เจ้าเด็กน้อยหน้าตาเย่อหยิ่งคนนั้นคือคุณเซน!
พัง!
หลังจากที่เมื่อวานตอนบ่ายฉันได้สงบสติอารมณ์ตัวเอง และนั่งทบทวนถึงสิ่งที่จะมาคุยกับท่านประธานคนใหม่แล้ว เช้าวันนี้ฉันอุตส่าห์มาถึงที่ทำงานด้วยอารมณ์อันแจ่มใสแต่เช้าตรู่
แล้วนี่คืออะไร? เฮลโหล? ฉันโดนหลอก!
เจอกันตั้งสองครั้งสองคราแล้ว ทั้งที่ห้องกาแฟแล้วก็ที่ร้านเหล้า เอ๊ย ผับ แต่ไม่คิดจะแนะนำตัวเองกันบ้างเลยนะ ปล่อยให้ฉันเป็นยัยเป๋ออยู่ฝ่ายเดียว
นึกถึงคำทักทายที่ฉันหยอกคุณเซนเมื่อวานตอนเจอกันที่ผับแล้วก็อับอายตัวเอง
'น้องเพิ่งจะมาทำงานวันแรก น่าจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อนนะจ๊ะ งานที่บริษัทเราหนักอยู่นา'
แล้วคุณเค้าก็ผสมโรงตอบกลับมา
'หรือครับ ผมดีใจนะครับที่ได้ทำงานกับบริษัทที่งานหนักๆแบบนี้'
'มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะจ๊ะ พี่อยู่มานาน รู้จักบริษัทนี้ดีกว่าใครๆ เราสบายๆชิวๆ ขนาดวันนี้เป็นวันเปิดตัวท่านประธานคนใหม่ พี่ยังหลบได้เลย'
แต่ไม่ ฉันจะอายไม่ได้ ฉันต้องโกรธสิ คุณเซนเธอหลอกฉัน โกรธนะ นี่โกรธแล้ว!
"ก็ในเมื่อคุณเซนรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าดิฉันชื่อลลิน เป็นพนักงานในบริษัทของคุณ เป็นหัวหน้าแผนกออกแบบ ตามประสาเจ้านายที่ดีที่เข้ามาใหม่ ก็ต้องแนะนำตัวกันไหมคะ"
แต่ถึงจะมีอารมณ์โกรธแค่ไหน ฉันก็อดจ้องมองเจ้านายหนุ่มน้อยละอ่อนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ไม่ได้
เมื่อวานก็มาทำงานวันแรกด้วยเชิ้ตดำกางเกงยีน ไม่ใส่เนกไท ไม่มีสูท วันนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน เปลี่ยนจากเชิ้ตดำเป็นเชิ้ตเทา ทรงผมเดียวกับเมื่อวานเป๊ะ ผมที่ตั้งโด่อยู่ทั้งหัวนั่นใส่เจลหรือกาวลาเท็กซ์มา ถ้าจะปล่อยให้ปรกหน้าปรกตาบ้าง หน้าตาก็ไม่มีเด็กไปกว่านี้แล้วล่ะ
แน่ใจนะว่าสามสิบสองแล้ว ผู้ชายอะไรทำไมหน้าเด็กขนาดนี้ แถมหน้าใสกิ๊กด้วย หนวดเคราไม่มีโผล่แหรมมาให้รำคาญใจ
เอ… หรือฉันควรจะแนะนำให้เค้าไว้หนวดดี ถ้าหน้าตาดูแก่กว่านี้ขึ้นมาบ้าง บางทีอาจจะได้รับความเกรงใจจากฉันขึ้นมานิดๆหน่อยๆ
