webnovel

ตอนที่ 001

《我亲爱的僵尸先生》 作者:三元玄幻

“รักวุ่นวายกับนายผีดิบ” โดย ซานหยวนเสวียนห้วน

ตอนที่ 1 หมู่บ้านแห่งนั้น

ฝนที่ตกอยู่นั้นค่อย ๆ หยุดลง ท้องฟ้ายังคงปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำสนิท ชั้นเมฆสีดำทะมึนพวกนั้นเริ่มซ้อนชิดติดกันขึ้นมา ราวกับว่าจะรวมท้องฟ้านี้ให้กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อนเดียวกัน

ทางเดินเล็ก ๆ กลางป่าที่ไม่มีแม้แต่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา ทำให้ยิ่งดูเหมือนจะมืดลงกว่าเดิมเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงฤดูร้อนที่แสนร้อนระอุ แต่กลับยังคงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกเหล่านั้นรายล้อมอยู่รอบ ๆ

หลังจากผ่านถนนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโคลนมาอย่างทุลักทุเลตลอดทาง ฝ่าดงป่าที่ขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ และมองเห็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอย่างเลือนราง เว่ยเจี้ยนกั๋วมั่นใจว่า สุดท้ายตนก็ได้ขับรถมาผิดทางจนได้ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ณ เวลานี้ พวกเขาก็ควรที่จะอยู่บนทางด่วน แทนที่จะมาอยู่บนถนนของหมู่บ้านที่ขรุขระแบบนี้ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามองไม่เห็นแม้แต่หมู่บ้านที่ไหนสักแห่งเลย

ขณะที่เลี้ยวรถเข้าไปยังปากทางถนน ไฟหน้ารถก็ได้สาดส่องไปที่ป้ายหน้าหมู่บ้าน ป้ายหมู่บ้านสีดำเข้มสะท้อนแสงสีเงินแปลกประหลาดออกมา เว่ยเจี้ยนกั๋วมองเห็นตัวอักษรสามตัว ปรากฏอยู่บนป้ายว่า “ว่างยาชุน (หมู่บ้านมองอีกา)”

ตัวอักษรสีแดงเปียกชื้นอยู่ท่ามกลางสายฝน สีแดงสดของมันดูราวกับเลือดสดชวนติดตาที่กำลังไหลเจิ่งนองอยู่

ผู้ช่วยจางที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับเริ่มสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล จึงถามขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “คุณเว่ยคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ตอนนี้พวกเรามาถึงที่ไหนกันแล้ว ? ”

เว่ยเจี้ยนกั๋วยิ้มขึ้นอย่างเจื่อน ๆ “เหมือนว่าพวกเราจะขับรถมาผิดทางซะแล้วล่ะ”

ผู้ช่วยจางตกใจเป็นอย่างมาก “มาผิดทางหรือคะ ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกัน ? หรือว่าเราต้องรีบถอยรถกลับไปดีคะ ?”

เว่ยเจี้ยนกั๋วมองเข็มบนหน้าปัดน้ำมัน ก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา “เกรงว่าน้ำมันรถเรามันมีไม่พอซะแล้วสิ”

ผู้ช่วยจางหันหลังจ้องไปทางพวกเด็กนักศึกษาบนรถที่กำลังง่วงเหงาหาวนอนอยู่ และเริ่มรู้สึกที่จะอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดีคะ ? ”

“คงทำได้เพียงพักอยู่ที่หมู่บ้านข้างหน้านี้สักคืนนึง พรุ่งนี้ค่อยหาวิธีแก้ก็แล้วกัน” นอกจากวิธีนี้แล้ว เว่ยเจี้ยนกั๋วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเช่นกัน หรือว่าพวกเขาจำเป็นต้องพานักศึกษาที่เปียกฝนกว่าสามสิบคนออกมาเดินเท้ากันทั้งคืนอย่างนั้นหรือ ?

