ฟ้าดินหยินหยาง หมุนเวียนไม่จบสิ้น เหมือนกับทุกสิ่งที่เกิดมาล้วนหมุนมาบรรจบกันในสักทางหนึ่ง
คำกล่าวนี้โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้มานาวนานนับพันปีแล้ว ซึ่งยามนี้เจ้าของร่างหนึ่งก็คิดว่าคำกล่าวนี้ไม่มีผิด
"ส่งมอบกุญแจคัมภีร์สวรรค์ออกมา หวังเฟิงหวั่น"
ท่ามกลางเสียงลมกรรโซกร่างในชุดดำสนิทที่ใบหน้าถูกบดบังไปด้วยผ้าผืนหนึ่ง ร่างนี้ยืนอยู่บนอากาศอย่างมั่นคงราวกับพันภูผาหมื่นมหานทีก็ไม่อาจยังยืนได้เท่ากับเจ้าของร่างนี้อีกแล้ว
กลับกันยามนี้ร่างของชายขราที่ยืนประจัดหน้ากลับดูอนาถาราวกับสุนับไร้ทางหลบหนีอย่างไร้อย่างนั้น ยิ่งใบหน้าที่อ่อนโยนนั่นบัดนี้ขาวซีดเหมือนกระดาษไม่ผิดเพี้ยน
"กลับเจ้าที่แม้แต่ใบหน้าจริงของตนเองยังไม่ยอมเผยออกมามีหรือที่ข้าจะต้องรับฟัง!"
หวังเฟิ่งหวังตอบกลับเสียงกร้าวแม้จะมีสายลมกระโซกหรือสานฝนกระหน่ำ น้ำเสียงของมันก็ยังคงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวดุจดั่งขุนเขาที่ไม่มีวันยอมก้มหัวให้ใครทั้งนั้นอยู่ดี
ร่างในชุดขาวพอได้ยินคำตอบ แววความโกรธเกรี้ยวก็ปรากฏอยู่ในแววตา สองมือกุมกระบี่หยกเทาในมือเริ่มที่จะเปล่งประกายช้าๆ ท่ามกลางความมืดจากเมฆที่บดบังท้องฟ้า แสงสว่างจากกระบี่เล่มนี้ดูเด่นสะดุดตาแพรวพราว
"ดี เข่นนั้นวันนี้ฆ่าก็จะเป็นคนช่วยยุติอธรรมหนึ่งในแผ่นดิน โดยการสังหารมารร้ายอย่างเจ้า"
กล่าวเสียงสะท้านจบพลังผันผวนรอบกายของมันก็พลันทะลักออกมาจากร่าง จนแม้จะยืนอยู่ห่างไกลหวังเฟิงหวั่นก็ยังสัมผัสได้ว่าพลังญาณตบะของชายผู้นี้แกร่งกล้าต้องเป็นหนึ่งในผู้กล้าคนหนึ่งในขั้นที่สามแน่ ใบหน้าจึงยิ่งซีดเผือกยิ่งขึ้น
ที่ที่มันอยู่คือชั้นที่ห้าของศิขรินทร์ห้าชั้นฟ้า หรือก็คือชั้นที่อ่อนแอที่สุดและอาณาเขตใหญ่ที่สุดในบรรดาชั้นทั้งหมด ตอนแรกเพราะกลัวจะเป็นจุดเด่นพวกมันจึงลอบสังหารอย่างลับๆแต่ดูเหมือนว่าข่าวที่กระจายออกไปจะเรียกผู้แกร่งกล้าจากชั้นบนๆลงมาเยือนเพื่อชิงสิ่งของจากตัวมันเสียแล้ว ที่หน้าตระหนกก็คือพวกมันไม่เกรงกลัวต่อสำนักธรรมอย่างสำนักคุมกฏหรือวิหารไฟศักสิทธิ์เลยแม้แต่น้อย
ดูท่าศึกครั้งนี้มันคงจะรีบเผด็จศึกก่อนที่เหล่าผูเกบ้าจากสำนักธรรมะจะลงมาเยือนดป็นแน่แท้
หวังเฟิงหวั่นยามนี้มีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นที่สุด ตนเองไม่กลัวตายแต่ตอนนี้ยังจะตายไม่ได้ ในสมองพลันคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่ลับๆ เพราะหาสู้ยื้อ ทั้งด้านร่างกายและเวลาหลบหนีเกรงว่าจะมีไม่พอ