"ก็ผมนัดหมายเวลาสำหรับแนะนำตัวแล้วไงครับ เมื่อวานตอนเก้าโมงเช้า คุณตั้งใจไม่เข้าร่วมประชุมเอง"
คำตอบหน้านิ่งๆนั้นทำเอาฉันอยากจะกรี๊ด นี่ตั้งใจกวนอารมณ์กันชัดๆ หน้าเด็กไม่พอ นิสัยก็เด็กอีก
"ดิฉันติดธุระสำคัญทางบ้าน มาไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจกันบ้างนะคะ"
"มีธุระอะไรสำคัญไปกว่าการประชุมใหญ่เปิดตัวประธานคนใหม่ของบริษัทในตอนเช้าวันจันทร์ ในเวลาทำงาน อีกหรือครับ"
ฉันต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ โอเค เด็กน้อยอยากโชว์พาว ปล่อยไป
"แล้ววันนี้คุณลลินไม่แฮ้งค์หรือครับ เก่งจัง ยังมาทำงานได้แต่เช้า"
เห็นแววตาใสซื่อของคนผมตั้งตรงหน้า แล้วอยากจะปราดเข้าไปทุบซักอึ้กสองอึ้ก
"ก็เก่งพอๆกับท่านประธานล่ะค่ะ มาทำงานวันแรก ก็ฉลองซะดึกเลย" ฉันพยายามตอบโต้
"อ่อ ผมกินเบียร์ไปแค่แก้วเดียวน่ะครับ จะให้เข้าหาค็อกเทลสี่ห้าแก้วเลยตั้งแต่วันจันทร์นี่ก็คงไม่ไหว"
กรี๊ด!!! นี่แอบสังเกตด้วยว่าโต๊ะของพวกฉันสั่งอะไรกัน สอดรู้เรื่องส่วนตัวของพนักงานเป็นที่สุด
แต่นั่นก็ยังไม่น่ากรี๊ดเท่ากับหัวข้อที่เราคุยกันถัดมาเรื่องของแนวทางการออกแบบโซฟาของบริษัทซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฉันโดยตรง
"ผมอยากจะเปลี่ยนสไตล์ของโปรดักต์ของบริษัทเรา"
ใจหนึ่งก็เกลียดความตรงแบบไม่อ้อมค้อมนี้ แต่อีกใจฉันก็นึกนิยม ดี! เข้าประเด็นกันตรงๆไปเลย
"ผมว่าเทรนด์สมัยนี้และในอนาคตน่าจะเป็นสไตล์มินิมอล เรียบๆและเข้าถึงง่ายนะครับ"
"นั่นมันเป็นเทรนด์เฉพาะวัยรุ่นหรือเปล่าคะ แบบพวกคอนโดขนาดเล็ก แต่ตลาดของบริษัทเราที่ผ่านมาเป็นแนวลักซ์ชัวรี่ เน้นกลุ่มลูกค้าไฮโซมีบ้านหลังใหญ่ และมีเงินเหลือพอ"
"นั่นล่ะครับ ที่ผมอยากจะเปลี่ยน" นัยน์ตานั้นวาววับ
"ห้ะ อะไรนะคะ คุณเซนจะเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเราหรือคะ" ฉันตกใจ
"ครับ" นัยน์ตานั้นจริงจัง
"ขอเหตุผลค่ะ" ฉันไม่ยอมง่ายๆหรอก
'เด็กสมัยนี้' เค้าเป็นเหมือนกันหมดหรือเปล่า มั่นใจในตัวเองกันซะเหลือเกิน นึกจะทำอะไรก็ทำ!
