พลันเบื้องหน้ามีเสียงห้ามปรามไม่คาดฝันดังขึ้นกระทันหัน ฝูงชนที่ยืนดูเหตุการณ์ต่างหันมองตามต้นเสียง เป็นเฉิงฉือก้าวเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชนด้านข้าง ในมือถือพัดผ้าไหมโบกพริ้ว
"ช้าก่อนคุณหนูฉู่....นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดอันใด?กัน"
เฉิงฉือปรายสายตามองไปโดยรอบเป็นการบอกใบ้ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องแยกย้ายกันไปได้แล้ว ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ฉู่หยวนเซวียน ผู้คุ้มกันสี่คนด้านหลังเฉิงฉือยืนคุมเชิงกันฝูงชนให้แยกย้ายกันไป เหลือไว้เพียงแต่หยางเล่ยอี้ และเฉิงฉือกับฉู่หยวนเซวียนยืนเว้นระยะกันคนละสองเซี่ยะ
หย่งเอ๋อกับเหลียงซาน กระโดดออกมายืนด้านหน้า ฉู่หยวนเซวียนทันที เหลียงซานพอเป็นวรยุทธบ้างเล็กน้อย แต่หย่งเอ๋อนั้นเป็นเพียงสาวใช้ประจำตัวธรรมดา ยามนี้นางนึกเสียใจที่ไม่ได้ให้ผู้ติดตามประจำจวนออกมาด้วยสักหน่อย หย่งเอ๋อปั้นสีหน้าเครียดเขม็ง หากผู้ใด? ลงมือกับคุณหนูนางจะขอสู้สุดตัว ไม่ให้ใครมาแตะต้องคุณหนูได้แม้แต่ปลายเล็บ
"ที่แท้คุณชายเฉิง..ไม่ทราบว่าท่านรู้จักมักจี่กับท่าน กั๋วกงตั้งแต่เมื่อใดกัน"
ฉู่หยวนเซวียนเปิดประเด็นหมายจะมั่นปั้นมือแม้ส่วนเสี้ยวเดียวก็ไม่ยอมลงให้
"คุณหนูฉู่โปรดใจเย็น.....คุณชายหยางผู้นี้กับข้าถือเป็นสหายกัน..."
"หากคุณหนูมีเรื่องเข้าใจผิดอันใด?...โปรดเห็นแก่หน้าข้าสักครั้งได้หรือไม่"
ด้วยความที่ตนตัวสูงกว่าฉู่หยวนเซวียนเกือบสองช่วงตัว เฉิงฉือก้มตัวลงเอ่ยความกับนางด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ดั่งคำเปรียบเปรย....ไม่อาจตบหน้าสหายผู้แย้มยิ้ม อีกทั้งเฉิงฉือเป็นพ่อค้าคนสำคัญที่สามารถเสาะหาตัวยาหายากมาให้ฉู่หยวนเจิ้งได้เขาจงใจออกหน้าครั้งนี้ฉู่หยวนเซวียนจึงจำเป็นต้องรามือ
"เมื่อครู่คุณหนูเรียกนามคุณชายหยางว่ากระไร? ตัวข้าฟังไม่ใครชัดนัก?"
"ท่านหยางกั๋วกงกับสกุลฉู่ของข้านับว่ามีสายสัมพันธ์กันมาก่อน....เมื่อครู่เรื่องที่ข้าเอ่ยนั้นก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น"
ฉู่หยวนเซวียนผู้มีใบหน้างามพริ้งดั่งชื่อ หากแต่สีหน้ายามนี้กลับแข็งกระด้างทั้งคำพูดแดกดันผู้คนขัดกับแก้วเสียงใสกังวานดั่งกระดิ่งเงินของนาง เฉิงฉือให้นึกปวดเศียรเวียนเกล้านักหากไม่เคยพบหน้านางยามปกติมาก่อน คงจะจินตนาการไม่ออกแน่ว่าฉู่หยวนเซวียนผู้อ่อนโยนอ่อนหวานหนีหายอยู่ที่แห่งใด?
"คุณหนูฉู่ ตัวข้าตั้งใจมาพบท่านด้วยเรื่องสินค้าสำคัญจากเจียงหนานมาถึงท่าเรือที่ลั่วสุยแล้ว"
"ข้าจึงเร่งมาแจ้งข่าวแก่ท่านด้วยตัวเอง"
"ข้าจะให้คนไปรับของบางส่วน....วันนี้เลย...." ฉู่หยวนเซวียนเอ่ยตอบ
ไม่ทันเฉิงฉือจะกล่าวจบฉู่หยวนเซวียนเดินหายลับไปเสียก่อนแล้ว นางสำเร็จเป็นเซียนแล้วหรืออย่างไรจึงได้ไปมารวดเร็วดั่งขี่เมฆทิ้งหยางเล่ยอี้กับเฉิงฉือยืนมองหน้ากันพักใหญ่ ตัวเอกของเรื่องหนีหายไปเสียอย่างนั้น ทำเอาผู้คนแตกกระจายไปแทบจะในทันที เอกลักษณ์ของชาวบ้านก็เป็นเช่นนี้
....มาไวไปเร็วใช้ชีวิตให้คุ้มค่า.....