ไม่มีเวลาขบคิดกระบี่ในมือของขายชุดขาวเปล่งแสงราวดวงดาราบัดนี้ได้หมุนวนเป็นงวงพายุขนาดสองสามจั้งสายหนึ่ง ดูก็รู้ว่าคนผู้นี้ฝึกวิชาวายุได้ถึงขั้นปาฏิหาริย์ไปแล้ว หากปะทะกันจริงๆเกรงว่าตนเองจะพ่ายแพ้ถึงหกส่วน
ไม่รอช้าหวังดฟิ่งหวังก็หยิบเอากำไลข้อมือวงหนึ่งขึ้นมา กำไลนี้มีสีสนิมแลดูโบราณครำครึแต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดยามที่มองเห็นตัวอักษรประหบาดที่สบักอยู่บนตัวกำไล
หวังเฟิงหวั่นท่องคาถา มหานทีหมื่นสาย กำไลโบราณก็พบันส่องสว่างสีทองออกมาแลดูลึกลับอย่างยิ่งจวบจนกระทั้งหวังเฟิ่งหวั่นท่องจบบท ตัวอักษรบนตัวกำไลก็พลันขยายใหญ่ขึ้นจนกระทั้งปรากฏบนอากาศที่มีขนาดใหญ่พอๆกับงวงวายุ
ชายขุดขาวได้เห็นก็อุทานออกมา
"กำไลยูไร ไฉนของของฝ่ายธรรมะถึงได้ไปอยู่กับมารเช่นเจ้าได้ "
เมื่อเห็นถึงอาวุธเวทโบราณ ชายชุดขาวก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงร้องเคียดแค้น
หวังเฟอ่งหวั่นร้องเฮอะ กล่าวเสียดสีไปว่า
"จะวิถีเต๋าธรรมะ หรือวิถีมารอธรรม หรือจะเป็นฝ่ายพุทธะ แล้วมันต่างกันตรงไหน ในเมื่อสิ่งนี้สุดท้ายก็อยู่บนมือข้าก็ใข้งานได้เช่นกัน"
สิ้นเสียงคำรามของมัน กำไลสีทองก็แผ่ขยายใหญ่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ตัวอักษรทางพุทธศาสนาสีทองอร่ามลอยออกมาตัวแล้วตัวเล่า ก่อนที่จะซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา พุ่งทะยานรับกับงวงวายุจนร่างในชุดขาวได้รับแรงกระแทกจนหน้าเปลี่ยนสีกระเด็นไปด้านหลังสองถึงสามจั้งก่อนจะคงตัวอยู่
ไม่จบแค่นั่น หวังเฟิงหวั่น มือหนึ่งใช้กำไลยูไรปะทะกับกระบี่ อีกมือหนึ่งพลันเกิดควาทผันผวนอันดับมืดลึกล้ำขึ้น ก่อนที่มันจะคลุมรอบกายไหลแพร่ซึมเข้าไปในกำไลยูไร ทำให้ตัวอักษรสีทองที่กำลังต้านรับงวงพายุแปรเปบี่ยนเป็นสีดำทมิฬ
ได้เห็นภาพตรงหน้าชายชุดขาวก็คำรามตวาดมันว่า
"ถึงกลับกล้าใช้เดรัจฉานวิชาควบคุมเวทอาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ จนแปดเปื้อน เจ้ามารร้ายวันนี้อย่าหวังว่าจะรอดไปได้"
อาจจะเป็นเพราะแรงอาฆาต งวงพายุที่ปะทะกับตัวอักษรสีดำพลันมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกเท่า ท่ามกลางใจกลางพายุกระบี่สีเทาพลันเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าพร้อมกับเสียง ซี่ๆ บ่งบอกว่า มันได้เร่งเร้าพลังญาณในร่างกายมากขึ้นไปอีกเท่าตัวแล้ว
พายุลมกระโซกจากฟากฟ้าสีดำ นำพาให้เสื้อคลุมสีขาวของหวังเฟิงหวั่นโป่งพองราวกับถูกสูบลม ดวงตาทั้งสองของมันตอนนี้ล้วนเปล่งประกายเจิดจ้า เอ่ยพึมพึมข่มขึ้นเบาๆว่า
"สมแล้วที่เป็นกระบี่เมฆาลั่น อาวุธฟ้าประทานชิ้นนี้ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันล้วนแล้วแต่ทรงอานุภาพน่าหวาดหวั่นจริงๆ!"