"ตลาดแนวนี้ไม่เหมาะกับผม นั่นมันตลาดของพ่อผม" น้ำเสียงนั้นราบเรียบ
"แล้วคุณเซนได้ทำการสำรวจตลาดหรือยังคะ ว่าตลาดแบบไหนจะทำเงินให้กับบริษัทของเรามากกว่ากัน" ฉันต้องอ้างการตลาด ที่ผ่านมาบริษัทเราก็ยังทำเงินได้ดีอยู่ แล้วคุณเซนจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม
"ผมไม่สนครับ ผมสนแต่ว่า... โซฟาดอกไม้ชนิดที่เรามีอยู่มันไม่เหมาะกับผม และผมก็ต้องการจะเปลี่ยน"
โอ้ว มายก้อด! นี่ฉันต้องมาทำงานกับเด็กเอาแต่ใจตัวเองหรือนี่
"แล้วคุณเซนได้ปรึกษาคุณราเชนทร์หรือยังคะ"
"ไม่จำเป็นครับ เราตกลงกันแล้ว คุณราเชนทร์วางมือจากบริษัทนี้อย่างเต็มตัวแล้ว ทุกการตัดสินใจคือสิทธิ์ขาดของผม" น้ำเสียงนั้นเด็ดขาด
ฉันถอนหายใจ การเปลี่ยนสไตล์ของบริษัทนี่มันเรื่องใหญ่มากนะ เด็กน้อยนี่เค้าคิดอะไรของเค้า
บริษัทของเราเป็นบริษัทขนาดกลางที่เชี่ยวชาญการผลิตสิ่งที่รองรับการนั่งอย่างนุ่มสบายและผ่อนคลาย หรือที่เรียกง่ายๆว่า 'โซฟา' เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซฟาหุ้มด้วยผ้า ไม่ว่าจะเป็นโซฟาเข้ามุม โซฟาเบด โซฟาเซต หรืออาร์มแชร์
"ถ้าเปลี่ยนสไตล์การออกแบบ เราต้องเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรเยอะมากนะคะ ทั้งหาซัพพลายเออร์เจ้าใหม่ ทั้งเปลี่ยนสไตล์การนำเสนอของเว็บไซต์ ของแค็ตตาล็อก การเจาะตลาดใหม่ แล้วอย่างนี้ไม่น่าเสียดายฐานลูกค้าเดิมแย่หรือคะ"
"นั่นคืองานที่เราต้องวางแผนกันในปีนี้" ท่านประธานพูดดูเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน
นี่ฉันกำลังจะสบายแล้วเชียว ทำงานที่นี่มานานจนอยู่ตัวแล้ว นี่จะต้องหาเรื่องมาปวดหัวอีกรึ
และราวกับจะอ่านใจฉันออก คุณหัวหน้าคนใหม่ก็พูดต่อไปด้วยนัยน์ตายิ้มเยาะเช่นเคย
"คุณลลินอยู่ที่นี่มานานก็น่าจะอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างนะครับ ลายดอกไม้แบบนี้มันน่าจะเอ๊าท์ไปแล้ว"
ดู ดูความพูดตรงไม่เกรงอกเกรงกันใจกันนั่น ดูหน้าตากวนโอ๊ยนั่น ดูปากบางๆแบบโจ๊กเกอร์นั่น แล้วก็ดูตายาวเรียวคมเฉี่ยวเซนดึเระใต้แว่นกลมนั่นอีก
เกลียดนัก สายตาเรียบเฉยแต่มีแววเหมือนจะยิ้มเยาะฉันอยู่ตลอดเวลา
"ลายดอกไม้มันคือลายคลาสิคค่ะ อยู่คู่กับโลกใบนี้มาทุกยุคทุกสมัย และถ้าบางสิ่งมันยังดีงามอยู่ จะต้องไปลำบากเปลี่ยนมันทำไมล่ะคะ ดีไซน์อย่างนี้น่ะ เค้าเรียกดีไซน์สายคลาสิคค่ะ คนรุ่นใหม่อาจจะไม่เห็นค่า แต่มันก็ทำรายได้ให้บริษัทเรามาตลอด"
ฉันร่ายยาว ฮึ นึกว่าฉันจะกลัวรึ ฉันแก่ก็จริง แต่ก็เก๋านะจ๊ะเด็กน้อย
"อดีตอาจใช่ครับ แต่อนาคตผมว่าไม่แน่" สายตาที่ส่งมาด้วยความมั่นใจนั่นทำเอาต่อมหมั่นไส้ของฉันทำงานรัวๆ
"สิ้นปีนี้เราจะได้พิสูจน์กันครับ ว่าคำว่า 'คลาสิค' มันยังทำรายได้ดีหรือเปล่า"
เหมือนคนพูดจะไม่ได้สนใจว่าฉันจะรู้สึกอย่างไร ไม่ได้สนใจคุณค่าของฉันที่มีต่อบริษัทตลอดระยะที่ผ่านมาเลย
"แล้วถ้าทีมไหนเป็นฝ่ายแพ้ก็ต้องถูกไล่ออกงั้นหรือคะ มันไม่ไร้มนุษยธรรมไปหน่อยหรือคะ"
"ผมยังไม่เคยพูดเลยว่าจะไล่ใครออก" คราวนี้คุณเซนทำหน้าฉงนจริงจัง
"ก็สุกรีบอกว่า…"
ฉันหยุดคำพูดไว้ทัน ความจริงฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบอ้างคำพูดของลูกน้อง นี่ฉันเพิ่งฟังความข้างเดียวมาจากสุกรี หรือพวกนั้นจะเข้าใจอะไรผิดไป
"เอาล่ะ อาทิตย์หน้าผมจะให้ทีม Younger Fresher เข้ามาบรีฟสไตล์การออกแบบของทีมเค้าให้คุณฟัง แล้วเรามาวางแผนกันว่าเวลาอีกสิบเอ็ดเดือนที่เหลือของปีนี้ พวกคุณต้องทำอะไรกันบ้าง สำหรับวันนี้ ขอบคุณมากครับ ผมมีงานต้องทำต่อแล้วครับ"
วิธีการตัดบทแบบตรงๆ นั่นทำเอาฉันหน้าร้อนผ่าว กัดริมฝีปากด้วยความโกรธ
ใจเย็นไว้ลลิน ระดับเธอแล้ว เธอต้องแสดงความไม่ยี่หระกับความมั่นอกมั่นใจที่น่าหมั่นไส้ของเจ้าเด็กนี่ อย่าให้เค้ามายั่วโมโหเธอได้ คิดว่าเท่มากกับไอ้ท่าทางเย็นชานั่นใช่มั้ย ได้เลย งั้นมาแข่งกันว่า ใครจะทำให้ใครหมั่นไส้ได้มากกว่ากัน
แล้วฉันก็ยิ้มกว้าง ทำเสียงขี้เล่นบอกกับท่านประธานคนใหม่ไปว่า
"ได้เลยค่ะบอส ดิฉันก็ชอบที่จะเห็นอะไรใหม่ๆในบริษัทเราเหมือนกัน ก็อยากจะรู้เหมือนกันค่ะว่า 'ความใหม่' มันจะไปรอดหรือเปล่า ถึงจะต้องให้ 'ความเก่า' มาช่วยพยุงในท้ายที่สุด ไว้ว่างๆค่อยคุยกันใหม่ค่ะบอส"
"ครับ" เสียงตอบรับสั้นๆมาพร้อมกับแววตาที่ท้าทาย…
แม้จะทำยักคิ้วหลิ่วตาเริงร่ากับคุณเซนก่อนจากมา แต่เอาเข้าจริง ฉันก็เดินกลับมาที่ห้องทำงานด้วยอาการหน้าชาตัวชา
เหมือนความภาคภูมิใจที่มีมานานถูกลากไปตบกลางทุ่งลาเวนเดอร์ คิดไปถึงอดีตที่เคยเป็นมือหนึ่งของบริษัท ใครๆก็เกรงใจรักใคร่ชื่นชม โดยเฉพาะคุณราเชนทร์ อดีตท่านประธาน ซึ่งเป็นพ่อของอีตานี่
คุณราเชนทร์เอาอกเอาใจฉันมาโดยตลอด ถูกใจทุกอย่างที่ฉันเสนอไป ฝากแนวทางของบริษัทไว้ในมือฉัน แล้วนี่อะไร พอเด็กน้อยเข้ามาได้วันเดียว ความสำคัญของฉันในบริษัทนี้ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนอะไรพูดจาไม่เกรงใจคนอื่นบ้างเลย โดยเฉพาะคนเก่าแก่แบบฉัน คนแบบนี้มาเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร
คุณราเชนทร์คิดอะไรอยู่ ไม่รู้จักนิสัยของลูกชายเลยหรือไง
ไม่ได้ ฉันจะยอมให้เค้าใช้นิสัยเอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้ไม่ได้ ฉันต้องไปพูดกับคุณไมตรีอย่างด่วน
คุณไมตรีเคยเป็นมือขวาของคุณราเชนทร์ และตอนนี้ก็กลายเป็นมือขวาของเด็กน้อยนี่แทน ทำไมคุณไมตรีไม่ทัดทานอะไรบ้างเลย ปล่อยให้เจ้าเด็กน้อยทำบริษัทเละตามใจชอบงั้นรึ
ขณะที่ฉันกำลังเรียบเรียงสิ่งที่จะไปคุยกับคุณไมตรี ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน แล้วประตูก็เปิดผลัวะแทบจะในทันที
"ซิส! แย่แล้ว! แย่แน่ๆ เจอจับจ้องแน่ๆงานนี้" เสียงคิตตี้ร้อนรนมาก่อนตัวตามเคย
หากต้องการข่าวเร็วข่าวด่วนข่าวดราม่าคุณจะได้จากคิตตี้ แต่หากคุณต้องการรายละเอียดที่ชัดเจน คุณต้องหันไปหาน้องเยลลี่ และก็แน่นอน หากมีคิตตี้ ก็ต้องมีเยลลี่ และสุกรีก็ต้องตามมา
"เยลลี่ เกิดอะไรขึ้นคะ" ฉันถามสาวหมวยที่กำลังเดินตามเข้ามา
"เพิ่งมีเมล์ออกมาจากทางฝ่ายบุคคลค่ะ จะมีการปรับปรุงห้องทำงานของพวกเราใหม่ค่ะ เอาพาร์ทิชั่นที่กั้นระหว่างโต๊ะออก เน้นนั่งกันแบบเปิดโล่ง จัดผังการนั่งทำงานใหม่ในทุกแผนก"
แม้ชั้นสองของอาคารบริษัทเราจะมีลักษณะเป็นชั้นลอยเปิดโล่ง และเราจะนั่งทำงานรวมกันทุกแผนกอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังมีพาร์ทิชั่นกั้นระหว่างโต๊ะทำงานของแต่ละคนในลักษณะคอกเพื่อความเป็นส่วนตัว และหัวหน้าแผนกต่างๆจะมีห้องส่วนตัวเล็กๆซึ่งเรียงแถวอยู่ริมของผนังด้านหนึ่ง
"แปลว่าพวกเธอจะไม่มีคอกส่วนตัวกันแล้วรึ" ฉันสรุปใจความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
"ถ้าหนูคุยโทรศัพท์กับแฟนทุกคนก็ได้ยินกันหมดเลยสิทีนี้" คิตตี้คงเริ่มคิดไปถึงกิจวัตรประจำวันที่ทำเป็นปกติ
"ปกติเราก็ได้ยินกันอยู่แล้วนะครับพี่คิตตี้ ตอนนั้นที่พี่กำลังจะจับได้ว่าแฟนพี่ไปมีกิ๊ก พวกเรายังคอยลุ้นไปด้วยเลย" สุกรีคอนเฟิร์มด้วยข้อเท็จจริง
"แหม คุณสุกรีคะ แล้วทีหล่อนโทรคุยผลบอลทีมผีทีมหงส์อะไรนั่นเป็นชั่วโมง จากเดิมที่ดิฉันเกลียดฟุตบอลเป็นที่สุด ตอนนี้ก็รู้แล้วล่ะค่ะว่าเจอราด์ถูกซื้อตัวไป อดลงแข่งให้แมนยูในฤดูกาลหน้า" คิดตี้ไม่ยอมแพ้ แถลงข้อเท็จจริงของฝั่งสุกรีบ้าง