เฉิงฉืออมยิ้มไม่เอ่ยคำใดเพียงแต่ชักชวนหยางเล่ยอี้ไปจิบชาที่หอสุ่ยเซียนอีกจนได้
"คุณชายหยางไม่ต้องประหลาดใจ ตัวข้าทราบเรื่องราวของท่านเป็นอย่างดี"
"ดีที่ครั้งนี้ข้ามาทัน...ไม่อย่างนั้นตัวท่านเป็นได้เจอดีเข้าเป็นแน่"
เฉิงฉืออมยิ้มพลางโบกพัดในมือ
"คุณชายเฉิงไม่ต้องอ้อมค้อม ตัวข้าเตรียมใจไว้นานแล้วตั้งแต่สอบผ่านซิ่วไฉเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะมาถึงตัวไวเพียงนี้"
หยางเล่ยอี้ยิ้มเจื่อนไม่แสดงทีท่ารู้ร้อนหนาวกับคำกล่าวหาของฉู่หยวนเซวียน
"นั่นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน.....คนรุ่นหลังไม่อาจสืบทราบต้นสายปลายเหตุใดได้แล้ว"
"จะเคืองแค้นกันไปด้วยเรื่องใด?"
เฉิงฉืออมยิ้มพลางโบกพัดผ้าไหมในมือ ท่าทางดั่งคุณชายเจ้าสำราญในโรงละคร
"อาเจิ้งพี่ชายของนางกับข้าถือเป็นสหายกัน เรื่องของสกุลฉู่กับสกุลหยางข้าเลยพอจะรับรู้มาบ้าง"
"ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก...หาใช่คนสกุลฉู่ทุกคนจะจ้องเล่นงานท่าน"
เฉิงฉือยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาละเมียดเป่าฟองด้านบน
"ดูอย่างอาเจิ้งถึงเขาจะสุขภาพย่ำแย่อย่างมาก...ทั้งยังรักตามใจน้องสาวคนเดียวนักหนา"
"กลับไหว้วานข้าให้เป็นธุระเรื่องนี้แทน อย่างไรเสียแม่นางฉู่ก็เป็นสตรีท่านยอมลงให้นางถึงเพียงนี้นับว่าประเสริฐแล้ว"
เฉิงฉือกล่าวคำหนักเบาแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยเป็นคนกลางไม่อาจให้ผิดใจทั้งสองฝ่าย
"หามิได้...ที่แท้เป็นคุณชายฉู่ที่มีน้ำใจไมตรีกับตัวข้า วันหลังหากมีโอกาสข้าจะต้องขอคารวะขอบคุณด้วยตัวเองให้ได้"
หยางเล่ยอี้ยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มด้านนึงที่ข้างแก้มเป็นรอยยิ้มที่พร่างพราวให้ความรู้สึกเย็นสบายเคลิ้บเคลิ้ม เฉิงฉือถึงกับต้องยกพัดผ้าไหมขึ้นมาลดทอนความเจิดจ้าของรอยยิ้มสหายตรงหน้า
"คุณชายหยาง?.....มีผู้ใดเคยบอกท่านหรือไม่ใบหน้าท่านแทบจะเป็นหนึ่งในฉางอันแล้ว"
"แม่นางฉู่งดงามเหนือกว่าข้าหลายส่วนนัก...หากข้าคาดเดาพี่ชายของนางสหายของท่านคงไม่พ้นรูปงามกว่าข้าเป็นแน่"
หยางเล่ยอี้หัวเราะเบาๆ
"นั่นเรียกว่างดงามเหนือมนุษย์ผิดธรรมดาสามัญ"
"ถือว่าข้าแนะนำท่านเถิดสหาย...หากท่านหมั่นออกมาแสดงตัวย่านผู้คนพลุกพล่านบ่อยเช่นนี้?....เกรงว่าบรรดาสตรีน้อยใหญ่ในฉางอันจะพาลหาเรื่องมาให้ท่านปวดหัวได้อีกมากโขเป็นแน่"
เฉิงฉือเอ่ยพลางหลับตาลงส่ายหน้าเบาๆ ใครใช้ให้เขามีสหายหน้าตางดงามสูงส่งเยี่ยงนี้ได้เล่า
"คุณชายเฉิงช่างมีอารมณ์ขันนัก เห็นทีตัวข้าต้องน้อมรับฟังคำแนะนำจากท่านแล้ว"
หยางเล่ยอี้ไม่หยุดส่งยิ้มกลับจะยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม ยากนักที่จะได้พบเจอผู้อื่นที่ไม่ตั้งแง่รังเกียจลูกหลานตระกูลกบฏอย่างเขาทั้งยังมีความจริงใจให้หลายส่วนอย่างเฉิงฉือ
"อีกสามวันภายหลังท่านออกจากวัง ข้าจะหาทางให้อาเจิ้งพบท่าน"
"เขาไหว้วานให้ข้าเป็นธุระให้เรื่องท่าน ถือว่ารับปากข้าได้หรือไม่?"