ไม่รอช้า หวังเฟิงหวั่นทำท่าฝ่ามืออีกหนึ่งรูปแบบ ปรากฏว่าเกิดเป็นธงสีดำสนิทปรากฏขึ้นมากลางหลัง เมื่อธงสีดำนี่ปรากฏบรรยากาศรอบด้านก็คล้ายจะเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
หวังเฟิ่งหวั่งจับธงยาวด้านนั่นก่อนที่จะควงมันอย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียว ก่อนที่เมฆพายุรอบด้านจะดำสนิทมากขึ้น ชายในชุดขาวเห็นเข่นนั่นก็เหมือน พุ่งร่างราวกับลูกธนูที่ออกจากแล่ง พุ่งเข้าปะทะกับหวังเฟิ่งหวั่นด้วยความเร็วที่น่าหวาดวั่นตามมาด้วยเสียงลมกรรโฉก งวงพายุกระบี่ที่ปะทะกับตัวอักษรสีดำพบันเกิดเสียงระเบิดดังลั่นสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินไปทั่วสารทิศ
หากมองจากภายนอกจะเห็นว่ายามนี่ภายในพายุจะมีร่างของลำแสงสีดำและเขีนสกำบังพุ่งปะทะกันอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกสองดวงกำลังห่ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง
หวังเฟิงหวั่นใช้มือข้างเดียวบังคับธงมารในมือปะทะเข้ากับกระบี่เมฆาลั่นที่กำลังส่งเสียงครืนๆราวกับฟ้าร้อง อีกมือกำไลยูไรก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้าเข้าปะทะกับสายลมกรรโฉกลดแรงปะทะไปได้ สองร่างนี้ราวกับเทพและมารเข้าห่ำหั่นกันอย่างรวดเร็วผ่านไปเพียงสามชั่วลมหายใจการปะทะไปมากกว่าห้าสิบกระบวนท่า อีกทั้งยังไม่ทีทีท่าที่จะหยุด
หากมองจากแรงปะทะทั้งสองอาจจะดูเหมือนกลับว่าฝีมือสูสีกันทว่า หวังเฟิงหวั่นกลับรู้ตัวดีว่าภายในของตนเองนี้เลือดลมกำลังปั่นป่วนมากเพียงใด เพราะบาดเจ็บจากการถูกตามล่าก่อนหน้า ส่งผลให้การปะทะกันไปเกินกระบวนท่าที่หนึ่งร้อยมือของทันก็เริ่มที่จะสั่นสะท้าน
ชายชุดขาวเห็นว่าฝ่ายตนเองได้เปรียบ สองตาก็สว่างเจิดจ้าคิดจะเผด็จศึกในทันที สองมือเรียกหากระบี่เมฆาลั่น ตัวกระบี่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าพลันพลุบโผล่มาข้างกายในทันที
ลมวายุขรอบกระบี่ราวกำลังกำลังบ้าคลั่ง เสียงครืนครามสั่นสะเทือนออกมาเป็นระรอก
หวังเฟิงหวั่นที่มีรอยบาดแลเต็มตัวเงยหน้ามองบุรุษชุดขาวสัมผัสได้ถึง การรวมตัวของพลังฟ้าดินจำนวนมากกำลังเข้าสู่ร่างของศัตรู บ่งบอกว่าชายผู้นี้กำลังใช้วิชาอภินิหารออกมาสำแดงเดชแล้ว
ดังคาด กระบี่เมฆาลั่นพุ่งทะยานเป็นแสงสีรุ้งไปบนท้องฟ้าใหญ่ ก่อนที่ปสงสว่างเจิดจ้าจะแยกตัวออกมาเป็นกระบี่สิบสองเล่ม โดยที่ตัวกระบี่หบักอยู่ตรงกลางท่ามกลามเสียงอาคมวิชาของผู้ใช้
"ฟ้าดินดลบัลดาล สรรค์วิมารฟ้าสร้างกระบี่ ก่อเกิดอภินิหารแห่งเต๋า"
หวังเฟิ่งหวั่นหน้าซีด เมื่อเห็นวิชาที่ชายตรงหน้ากำลังจะแสดงออกมามันก็จำได้ในทันที
"เคล็ดวิชา สิบสองกระบี่ทรมาณ หนึ่งกระบี่สังหาร! เจ้าเป็นคนจากสำนักหมื่นเมฆางั่นรึ!"