เว่ยเจี้ยนกั๋วเงยหน้ามองเมฆสีดำทะมึนก้อนนั้น แล้วแอบก่นด่าในใจ “ไอ้ฝนเวรเอ๊ย ! จะตกไปถึงเมื่อไหร่กัน ? กะจะตกให้ฟ้าถล่มเลยรึไงเนี่ย ! ”

นอกจากเขาแล้ว บนรถคันนี้ต่างเป็นกลุ่มนักศึกษาที่เหมารถกลับบ้านหลังจากปิดเทอมฤดูร้อน และยังมีผู้ช่วยศาสตราจารย์จางลี่ที่พึ่งจบการศึกษาเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย ตามกำหนดการเดิมนั้น พวกเขาจะออกเดินทางในตอนเช้าแล้วตรงดิ่งไปยังทางด่วนจนถึงเวลาพักกลางวัน ใช้เวลาไม่ถึงหกชั่วโมงก็กลับมาถึงแล้ว แต่พวกเขากลับคาดไม่ถึงว่า ด้วยเหตุพายุฝนที่ตกหนักติดต่อกันมาหลายสัปดาห์ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำข้างทางด่วนจึงเลยระดับแจ้งเตือน ทำให้ทางด่วนเส้นนั้นถูกปิดลง เขาเลยจำเป็นต้องเลี่ยงไปใช้ถนนที่เป็นถนนเส้นเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมไปแล้วแทน

ตามเส้นทางที่เขาจำได้นั้น เมื่อขับรถเลียบถนนเก่าไปตลอดทางแล้ว ก็ควรจะมาถึงทางหลวงก่อนสี่โมงเย็น และใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วโมงก็กลับถึงเมืองตงไห่ แต่ตอนนี้เส้นทางกลับผิดไปจากที่คาดไว้ แม้แต่ตัวของเขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาขับรถมาผิดทางตั้งแต่เมื่อไหร่ และที่ยุ่งยากไปกว่านั้นคือ เขาขับรถบนทางมาเกือบทั้งวัน และน้ำมันก็ใกล้จะหมดแล้ว เมืองทุรกันดารเช่นนี้ แม้แต่ปั๊มน้ำมันสักแห่งก็แทบจะไม่มีเลย

เมื่อผู้ช่วยจางบอกพวกนักศึกษาว่า จำเป็นจะต้องพักอยู่ในหมู่บ้านนี้หนึ่งคืน ภายในรถก็เริ่มวุ่นวายโกลาหลขึ้นมา นักศึกษาแทบทุกคนลุกขึ้นมามาประท้วง เพราะพวกเค้านั่งรถกันมาเกือบทั้งวัน แต่ดันกลับบ้านไม่ได้ ทำให้ทุกคนล้วนไม่พอใจ

นักศึกษาบางคนวิ่งไปที่หน้าประตูรถแล้วออกแรงทุบประตูบอกให้เว่ยเจี้ยนกั๋วหยุดรถลง “หยุดรถ ! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ! ปล่อยพวกเราลงไปเถอะ !”

จางลี่รีบหันตัวไปเตือน “นักศึกษาทุกคน ใจเย็น ๆ ก่อน แล้วฟังฉันที่พูด ! ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ คือว่าคุณเว่ยขับรถมาผิดทาง และตอนนี้ก็ไม่รู้ถ้ากลับไปที่เดิมจะต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ อีกอย่างหนึ่ง น้ำมันรถเราก็มีไม่พอแล้วด้วย ขืนขับต่อไปอีกครึ่งทางรถอาจจะต้องหยุดลงกลางทางได้ แบบนั้นจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้เหรอ ? เพราะฉะนั้นทุกคนต้องฟังคำแนะนำจากคุณเว่ย นอนพักที่หมู่บ้านหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยรีบหาทางออกไปจากที่นี่ก็แล้วกันนะ”

