webnovel

ภาพวาดของฆาตกร

หญิงชรา รูปร่างผอมซูบราวซากไม้แห้งกรัง ที่ไม่มีใครทราบว่าเธออายุเท่าไหร่ เด็กชายอายุไม่ถึงสิบปีที่ผ่ายผอม เขาสามารถสังหารคนทวงหนี้ได้ด้วยตนเองจริง ๆ หรือ ชายที่มีใจเป็นหญิง เขาโหดร้ายพอที่จะทารุณกรรมพ่อที่เป็นอัมพาตจนตายหรือเปล่า ภัณฑารักษ์หญิงสูงวัย ผู้สวมแว่นตาดำปิดบังดวงตาอยู่ตลอดเวลา ชายสูงวัยผมและหนวดเครายาว ผู้มีความเป็นศิลปินปรากฏอยู่ในภาพลักษณ์ ชายหนุ่มผมเกรียนที่พกพากล้องถ่ายภาพอันเขื่อง หญิงสาวที่เล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา ผม ชายผู้หลบหนีจากโลกเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ… งานศิลปะเป็นการสื่อสารความรู้สึกจากผู้ผลิตงานไปยังผู้พบเห็น การจะเข้าใจงานศิลปะเป็นเรื่องที่อาจจะต้องตีความเพื่อให้เข้าใจจิตใจของคน ทั้งด้านมืดและสว่าง บางครั้งเป็นเรื่องของชีวิตที่เดินไปสู่ความตาย...

DaoistpRuDrI · Horror
Sin suficientes valoraciones
3 Chs

“SLIT”

ภัณฑารักษ์พยักหน้าให้กับพวกเรา ก่อนจะนำชมภาพต่อไป เธอผายมือไปที่รูปทางด้านขวาถัดจากรูปหญิงชรา แต่ยังไม่เริ่มการบรรยาย เหมือนเจตนาจะให้ผู้ชมได้ดูด้วยตัวเองก่อนเพื่อซึมซับความรู้สึก

ภาพที่สองเป็นภาพของเด็กชาย ผมคะเนว่าอายุคงไม่เกินสิบขวบ

ใช่แล้ว มันคือภาพที่ทำให้ผมลังเลว่างานนี้เป็นการแสดง 'ภาพที่ฆาตกรวาด หรือเป็น ภาพที่วาดฆาตกร' ในตอนแรกภาพนั้น นั่นเอง...

เด็กชายตัวน้อยหน้าตาน่ารัก แต่ค่อนข้างผ่ายผอม ใบหน้าตอบเซียว แขนปล่อยตกห้อยลงข้างร่างกาย ก้มหน้าเล็กน้อย ผมบนศีรษะไม่ค่อยเป็นทรงคล้ายกับเด็กนักเรียนที่เคยตัดผมสั้นเกรียน แต่ถูกปล่อยปละละเลยจนยาว ท่าทางออกแก่นนิดๆ มอมแมมหน่อยๆ

ด้วยทรงผมสภาพนี้ หากไปโรงเรียนที่เคร่งในระเบียบและไม่เคารพสิทธิ์ในร่างกายของเด็กเพียงพอ เขาอาจถูกจับไปทำโทษด้วยการกล้อนผมหน้าแถวของเด็กทั้งโรงเรียน เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างว่า 'อย่าได้ริอ่านไว้ทรงผมผิดระเบียบ...'

ผมนึกเอ็นดูเด็กในภาพอยู่ในใจ

ภาพถูกวาดขึ้นได้ดี จนผมรู้สึกเหมือนได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าเด็กตัวจิ๋วคนนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่ยืนอยู่หน้ารูป

งานชิ้นนี้ถูกวาดขึ้นด้วยเทคนิคการใช้ 'สีเกรยอง' ปาดไปบนกระดาษขาวแผ่นใหญ่ งดงามและมีมิติ เป็นผลงานชั้นเยี่ยมที่ไม่น่าเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นด้วยแท่งสีทรงสี่เหลี่ยมที่ยาวเพียง 3 นิ้ว กว้าง ¼ นิ้ว และใช้สีดำแค่สีเดียว...

ผมเคยเห็นศิลปินวาดรูปด้วยเกรยองมาก่อน เขาจะสร้างผลงานด้วยการใช้มือกุมแท่งสี ปาด ลาก ขีด บิด ถู และเกลี่ย ไปมาบนแผ่นกระดาษ ให้ออกมาเป็นรูปทรง

ยิ่งศิลปินมีทักษะสูง ภาพที่ออกมาก็จะยิ่งคมชัด และสะอาด ทุก ๆ ลวดลายเป็นการขยับมืออย่างมีจังหวะเท่าที่จำเป็นไม่ขาดไม่เกิน...

'ขาด' จะไม่สมบูรณ์

'เกิน' จะสกปรก...

ผมรู้สึกว่า เด็กน้อยในภาพ สมจริง ไม่ขาด ไม่เกิน หากแต่ไม่มีความสดใสเหมือนที่เด็กไร้เดียงสาวัยนี้ควรจะมีและควรจะเป็น

แววตาของเขาแสดงออกซึ่งความหม่นหมอง แฝงไว้ด้วยความเศร้า...