ไม่มีคำตอบจากชายตรงหน้าบัดนี้ภายใต้ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าแววอิดโรยก็ปรากฏชัดออกมา แต่มันก็ยังคงท่องคาถาอาคมกล่าวเสียงดังว่า
"1 กระบี่ทรมาณ กระบี่ที่ห้า กระบี่พันธนาการสวรรค์!"
ลำแสงจากกระบี่ทั้งสิบสองบัดนี้ได้หล่อรวมกัน กลายเป็นกระบี่ห้าเล่มที่เจิดจ้าสะดุดตา ราวกับฟ้าดินกำลังร่ำรอง ปฐพีพลิกคว่ำ นี่คือเคล็ดวิชาอันดับต้นๆของสำนักหมื่นเมฆาที่มีแค่คนในสำนักเท่านั่นถึงจะฝึกปรือได้ ที่แม้แต่ยอดผู้กล้าในดินแดนก็มีจำนวนน้อยที่จะฝึกปรือสำเร็จผล
หวังเฟิ่งหวั่นมั่นใจว่าชายผู้นี่ที่คิดจะมาครอบครองคัมภีร์สวรรค์ต้องมีตำแหน่งสูงมากในสำนักเป็นแน่ ถึงได้ฝึกเคล็ดกระบี่จนสามารถพลิกฟ้าผ่าปฐพีได้จนถึงเพียงนี้
ถ้าเคล็ดวิชาอภินิหารชนิดนี้เผยออกคนจากขั้นบนต้องสังเกตเห็นแน่ เพราะอย่างนั่นชายผู้นี้ถึงคิดที่จะรีบเผด็จศึกโดยไว หวังเฟิงหวั่นคิดได้เช่นนั่นก็เก็บธงในมือ ก่อนที่จะนำเอาตำราสีดำสนิทที่มีปกราวกับถ่านออกมา โดยที่หน้าปกถูกเขียนไว้ด้วยอักษรสองคำเท่านั่นก็คือ "เกิดและตาย"
ก่อนที่12กระบี่ทรมาณหนึ่งกระบี่สังหารจะบังเกิดผลสำเร็จ หวังเฟิ่งหวังก็เริ่มต้นที่จะตอบโต้ โดยฉีกดึงกระดาษออกมาจากสมุดดำนั่นหลายแผ่น ปากท่องบทคาถามาร ปรากฏว่ากระดาษที่ถูกฉีกไปร้อยกว่าหน้านั่นจากสีน้ำตาลกลับกลายเป็นสีดำจนสิ้น ก่อนที่พวกมันจะประกอบรวมร่างกันกลายเป็นโล่สีดำสนิทที่มีดวงตาขนาดใหญ่กบิ้งกลอกอยู่ตรงกลางทำให้แลดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
โล่ยักษ์สีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นจังหวะเดียวกับที่ วิชาอภินิหารของอีกฝ่ายก็สำเร็จ ชายขุดขาวจ้องไปที่โล่ดำนั่นสองสาวตาปะทุด้วยความบ้าคลั่งนิ้วที่ชี้ขึ้นฟ้าหาตัวกระบี่พลันตวัดลงไปที่โล่ดำนั่นทันใด
"ผ่าสวรรค์!"