“ไม่มีน้ำมันแล้วจะไปต่อได้ยังไงกัน ! ” เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มนักศึกษานั้นก็มีคนที่ไม่เชื่อคำพูดนั้นอยู่ คนที่พูดประโยคนั้นก็คือนักศึกษาชายที่นำเพื่อนของเขาให้ลงจากรถนั่นเอง ตอนที่อยู่บนรถนั้นตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าบ่นไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว ตอนนี้เมื่อรู้ว่ากลับเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เขาเตะไปที่ประตูรถอย่างรุนแรง “เปิดนะเว้ย ! ปล่อยฉันลงสิวะ ! ฉันจะเดินกลับเอง !”

“หวังจวิ้น ช่างมันเถอะน่า ! ” เพื่อนอีกคนรั้งตัวเขาไว้ “เมืองรกร้างแบบนี้ นายจะไปที่ไหนได้ ?”

“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลยล่ะ ? ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ก็เริ่มลุกขึ้นท้วงด้วยเช่นเดียวกัน “แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี แล้วอย่างนี้จะติดต่อไปที่บ้านได้ยังไง ? ”

จางลี่ก็ถามเว่ยเจี้ยนกั๋วอย่างจนปัญญาเช่นเดียวกัน “คุณเว่ยคะ ไม่มีทางอื่นแล้วจริง ๆ เหรอคะ ? ”

ชัดเจนว่าเว่ยเจี้ยนกั๋วไม่เต็มใจนักที่จะขับรถกลับไปทางเดิมอีก “ผู้ช่วยจาง คุณก็เห็นสภาพอากาศตอนนี้แล้วนี่นา ขืนรออีกหน่อยฝนต้องตกมาอีกแน่ ๆ ขับรถฝ่าฝนตอนกลางคืนยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ สู้ไปถามคนในหมู่บ้านเสียจะดีกว่า ดูว่าพวกเขาจะหาทางช่วยพวกเราได้ไหม”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่านักศึกษาก็ต่างทำอะไรไม่ได้ นี่เราเดินกลับไปก็ไม่ได้แล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ? ตอนนี้แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ ที่นี่ก็แสนจะเปล่าเปลี่ยว แถมยังต้องมาเจอพายุฝนอีก พอจะหลบฝนก็ไม่มีที่จะให้หลบด้วย

บ่นกันไปอีกสักพัก สุดท้ายก็ทำได้เพียงแต่อยู่บนรถต่อไป

ถนนนี้เป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้เดินทางไม่ค่อยสะดวกนัก รถของเว่ยเจี้ยนกั๋วขับต่อไปอย่างระมัดระวัง และแล้วในที่สุดหมู่บ้านก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า บ้านเก่า ๆ สีดำมืดแต่ละหลังนั้นบางส่วนเริ่มที่จะปรักหักพังลง

ระหว่างที่ผ่านต้นหวายเก่าแก่หน้าปากทางหมู่บ้านเข้ามา ทันใดนั้นเองก็มีฝูงนกร้องเสียงระงมไปทั่ว เว่ยเจี้ยนกั๋วเพิ่งพบว่าบนต้นไม้นั้นมีอีกาเกาะอยู่เต็มไปหมด ในใจของเขารู้สึกหนาวสั่นไปเสียทั้งตัว เต็มไปด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก

นักศึกษาที่อยู่บนรถก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดอยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันหยุดส่งเสียง เมื่อมองจากทางหน้าต่างทั้งสองฝั่งออกไปข้างนอก บริเวณสองฟากฝั่งของถนนล้วนเต็มไปด้วยไม้ไผ่ที่ขึ้นอยู่อย่างสะเปะสะปะ กำลังพัดอ่อนไหวอยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น

ดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านรู้สึกไม่ค่อยอยากที่จะต้อนรับแขกผู้มาเยือนกลุ่มนี้สักเท่าไหร่นัก บางคนถึงกลับอยากจะขับไล่ออกไปเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นเว่ยเจี้ยนกั๋วกับผู้ช่วยจางที่ต้องคอยเจรจาชักแม่น้ำทั้งห้า อีกทั้งยังต้องให้เงินกับพวกเขาอีก จนผู้ใหญ่บ้านต้องฝืนใจรับพวกเขาเข้ามาพักในหมู่บ้านอย่างเสียไม่ได้ แต่ทว่าบ้านในหมู่บ้านนั้นล้วนทรุดโทรมและผุพังลงอย่างสิ้นเชิง ไม่มีบ้านหลังไหนที่ยอมให้พวกเขาเข้าพักอาศัย มีเพียงแต่โกดังเก็บข้าวเก่า ๆ ด้านหลังหมู่บ้านที่ยังคงว่างอยู่ แต่กลับอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น

ผู้ใหญ่บ้านได้ยกหม้อใบใหญ่ที่ใช้สำหรับเทศกาลจากบ้านของพวกเขาใส่บรรจุอาหารมาให้กับเหล่าแขกผู้มาเยือน แม้ว่าแขกเหล่านั้นจะมีสีหน้าที่ไม่รู้สึกอยากอาหารสักเท่าไหร่ แต่อาหารป่าที่ผู้ใหญ่บ้านจัดมาให้นั้นล้วนทำให้เหล่านักศึกษากินกันอย่างเอร็ดอร่อย อารมณ์ก็พลอยดีขึ้นไม่น้อย และเริ่มที่จะกลับมาพูดคุยส่งเสียงหัวเราะเหมือนเดิมได้แล้ว

ในใจของจางลี่รู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังอดที่จะรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อยไม่ได้ ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลยแม้แต่นิดเดียว อยากจะติดต่อกับคนที่บ้านก็ทำไม่ได้ เธอตกลงกับพวกเด็ก ๆ ไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องได้กลับบ้าน แต่กลับต้องทำให้นักศึกษาหลายสิบคนขาดการติดต่อกับที่บ้าน เกรงว่าที่บ้านของพวกเขาคงต้องเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเลย ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้เช้า เธอต้องคิดหาทางติดต่อกับผู้ปกครองให้ได้ถึงจะดีที่สุด

ผู้ใหญ่บ้านเดินทอดน่องเข้ามาอีกครั้ง เมื่อมองไปยังเหล่านักศึกษาที่ยังคงอยู่แถวบริเวณด้านหน้า โกดัง สีหน้าก็ฉายแววไม่ดีเป็นอย่างมาก ตะโกนบอกพวกเขาเสียงดัง “เอาล่ะ ! ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว รีบกลับเข้าไปข้างในได้แล้ว เลิกเดินเล่นอยู่ข้างนอกซะ จำไว้ให้ดีตอนกลางคืนให้ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย ห้ามออกมาข้างนอกเด็ดขาด ! ก่อนที่ฟ้าจะสาง ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามเปิดประตูหน้าต่างเด็ดขาด ! และห้ามทุกคนออกไปข้างนอก ! เข้าใจแล้วหรือยัง ? ”

จางลี่ได้ยินนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าคำพูดของผู้ใหญ่บ้านนั้นฟังดูแปลกยิ่งนัก จึงได้พูดตอบกลับไป “ที่หมู่บ้านอากาศร้อนขนาดนี้ แล้วยังต้องปิดประตูหน้าต่าง แบบนี้จะไม่รู้สึกอึดอัดไปหน่อยเหรอคะ ?”

ผู้ใหญ่บ้านจ้องมองไปยังเธอ ภายในดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นแฝงไปด้วยความหมายที่ยากเกินจะคาดเดาออกมาเล็กน้อย เขาจ้องเขม็งแล้วพูดอกมาช้า ๆ “ถ้ายังไม่อยากตาย ก็อย่าเปิดหน้าต่าง และห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด !”