"เจ้าถึงกลับจับเคล็ดลับวิชาได้โดยไม่กี่ชั่วยาม นับว่าเกินความคาดหมายของข้าจริงๆ"
ชายชรายิ้มในรอยยิ้มนั่นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ และแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าหลายส่วน
มู่อิ่งเทียนยามนี้มีสีหน้าดีขึ้นมาก ตอนนี้มันหันกลับไปมองชายชราและเคารพอีกครั้ง
"ขอบคุณผู้อาวุโส หากไม่มีท่านข้าคงไม่สามารถได้รับสุดยอดเคล็ดวิชานี้ได้"
ได้ยินน้ำเสียงที่มั่นอกมั่นใจเช่นนั่นของเด็กหนุ่ม ชายชราก็ส่งเสียงดังเฮอะกล่าวเตือนไปว่า
"อย่าได้ลำพองใจไปเจ้าหนู สิ่งที่เจ้าทำสำเร็จเป็นแค่การเข้าใจในเนื้อความของเคล็ดวิชานี้ เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกนานถึงจะเข้าถึงแก่นของมันได้"
มู่อิ่งเทียนฝืนหัวเราะ แต่ในเสียงหัวเราะนั่นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
ชายชราไม่ติดใจกับท่าทีของมัน แต่กลับเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังไปว่า
"รับปากข้าว่าเคล็ดวิชานี่เจ้าจะไม่นำไปบอกบุลคลอื่น และหากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆเจ้าควรจะเลี่ยงใช้วิชานี้ต้อหน้าผู้คน จงรับปากข้า"
เห็นสีหน้าที่จริงจังของชายชรามู่อิ่งเทียนก็ไม่รอช้ากล่าวเสียงหนักแน่นไปว่า
"ข้ารับปาก หากข้าผิดคำสัญาขอให้ฟ้าผ่าเจ็ดครั้งดับสิ้นในทันที"
ชายชราแสดงสีหน้าพอใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะผ่อนเสียงที่เคร่งเครียดลงหลายส่วยแต่ก็ยังคงความกดดันเอาไว้
ภายใต้แสงไฟเล็กๆชายชราดูอ่อนล้าถึงเพียงนั้น ราวกับแค่ลมพัดผ่านเบาๆก็สามารถทำให้มันสลายหายไปได้ ทันใดนั้นดวงตาที่ดำสนิทเหมือนน้ำหมึกของชายชราก็พลันประกายวาบถามสิ่งหนึ่งที่ทำให้สมองอันเฉลียวฉลาดของมู่อิ้งเทียนต้องชบคิดอยู่นาน
"บอกแก่ข้า ความปรารถนาสุดท้ายของเจ้าในชีวิตนี้คืออะไร?"
ได้ยินคำถามนี่แม้แต่มู่อิ่งเทียนก็ยังต้องชะงักไปกับมัน มันคาดเดาไม่ออกว่าชายชราจะนำคำถามนี่มาถามแก่มันแต่เมื่อเห็นแววจริงจังในดวงตาของชายชราเขาก็รู้ในทันทีว่าชายตรงหน้าไม่ได้พูดเล่น
คำถามนี้ฟังดูเหมือนง่ายแต่มันแสดงออกถึงจุดยืนของตนอย่างชัดเจน
เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้างั้นหรือ ไม่ใช่ อยากจะปกครองแผ่นดินก็ไม่น่าใช่ ความรู้สึกที่แผ่นดินใต้ฝ่าเท้ากลายมาเป็นของตนที่ละชุ่นคงน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่มันกลับรู้สึกคร้านอยู่บ้างทีจะต้องตรำศึกแย่งมันมา
อีกอย่าง การยึดครองใต้หล้านั่นเป็นทาสของสวรรค์ ตัวมันยังรักในอิสรเสนรีมากกว่า
แล้วถ้าเช่นนั้นมันต้องการอะไรกันแน่ มันคิดแล้วคิดอีกคิดลงไป ถามเข้าไปในจิตใจของตนเองจนสุดท้ายคำตอบก็อยู่ตรงหน้า
มู่อิ่งเทียนสองตาสว่างวาบ ระบายยิ้มที่แลดูไร้เดียงสาแตกต่างจากปกติออกมา
นี่คือรอยยิ้มจากใจจริงของเขา
"สิ่งที่จ้าต้องการในชีวิต คือการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในทุกวันนี้เท่านั่นเอง!"