กรีดดดดดดด-
เสียงจองกระบี่ญาณผ่าอากาศลงมาจนแม้แต่ท้องฟ้าก็แยกออกจากกัน สายในที่ตกพลันหยุดนิ้งเบื้องหน้าของหวังเฟิงหวั่นเห็นเพียงแสงสว่างสีขาวของพลังธรรมมะกำลังพุ่งตรงเข้ามาโดยที่มีโล่สีดำขวางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง
หวังเฟิ่งหวังกู่ก้อง กระบี่และโล่พลันปะทะกันในจังหวะนั่น
ตึ้ม!
ที่ห่างไกลบนยอดของภูเขาที่ตั้งของตระกูลมู่ สมาชิกในตระกูลหลายคนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจาก ทางทิศเหนือของตระกูล สมาชิกหลายคนออกมาดูไม่เว้นแม้แต่พวกที่กำลังทดสอบเข้าสำนักใหญ่ขั้นที่สี่ก็ต้องหยุดขะงักกับแรงสะเทือนนี้ พวกมันล้วนมองไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย พบว่าแม้มองจากที่ห่างไกลหลายร้อยลี้ก็ยังปรากฏให้เห็นถึงเมฆดำขนาดย่อมๆที่ยามนี้เกิดแสงสว่างปะทุออกมาราวกับภัยพิบัติธรรมชาติกำลังเกิดขึ้น
"เกิดอะไรขึ้น" หลายคนเกิดเสียงวิพากษ์สงสัย โดยเฉพาะหญิงรับใช้นางหนึ่งที่กำลังถือถาดอาหารว่างและดูเหตุการณ์นั่น ถาดอาหารในมือตกในทันทีเมื่อเห็นว่าทิศทางตรงนั่นเป็นจุดสถานที่ที่ มู่อิ้งเทียนออกไปได้ไม่กี่ขั่วยาม
ร่างหญิงสาวพลันวิ่งออกไปในทันทีไม่สนว่าจะชนกับผู้คนมากน้อยเพียงใด
ในตอนนี้ในใจของนางกำลังรับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์เลวร้าย!
กลับมาที่จุดปะทะยามนี้เหลือไว้เพียง หมอกฝุ่นและละอองจากการระเบิดพลังของเคล็ดวิชาสวรรค์ นิ่งอยู่นาน ร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานออกมาจากในหมอกหนานั่นราวกับมัจฉาหลุดแห ร่างนั่นก็คือหวังเฟิงหวั่นที่ยามนี้ร่างทั้งร่างโฉกไปด้วยเลือด ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ บ่งบอกได้ในทันทีว่าแรงปะทะเมื่อครู่ส่งผลอันใดบ้างต่อมัน
ร่างที่พิการไปเกินครึ่งบัดนี้ กำลังฝืนพุ่งทะยานหนีไปออย่างทุลักทุเล ไม่นานอีกร่างก็ปรากฏขึ้นตามมาติดๆร่างในขุดขาวที่ดูสกปรกมอมแม่ม แม้สีหน้าจะซีดขาวเพราะฝืนใข้พลังญาณเกินตัว ไปบ้างแต่ยังมีสภาพดีกว่าอีกฝ่ายหลายเท่า มันเมื่อรู้ว่ากระบี่เมื่อครู่ไม่สามารถปลิดขีพเฒ่ามารตนนี้ไปได้ก็รีบเร่งโคจรออกตามล่าอย่างร้อนรน
การโจมตีเมื่อครู่คงจะสะกิดให้ผู้คนจำนวนมากสนใจเข้าแล้ว
แล้วนั่นไม่ใช่ข่าวที่ดีต่อมันเลยสักนิด!
สายตาของมันกวาดไปรอบด้าน เพราะแรงปะทะเมื่อครู่ผืนป่าครึ่งนึงพลันถูกทำลายสิ้น ไปส่วนหนึ่งเมฆฝนที่โดยพัดผ่านก่อตัวกันอีกครั้งนำพาหยาดน้ำเหน็บหนาวกระทบลงมาอน่างหนักหน่วงพาให้มองหาร่างอีกฝ่ายยากขึ้น
เส้นเลือดเขียวเด่นชัดขึ้นบนหัวของมัน พลันตวาดเสียงกราดเกรี้ยวเพราะความร้อนรนไปว่า
"เฒ่ากระดาษ ดูสิว่าเจ้าจะรอดไปได้อีกสักกี่น้ำ!"
พูดจนก็ทะยานร่างพุ่งเป็นแสงสีตามไปล่า ถัดไปไม่กี่ลี้ร่างของหวังเฟิงหวั่นก็กำลังเค้นพลังญาณในร่างทั้งหมดหนีตายอย่างกระสับกระสน โดนที่สองมือมันกำลังแอบน้ำมุกโลหิตลูกเท่านิ้วโป้งออกมาสวดคลายคาถาผนึกอย่างช้าๆ
เสียววินาทีเป็นตายนั่นมันสังผัสได้ถึงลำแสงกระบี่ที่กำลังพุ่งทะยานตรงมา
ทันใดนั่นในกรอบตาที่เปื้อนสายในตรงหน้ามันก็เห็นว่าตรงหน้ามีหุบเหวลึกอยู่ที่หนึ่งสองตามันก็พลันส่องประกายเข้มข้น
หุบเหวกระบี่จงหยวน!
ในที่สุดมันก็มาถึง สีหน้าของมันพลันแสดงออกถึงความตื่นเต้นเป็นล้นพ้น ลืมความเจ็บปวดไปสิ้น ทว่ายังกลับไม่ลืมร่างที่ตามติดตนเอง มันพลิกตัวหันกลับมามองเบื้องหลังเห็นร่างในขุดขาวกำลังทะยานพุ่งมาอย่างบ้าคลั่งกระบี่เมฆาสวรรค์ในมือก็เปล่งประกายเจิดจ้าตามตัว
มันพลันนหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง สองตาสาดประกายแดงอำมหิติดกับหน้าตาอ่อนโยนของมัน
"ดี! เจ้าลูกเต่าจากสำนักธรรมะที่โลภสมจนแสวงหาแต่ยศอำนาจ หากเจ้าอยากได้นักก็เข้ามาเอาไป"
กล่าวเสียงดังราวอัสนีลั่นหวังเฟิงหวั่นก็หยุดอยู่กับที่ พลิกมือโยนของสิ่งหนึ่งออกไปบนอากาศ
ขายในขุดขาวเห็นสิ่งนั่นก็ต้องสมองดังลั่นเมื่อเห็นว่านั่นเป็นป้ายสีขาวที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่อยู่บ้อมรอบ
"กุญแจคัมภีร์สวรรค์!"
มันพุ่งทะยานเข้าหา อาจจะบางทีเพราะแววร้อนรนของมันเองหรืออาจตะเพราะความโลภที่ครอบงำสติมันตนละทิ้งการคิดไปชั่วครู่ มันจึงไม่เอะใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้เฒ่ามารที่มกล้ตายตนหนึ่งจะยังเล่นลูกไม้อันใดได้ จึงรับพุ่งทะยานเข้าไปหาป้ายสีขาวกลิ่นอายโบราณแผ่นนั่น
ห่างเพียงไม่กี่ชุน มือของมันก็จะคว้าป้ายสีขาวนั่นเอาไง้ได้ ทว่าทันใดนั่นชายในขุดขาวก็พลันหน้าถอดสีใจสั่นสะท้านเมื่อพบว่าสิ่งที่ชายชราโยนมาไม่ได้มีเพียง ป้ายสีขาวนั่นอย่างเดียวเพราะท่ามกลางอากาศ ตัวป้ายพลันพลิกไปอีกด้านเผยให้เห็นมุกสีดำแดงโลหิตเล็กๆลูกหนึ่งผูกติดกลับมาด้วย แล้วในตอนนี้มุกนั่นก็ดำลังส่องแสงสว่างขั่วร้ายอย่างยิ่ง
มุกดูดวิญญาณ!
ชายชุดขาวได้เห็นจิตใจที่ถูกความโลภกลืนกินก็พลันได้สติอีกครั้ง ทว่ามันก็สายไปแล้ว
"ไอเฒ่าบัดซบเฮงซวย!"
ตึ้ม!