"งานนี้มีเยลลี่รอดอยู่คนเดียว"
ฉันมองยิ้มๆไปทางลูกทีมที่ถึงแม้จะอ่อนวัยที่สุดในทีม แต่ก็ยังสูงวัยกว่าท่านประธานบริษัทคนใหม่
"หนูก็ไม่รอดค่ะพี่ อดแอบอ่านนิยายออนไลน์เลย" เยลลี่หน้าจ๋อย
"อ้าว ที่เปิดๆเห็นตัวหนังสือเป็นพืดนั่นนิยายออนไลน์หรอกหรือ พี่นึกว่าเป็นเปเปอร์ข้อมูลรีเสิร์ชเรื่องเทรนด์ใหม่ๆไรงี้"
ฉันล่ะแปลกใจ เยลลี่ก็เป็นไปกับคนอื่นด้วยหรือ
"พี่เสียใจด้วยกับทุกๆคนนะ" ฉันเอ่ยออกมาในที่สุดด้วยสายตาที่สงสารลูกทีมจับใจ
"แต่เอาเถอะ เราก็จะได้ตั้งใจทำงานกันเต็มที่ สู้สู้นะพวกเรา" และทำตัวเป็นหัวหน้าที่ดีโดยการให้กำลังใจกับทุกคน
"ยังครับ ยังไม่จบ พี่อย่าเพิ่งแอบยิ้มครับพี่" สุกรีรีบพูดดักฉันเอาไว้ นี่สุกรีรู้ได้ไงว่าฉันแอบยิ้มในใจ
"และที่สำคัญที่สุดคือห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าแผนกจะถูกนำไปเป็นห้องประชุมเล็กด้วยค่ะ หัวหน้าก็ต้องมานั่งทำงานปะปนกับพวกเรา" ในที่สุดเยลลี่ก็เผยประโยคสำคัญที่สุดออกมา
"ว็อท??? $%/§? & ($=!!!!" ฉันเผลออุทานออกไปอย่างลืมตัว
"คุณเซนทำยังงี้ได้ไง เรื่องนี้พี่ไม่ยอมนะ" ฉันโวยวายออกไปอย่างลืมตัว
"คนเราต้องการเวลาส่วนตัวกันทั้งนั้น ใครจะชอบให้คนอื่นมาแอบดูหน้าจอคอมของเรา เราต้องปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของเราเอง เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเลย ใช่ไหมเยลลี่" ฉันหันหน้าร้อนมาทางเยลลี่
"เอ่อ… หนูไม่แน่ใจ" เยลลี่สับสน
"พี่ใจเย็นครับ" สุกรีพยายามดับความหน้าร้อนของฉัน
เรื่องของการใช้เวลาทำงานไปในทางส่วนตัวนั้น เป็นเรื่องปกติของพนักงานบริษัทเรา ซึ่งบรรดาหัวหน้าแผนกต่างๆก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรนัก ก็เอ่อ… เพราะหัวหน้าก็ทำเหมือนกัน…
ฉันรู้สึกตัวเมื่อเห็นทั้งคิตตี้และเยลลี่กำลังจ้องมองฉันอย่างมึนงง
"เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งตระหนกล่วงหน้ากันไปไกล รอดูสถานการณ์กันก่อนนะจ๊ะ บางทีเรื่องที่เราคิด อาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด" ยังไงฉันก็มีหน้าที่ต้องปลอบโยนลูกน้องไปตามประสาหัวหน้าที่มีคุณธรรม แม้ในใจจะกำลังเดือดปุดๆ
ท่านประธานบริษัทคุณเซนเจ้าเด็กน้อยนั่น เค้าคิดอะไรของเค้าอยู่นะ ทำไมช่างหาเรื่องเดือดร้อนมาสู่พวกเราจริงๆ…