จู่ๆเฉิงฉือเอ่ยถ้อยคำนัดหมาย ทั้งยังไม่เปิดช่องให้หยางเล่ยอี้บอกปัด
"ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องสำคัญอันใด?"
เฉิงฉือหุบพัดผ้าไหมในมือดังฉับ
"ขอท่านอย่าได้กังวลไป...เพียงแต่ยามนี้ตัวข้าจำเป็นต้องจัดการกับสินค้าสำคัญให้ลุล่วงก่อน"
"...ทั้งท่านก็ต้องเตรียมเข้าสอบวันพรุ่งแล้ว..."
"โอกาสอันดีเป็นดั่งคำท่านว่าจริง..คุณชายเฉิงไม่ต้องเกรงใจข้าขอเพียงให้คนของท่านมาบอกกล่าวแก่ข้าก็พอ"
หนึ่งวันหลังจากการสอบต่อหน้าพระที่นั่งผ่านพ้น...เดิมทีหยางเล่ยอี้ตั้งใจพักอยู่ที่ฉางอันรอผลการสอบประกาศลำดับออกมาอย่างเป็นทางการในช่วงปลายฤดูซย่าเทียน เขากลับได้รับสารด่วน แจ้งข่าวแก่ศิษย์ร่วมสำนักศึกษาเซวียนเฉิงให้เดินทางกลับไปรวมตัวกันที่ขุยโจว
...ในสารแจ้งข่าวนั้นไม่ได้ชี้แจงสาเหตุไว้...
ศิษย์ร่วมสำนักหลายคนพากันคาดเดามุ่งสาเหตุหลักไปที่ตัวท่านอาจารย์หญิงเฉินจิ่วอิงผู้ก่อตั้งสำนัก ปีนี้นางอายุได้เก้าสิบสองปีถือว่านานมากสำหรับคนธรรมดาผู้หนึ่ง บรรดาลูกศิษย์ในสำนักจึงไม่อาจนิ่งนอนใจกับสารเรียกรวมพลในครั้งนี้
หนึ่งวันหลังจากได้รับจดหมายหยางเล่ยอี้ให้คนไปแจ้งข่าวแก่เฉิงฉือ ว่าเขาจำต้องผิดนัดกับฉู่เหยียนเจิ้งในอีกสองวันข้างหน้าด้วยต้องเร่งเดินทางออกจากเมืองหลวงกลับสำนักศึกษาที่ขุยโจว
หลังจากออกนอกเขตฉางอันมุ่งเข้าสู่เขตลั่วสุยก็ใกล้เวลาพลบค่ำ หยางเล่ยอี้หมายตาเดินขึ้นเขาหยุนไถซานเพื่อขอพักแรมใน 'อารามซานเป่าเตี้ยน' เดิมบนยอดเขาแห่งนี้
ตัวอารามเดิมนั้นก่อสร้างขึ้นในรัชสมัยปฐมกษัตริย์หลี่หยวนฮ่องเต้ปราบปรามกองกำลังน้อยใหญ่จนรวบรวมแผ่นดินจงหยวนสำเร็จและสถาปนาราชวงหลี่ขึ้น หลังจากนั้นอีกหลายปีจึงถูกย้ายไปสร้างอยู่ในเขตเมืองหลวงฉางอันตามพระประสงค์ขององค์จักพรรดิหลี่ซื่อหมิ่น ทำให้อารามซานเป่าเตี้ยนเดิมบนภูเขาลูกนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างมาจนปัจจุบัน
หยางเล่ยอี้พลันหางตากระตุกยามเดินขึ้นมาจนเกือบจะหมดขั้นบันใดทางขึ้นเขา ในใจให้หวนนึกถึงแม่นางเซียนน้อยฉู่หยวนเซวียนคราวที่แล้วนางให้คนดักเล่นงานเขาที่อารามซานเป่าเตี้ยนในฉางอัน คราวนี้หยางเล่ยอี้มาเยือนถึงอารามซานเป่าเตี้ยนเมืองลั่วสุย
นึกไปพลางเท้าก็ย่ำเดินไปด้วยจนมาถึงบันใดขั้นสุดท้าย.....ชีวิตช่างยากลำบากสมดั่งนาม "เล่ยอี้" โดยแท้ เพียงแค่เห็นบรรดาผู้คนที่มาจับจองสถานที่แห่งนี้ก่อนเขาผ่านบานประตูเอียงกระเท่เร่อันเก่าคร่ำคร่าด้านหนึ่ง...หยางเล่ยอี้พลันชาวาบไปทั้งศีรษะ
...ที่เขาเห็นเบื้องหน้านั่นคือซ่องโจร....
-------------------
โปรดติดตาม