แรงระเบิดดังสนั่นอีกครั้งแต่คราวนี้มันกลับรุนแรงน้อยกว่าเมื่อครู่ทว่ากลิ่นอายโลหิตกลับฟุ่งกระจายไปทั่วทั้งป่าในทันที
หวังเฟิงหวั่นเห็นภาพตรงหน้าก็รีบพุ่งทะยานไปหมายจะเอาป้ายนั่นกลับคืนเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงโดนพลังมารที่ถูกกักเก็บอยู่ในมุกดูดวิญญาณระเบิดสบายหายไปทั้งกายและจิตไปแล้ว
ทว่าเมื่อคว้าเอาป้ายได้สำเร็จนังไม่ทันได้คิดความรู้สึกเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งจากม่านหมอกโลหิตของระเบิดมุกดูดวิญญาณ
แสงสีขาวพลันสว่างวาบในตาของมันไม่ทันคิดมันพลิกตัว แต่สายไป แขนข้างหนึ่งถูกกระบี่เมฆาลั่นฟันฉับ ร่างของมันราวกับถุงเลือดลอยกระแทกไปบนพื้นที่อยู่ห่างจาก หุบเหวกระบี่จงหยวนไปไม่ไกล ในมือของมันยังคงกอยกุมป้ายสีขาวเอาไว้แน่นแม้แขนอีกข้างจะขาดไปแล้วก็ตาม
มันสะกดโลหิตในร่างหมายจะพุ่งลงไปในหุบเหว แต่ร่างที่ควรสลายไปเพราะระเบิดโลหิตบัดนี้ก็พุ่งทะยานออกมาด้วยสารรูปที่น่าหวาดกบัวอย่างยิ่งเพราะทั่วร่างของมันคบ้ายกับถูกวิขามารกลัดกร่อนจนกลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง
"หวังเฟิงหวั่น หากวันนี้จ้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าไม่จะขอใช้ชื่อสำนักหมื่นเมฆาอีกตลอดขีวิต"
ผ้าคลุมหน้าถูกสลายไปครึ่งเผยใบหน้าครึ่งซีกที่เห็นแต่กระดูก ยิ่งดวงตาสีแดงสดก่ำโลหิตนั่นยิ่งทำให้มันดูเป็นภูติผียิ่งขึ้นไปอีก ร่างรั่นพุ่งลงมาพร้อมกระบี่เมฆาลั่นในมือที่ฉายแววคลุมคลั่งตามจิตใจของเจ้านาย
หวังเฟิงหวั่นเพราะเสียเลือดและญาณไปมากอีกทั้งยังเสียแขนขวายามนี้จึงเคลื่อนไหวได้ช้ายิ่งขึ้นแต่มันก็ใข้ปธินิธานทั้งชีวิตบังคับร่างไปที่ขอบเหวหน้าผากระบี่จงหยวนสำเร็จ
ตามมาด้วยเสียงกระบี่ลั่น เพียงเสี้ยววิที่ร่างของมันจะหล่นลงไปในหุบเหวมืดลึกล้ำราวกับไร้ก้น สาวตาของมันก็พลันไปประสานกับร่างที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่ง
ตาสองคู่ประสานกันบนขอบเหวแห่งความตายและห่างกันไปไม่กี่จั้ง หนึ่งแก่ชรา หนึ่งเด็กหนุ่ม ราวกับมีสายใยเชื่อมต่อกันอย่างไร้สาเหตุ
ราวกับว่าพวกมันนั่นล้วนอยู่ในโลกเดียวกันเพียงสองคนก็ไม่ปาน!
เสียงกระบี่ดังขึ้นในเวลานี้ กระบี่เมฆาลั่นพุ่งทะยานเข้ามาทางหวั่นเฟิงหวั่น แต่เพราะอะไรไม่ทราบ ทั้งชายชราทั้งเด็กหนุ่มกลับไม่เคลื่อนไหวมองไปที่กระบี่นั่นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองราวกับกำลังตกตายใต้คมกระบี่นี้!
