแขกดั่งเช่นทุกที
" วันนี้ได้อะไรมาบ้างล่ะอัญ...อารมณ์ดีมาเชียว " เขาทักหญิงสาวที่เดินราวกับเต้นระบำเข้ามา
" พี่!!! กลับมาแล้วเหรอคะ" อัญชันรีบเข้าไปหาเขาทันทีที่ได้เห็นร่างสูงนั้นนั่งรอเธออยู่
" กลับมาแล้วครับ...มานี่สิอัญ " ไลอาร์ตบเบาะโซฟานุ่มๆข้างๆเขาเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลงข้างๆเขา
" อีกเดี๋ยวพี่คุณก็จะกลับมาแล้วนะพร้อมกับหมอจิตเวชที่เก่งที่สุด...ต่อไปนี้คุณจะได้ไม่ฝันร้ายอีก" เขาบอกเรื่องที่น่ายินดีแก่หญิงสาว อัญชันฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ราวกับพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณของเธอนั้นทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมไปทั้งใจจริงๆ
" จริงเหรอคะ!!!...เมื่อกี้โทรหาพี่ดาวไม่เห็นบอกเลยว่าจะกลับมา" อัญชันรู้สึกดีใจจนเนื่อเต้นร่างบางเผลอตัวเอี้ยวกายไปหอมแก้สากของชายหนุ่มเพื่อเป็นการตอบแทน การกระทำนั้นทำเอาเขาตกตะลึงไปชั่วขณะแต่ก็ ฉีกยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ
" ครับ....คุณอยู่แต่ในคฤหาสน์แล้วก็ในเมือง...เบื่อไหมครับ " เขาถามเธอพลางขยับกายอย่างยากลำบากเพราะตอนนี้มังกรของเขาพร้อมผงาดอีกแล้วเพียงแค่เขานั้นถูกายสาวสัมผัสเพียงแค่โฉบผ่าน
" เบื่อสิคะ...ใครย้างจะไม่เบื่อ" อัญชันพูดพลางหยิบองุ่นขึ้นมาทานแก้ขัดเขินที่เธอทำให้เขามองเธอราวกับจะกลืนกินเธอไปทั้งตัว
" งั้นพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปเที่ยวที่เหมืองนะ...ที่นั่นดาวสวยมากกว่าที่นี่เสียอีก" เขาพูด
" จริงเหรอคะ!!! " ดวงตางามส่องประกายวาบวับดุจดวงดารา อัญชันรู้สึกดีใจมากขึ้นกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่าเธอขอตัวไปอาบน้ำเผลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงมาทานอาหารค่ำกับเขา
" เวลานายหญิงมีความสุขแล้วทั้งคฤหาสน์ก็เหมือนมีแต่ความสุขนะครับนายท่าน" เซนซิลพูด โดยมีเอเลนเเละเรนดอลคอยพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างๆ
" พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปชมเหมือง...คงต้องเริ่มสอนงานเธอในฐานะนายหญิงจริงๆจังเสียที อิลลา เตรียมงานไปถึงไหนแล้ว " เขาถามหญิงชราที่ดูเหน็ดเหนื่อยแต่เปี่ยมความสุขตรงมุมห้อง
" เกือบ60%แล้วค่ะ อิลลาอยากให้งานออกมางดงามและสมเกียตริที่สุดค่ะ..คาดว่าจนกว่านายท่านและนายหญิงกลับมา คงจะเตรียมการเสร็จสิ้นพอดี" หญิงชรารายงาน
" ดี...ผมอยากให้งานออกมาเพอร์เฟคที่สุด...เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาหมิ่นเกียตรินายหญิงได้" เขาพูด
ดวงดาราพราวฟ้าเป็นประกายราวกับเพชรเม็ดงามที่ประดับอยู่บนผืนผ้าสีกำมะหยี่สีดำสนิท ค่ำคืนนี้ชายหนุ่มหญิงสาวก็ยังคงตระกองกอดกันอย่างดูดดื่มเช่นเดิม เพียงแต่ความรู้สึกของเขาและเธอกลับมีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆจนเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าคนรู้ใจมากกว่าคนรักและมากกว่าคู่นอน ไลอาร์จุมพิตหน้าผากมนอย่างแนบแน่นและเนิ่นนานเขาถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเธอลงไปในการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยความรักอันหวานซึ้งมิรู้คลายจวบจนดวงตะวันของรุ่งอรุณของอีกวันได้โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับผืนทะเลทรายขึ้นมา
อัญชันทานข้าวได้เยอะมากขึ้นกว่าเดิมมากอาหารทุกจานดูอร่อยจนเธอรู้สึกแน่นท้องไปหมด พอตะวันเริ่มบ่ายขึ้นท้องฟ้าขบวนรถคันสีดำสนิทก็เริ่มล้อหมุนมุ่งสู่ทะเลทรายอันกว้างไกลไปยังทิศเหนือของคฤหาสน์อีกหลายร้อยกิโลเมตรซึ่งกินเวลาไปเกือบๆสามชั่วโมงกว่าโดยหยุดพักเพียงแค่เติมน้ำมันรถตามโอเอซิสเท่านั้น บางครั้งก็พบเจอกับพายุทรายที่ไม่รุนแรงมากแต่เพราะ รถที่ถูกดัดแปลงมาแบบพิเศษนั้นก็แกร่งพอที่จะต้านทานพายุทรายเอาไว้ได้บ้าง เมื่อพายุสงบลงขบวนรถนั้นก็เดินทางต่อไปในที่สุดอัญชันก็เห็นอาคารที่ปั้นด้วยดินดูแปลกตาใกล้ๆกับหน้าผาสูงชัน
" ตรงนั้นเหรอคะ...เหมืองที่พี่บอก" อัญชันมองถาม เธอเห็น สิ่งก่อสร้างที่ทำจากดินปั้นเป็นอาคารขนาดสองชั้นดูกลมกลืนไปกับผืนทรายและหน้าผา หลังคาทำจากไม้และดินดูเหมือนที่อัญชันเคยเห็นในทีวีบ่อยๆ เธอรู้ว่านั่นเป็นบ้านดินที่ขึ้นชื่อในแถบทะเลทราย และแพร่หลายในแถบทะเลทรายอาหรับเพราะมันจะต้านทานพายุทรายที่แปรปรวนง่ายพอๆกับพายุในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่