ชายชราที่เฝ้ารอคำตอบเห็นว่ามู่อิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาเปล่งประกายดุจม่านวารี และเมื่อได้ฟังคำตอบมีหรือที่มันจะไม่ตกตะลึง แต่เมื่อมองไปยังดวงตาที่สดใสคู่นั่น ชายชราก็เผลอระบายยิ้มออกมาไม่ได้
มีหลายครั้งที่มันเคยเห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนี่ทว่าพอดข้าสู่เส้นทางฝึกตนบ้างก็ตายจากบ้างก็แปรเปลี่ยนนิสัยไปจากเดิม
แต่รอยยิ้มที่สดใสของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้มันรู้สึกสบายใตอน่างไร้สาเหตุ
ที่แท้จามคนเราใกล้ตายก็มักจะสะเทือนอารมณ์ไปกับสิ่งที่มองข้ามไปในขีวิตของตนเองนี่เอง
ใข้ชีวิตโดยที่มีความสนุกสนานในทถกวันงั้นรึ นั่นมันช่างเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง
"เป็นคำตอบที่ดี!"
ทั้งไร้ความทะเยอทะยานและความฝัน แต่มันช่างเป็นคำตอบที่ถูกใจมันเสียเหลือเกิน!
ในที่สุดขายขราก็ยิ้มออกมาจากใจจริง แม้ใบหน้าจะยับยู่นี่แต่มู่อิ่งเทียนก็มองออกถึงความสุขในดวงตาของมันได้อย่างชัดเจนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
ราวกับรอยยิ้มนั่นคือดอกไม้ที่จะบานเฉพาะยามที่แสงแดดแบอุ่น เมื่อเลือนหายไปใบหน้าของชายชราก็กลับมาเคร่งครึมเข่นเดอมแต่ดวงตายังคงอ่อนโยนลงบ้าง
มือข้างหนึ่งที่เหี่ยวย่นยามนี้ ล้วงเข้าไปในเสือของตน แต่คลับคล้ายมันจะลังเลในใจอยู่นาน ผ่านไปหลายเสี้ยววิมันก็สูดลมหายใจเข้าลึก หยิบของบางสิ่งขึ้นมาให้กับมู่อิ่งเทียน
มู่อิ้วเทียนมองไปตรงหน้าก็พบว่าของสิ่งนั่งไม่ได้อยู่ในจินตนาการที่มันคิดไว้เลยสังนิด
"แผ่นป้าย?"
ชายชราไม่สนใจท่าทีมึนงงของเด็กหนุ่มตรงหน้า ยามนี่สิ่งที่อยู่ในมือมันคือของที่คนในใต้หล้าให้ความสำคัญมากที่สุดในแผ่นดิน ยามนี่ผ่านมาหลายวันแล้วคนจากเบื้องบนคงจะสามารถตรวจสอบได้แล้วว่าตนเองลงมาที่ชั้นที่ห้า และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงไม่พ้นที่จะถูกล่าสังหารอีกครั้ง
ยามนี้หนทางเดียวของมันก็คือการฝากฝังของสิ่งนี่ไว้ให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่มันไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
"จำไว้ให้ดี ของสิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญยิ่ง เจ้าห้ามให้ใครเห็นป้ายนี่เด็ดขาด จงจำเอาไว้จงเก็บป้ายนี่เอาไว้ให้ไม่ห่างจากตัวและทุกๆวันเจ้าต้องนำพลังมารและพลังบริสุทธิ์ชักนำเข้าแผ่นป้าย ทีละเท่าๆกัน ให้หาที่ลับตาคนและทำสิ่งนี้ทุกวันอย่าได้ขาด จวบจนข่วงเวลาที่เหมาะสมในวันที่เจ้าคิดว่าพร้อมแล้ว ให้เจ้ากลับมาที่หุบเขากระบี่จงหยวนนี่อีกครั้งและนำแผ่นป้ายนี่กลับมาด้วย"
ชายชราสูดหายใจลึกมันร่ายยามด้วยความตื่นเต้น ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความขมขืนและความหวังเสี้ยวหนึ่ง
"เจ้าจำได้หรือไม่ ทั้งเรื่องการฝึกวิชาและโดยเฉพาะแผ่นป้ายนี่ ไม่ว่าอย่างไหนเจ้าก็ห้ามลืมเด็ดขาด!"