ทันใดนั่น ฟ้าดังลั่นภูผาพลันถล่ม หวังเฟิงหวั่นที่ที่ยืนอยู่ขอบปากเหวของทั้งสองได้พังทลายลงเพราะแรงฝน ทำให้กระบี่วิเศษพุ่งผ่านไป ร่างของชายขราและเด็กหนุ่มถูกผืนดินนำพาลงไปในก้นเหวลึก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของมู่อิ้งเทียน เสียงนั่นค่อยๆจมหายไปจากเหวที่ไร้ก้นบึ้ง ค่อยๆเบาลง จนท้ายที่สุดก็ปราศจากเสียงใดๆอีก
ชายในชุดขาวหวั่นประพึง รีบมุ่งหน้าไปดูที่ขอบหุบเหวทว่าในตอนนั่นเองมันก็สำผัสได้ถึงญาณตบะกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
มันกัดฟันกรอดเหมือนกับจะทำให้ฟันทั้งปากแตกสบายก็ไม่สามารถระบายความแค้นนี้ไปได้ แต่สุดท้ายมันก็ต้องจากไป เพราะว่ามันไม่สามารถให้ใครพบเห็นตัวมันได้ และไม่สามารถฝืนใจลงไปใต้หุบเหวนั่นได้เหมือนกัน
แผนการที่วางเอาไว้พังยับเยิน! มันคำรามบั่นในคอก่อนจะพุ่งทะยานไปอีกทาง
จุดที่ห่างไกล ร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งทะยานมาเป็นสายรุ่ง นำหน้าด้วยอิสตรีที่แม้จะไม่เห็นใบหน้าแต่บรรยากาศรอบตัวก็สามารถบอกได้ว่านางคงเป็นนางงามในหมู่มนุษย์ เป็นยอดสตรีที่หาได้ยาก ตามหลังมาด้วย กองกำลังที่บนเสื้อผ้าปักไว้เพียงไม่กี่คำ
"สำนักคุมกฏ!"
คนผู้หนึ่งแยกออกมากล่าวกลับสตรีในขุดขาวเบื้องหน้าที่แม้แต่สายในก็ถูกพัดออก บ่งบอกถึงตบะญาณที่เข้มแข็งของอิสตรีนางนี้
"คุณหนูเฟิง ดูเหมือนเราจะมาข้าไปก้าวหนึ่ง ที่แห่งนี้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงดูจากสภาพต้องเป็นคนจากขั้นสี่หรือสี่หรือขั้นสามแน่ จะให้แจ้งข่าวไปที่สำนักหลักหรือไม่"
คุณหนูเฟิง หรือเฟิงไป๋หลี่ กวาดสายตาที่งามดุจดั่งหยก ไปรอบด้านก็กล่าวเสียงเย็นชาออกคำสั่งมาว่า
"แจ้งไปสำนักใหญ่ ดูจากสภาพที่แห่งนี้คงเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแน่ เราแบ่งออกเป็นสามกลุ่มไปตรวจดูว่ามีผู้บาดเจ็บ ค่อยส่งตัวไปรักษาแล้วมารายงานสถานการณ์กับข้าอีกที"
"จำไว้อย่าให้สำนักชั้นที่สี่ที่ลงมาคัดเลือกศิษย์รู้เรื่องเด็ดขาด!"
กล่าวจบก็มีเสียงรับคำสั่งมาจากทุกคนก่อนที่ทุกร่างจะแยกย้ายออกไป คนละทาง เฟิงไป๋ลี่ขมวดคิ้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏขึ้นใจโดยไร้สาเหตุ เมื่อเห็นสภาพรอบด้าน
"มู่อิ้งเทียน หวังว่าเจ้าจะปลอดภัย"
นางพึมพัมในใจก่อนที่จะพริ้วร่างสีขาวหายไปราวกับภูติผี
ถัดไปไม่ไกลจากที่นั่น ร่างอีกหลายร่างกำลังจ้องมองมาที่สถานที่ตรงนี้ราวกลับกำลังเฝ้าดูอะไรบางสิ่ง ไม่ทีใครทราบเลยว่าการปะทะเมื่อครู่จะสะกิดให้เหบ่าผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสนใจมากมายถึงเพียงนั่น
และท่ามกลางหินใต้น้ำที่เริ่มกระเพื่อม ตัวต้นเหตุ และอีกหนึ่งเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่ง ถูกฝังอยู่ภายใต้หุบเหวลึก
ไม่มีใครทราบเลยว่าเหตุการณ์ประหลาดพลันแล่นนี้จะเกิดเป็นปรากฏการณ์พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของมหาภิภพทั้งแผ่นดิน!