ชายชราจ้องมองมาที่มัน ถามย้ำอีกครั้ง มู่อิ้งเทียนรับแผ่นป้ายสีขาวนั้นมาอย่างงงๆ เมื่อพลิกดูก็ไม่พบความปกติในแผ่นป้ายนี่แต่ดูทีท่าที่ชายชราให้ความสำคัญกับมันแสดงว่ามันต้องมีค่าอย่างยิ่งแน่นอน
"ขอรับ ฟ้าดินเป็นพยานหากผิดสัญญาทั้งหมดขอให้สวรรค์ลงโทษข้า"
ชายชราหรือก็คือหวังเฟิ่งหวั่นตื่นตัน มองไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า มันแม้ตายก็ไม่เสียดายแล้วเพราะในใจมันกลับมีความคาดหวังแปลกประหลาดต่อขายหนุ่มผู้นี้อยู่อย่างน่าประหลาด
"ดี เวลาข้าเหลือไม่มากแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนถ่ายทอดวิขาให้เจ้า เจ้าคำนับข้าสามทีแล้วเรียกข้าว่าอาจารย์เถอะ"
มู่อิ่งเทียนตกตะลึง ทว่าในใจกลับยอมรับได้อยู่หลายส่วน ไม่ว่าอย่างไรตนก็ถูกเฒ่ามารนี่มอบเคล็ดวิชาให้หากนับกันจริงมันก็นับเป็นศิษย์ของชายชราผู้นี้ไปแล้ว แม้ชายชราจะเป็นมารแต่หากไม่บอกใครแล้วใครจะมาเอาผิดมันได้
อีกอย่างเฒ่ามารนี่ถึงแม้จะแปลกประหลาดไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนช่วยชีวิตตนเอาไว้ เรื่องการตอบแทนนี่มู่อิ้งเทียนทั้งชีวิตไม่เคยบิดเบือนมาก่อน
คิดได้ดังนั่น มู่อิ่งเทียนก็ยันร่างกายลุกขึ้นนั่งด้วยหัวเข่า ก่อนจะโค้งคำนับดินพื้นสามทีอย่างหนักแน่น
"คำนับอาจารย์!"
เห็นท่าทีเด็กหนุ่มตรงหน้า ในแววตาของชายชราก็ตื่นตันจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ดีแล้วจริงๆที่มันพบกับเด็กหนุ่มน้อยคนนี้ ในสถานที่ห่างไกลภายใต้หุบเหวใครจะคาดคติดว่ามันจะหาคนสืบทอดปรินิธานได้
นี่นับเป็นวาสนาของมันจริงๆ!
"ศิษย์เอ่น จำคำของอาจารย์ให้ดี แม้ว่าในอนาคตเราอาจจะไม่ได้มีวาสนาพบกับอีกแล้ว แต่ก็ขอให้เจ้าอย่าผิดคำสัญญา!"
มู่อิ่งเทียนที่คุกเข่าคำนับ ได้ยินแต่เสียงแหบกร้านพบศีรษะตนเองมันตอนนั้นยกหัวขึ้นก่อนที่จะพบว่ามือเหี่ยวย่นของชายชราได้ยื่นมาหามันแล้ว
ชายชรายื่นมือไปที่หน้าผากของมู่อิ่งเทียนข้าๆ พลังสายหนึ่งแล่นเข้าสู่มู่อิ่งทียนทำให้สติของมันพลันดับวูบไปในทันที
มองดูร่างเด็กน้อยตรงหน้าแล้วหวังเฟิงหวั่นก็ยิ้มขื่น ทั้งมันและเด็กหนุ่มผู้นี้ทั้งสองต่างไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อแส่ ทว่าความหวังทั้งหมดในชีวิตของหวังเฟิงหวั่นถูกถ่ายทอดสู่เด็กหนุ่มผู้นี้หมดแล้ว
มันดันตัวขึ้น ก่อนที่จะไอเป็นโลหิตออกมา เห็นเช่นนั้นมันก็รู้ตัวดีว่าตนเองคงเหลือเวลาไม่มากแล้ว
"ข้าคงจะใช้ร่างของมารทมิฬ พาเด็กหนุมผู้นี้ขึ้นไปได้อีกรอบ และคงจะยื้อเวลาออกไปได้เพียงสามวันที่จะหลบหนีไปให้ไกล"
สายตาของมันจดจ่ออยู่บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าอีกครั้ง ในแววตานั่นไม่มีใครอ่านออกเลยว่ามันกำลังคิดสิ่งใดอยู่
"ศิษย์เอ๋ย ในอนาคตที่เจ้าจะสามารถสวนทางสวรรค์และพลิกโลกามาได้ อยู่ที่เจ้าแล้ว!"