นั่นเป็นความรู้สึกของผมเมื่อมองภาพในช่วงแรก แต่ก็อาจเป็นเพราะมันถูกวาดขึ้นจาก เกรยอง สีดำ ลายเส้นสีหม่น ทำให้ภาพหมอง ขาดความสดใส

แต่ยิ่งจ้องมองนานยิ่งพบว่ามันไม่ได้มีแค่ความหม่นเศร้า มันยังแฝงความรู้สึก... กดดัน อึดอัด และบีบคั้น

ความรู้สึกเหล่านั้นแผ่ซ่านออกจากภาพมายังตัวผมที่เฝ้ามอง จนเกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจขาดห้วง แต่...ก็ไม่สามารถที่จะถอนสายตาออกจากภาพ และไม่สามารถสลัดความรู้สึกนั้นได้ ราวกับถูกสะกดให้ทำได้เพียงมองลึกลงไปตามเส้นลายและการแรเงาที่สะเทือนอารมณ์เหล่านั้น...

ภาพนั้นถ่ายทอดความอึดอัดของเด็กออกมา

เป็นความอึดอัดที่เขาต้องเผชิญและทนต่อไปไม่ไหว จนในที่สุดต้องปลดปล่อยมันออกมา ด้วยการแหกปาก กรีดร้อง!

แต่มันไม่ใช่เสียงกรีดร้องของเด็กวัยไม่กี่ขวบ หากเป็นเสียงร้องของสัตว์ร้ายหรือตัวอะไรบางอย่างที่ผมเคยไม่รู้จัก!

มันกำลังกรีดร้อง คำราม ครวญคราง ด้วยเสียงที่หวีดสูงบาดลึก เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เคียดแค้น อัดอั้น และอาฆาต...

นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเมื่อมองดูภาพของเด็ก... บางทีผมอาจจะเกิดอาการหลอนไปเอง อันเป็นผลกระทบทางอารมณ์จากการดูภาพและฟังเรื่องราวของหญิงชราในภาพก่อนหน้า จึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้...

ผมจมดิ่งในอารมณ์นั้นนานเท่าไหร่ไม่ทราบ จนมีเสียงดังขึ้นแทรกและลากสติผมให้สามารถกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้อีกครั้ง

"เด็กชายในภาพคนนี้ อายุ 9 ปี 11 เดือน เขาเป็นเด็กที่กำเนิดจากครอบครัวยากจน พ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่แบเบาะ ว่ากันว่าพอเขาคลอดออกมาได้ไม่ถึงเดือน พ่อกับแม่ก็เอามาทิ้งไว้กับยายในสลัม โดยทั้งคู่อ้างว่าจะไปทำงานเพื่อส่งเงินกลับมาให้... แต่นับจากวันนั้น ก็ไม่มีใครเคยพบเห็นพวกเขาอีก ไม่มีเงินส่งมา ไม่มีการโทรหา ไม่มีแม้แต่การติดต่อทางจดหมายหรือฝากข่าวมาถึง คล้ายกับพวกเขาพากันหายสาบสูญไปจากโลกเสียเฉยๆ เขาจึงมีสภาพเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้"

เป็นเสียงภัณฑารักษ์เริ่มบรรยายเกี่ยวกับเด็กในภาพ

"ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ราวสามปี เด็กน้อยก็ต้องกำพร้าเป็นรอบที่สอง ยายที่เลี้ยงดูล้มป่วยและเสียชีวิตลง โชคเขายังดี ที่พี่สาวแท้ๆ ของแม่ รับเอาไปอุปการะ แต่ป้าของเขาก็ใช่ว่าเป็นคนฐานะดี เธอเป็นแม่ค้าขายกับข้าวถุง อาศัยปลูกเพิงสังกะสีอยู่บริเวณที่ว่างท้ายตลาด ซึ่งก็มีพ่อค้าแม่ขายตลอดจนคนงานที่ยากจนปลูกเพิงพักอาศัยกันอยู่เป็นทิวแถว จนพื้นว่างนั้นกลายเป็นชุมชนแออัดน้อย ๆ ท้ายตลาดไป"

"แม้จะลำบากแต่เขายังได้รับความรักจากป้าอย่างเต็มที่ เพราะเธอเป็นคนโสดไม่มีสามีและลูก จึงดูแลและให้ความรักเขาเพียงคนเดียว แม้เงินทองค่อนข้างขัดสน แต่ก็ยังพยายามเลี้ยงดูและส่งเสียให้เขาได้รับการศึกษา เด็กชายรักป้าของเขามาก เขาเรียกเธอว่า 'แม่ป้า' ..."

"เด็กชายและแม่ป้าของเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ แต่เมื่อเขาเริ่มโตขึ้น เรียนชั้นสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถึงรัฐจะมีนโยบายเรียนฟรี แต่มีช่องให้เกิดค่าใช้จ่ายแฝง ไม่ว่าจะเป็นชุดที่มีหลายแบบ ชุดนักเรียน ชุดพละ ชุดพื้นถิ่น ชุดลูกเสือ ไม่นับพวกอุปกรณ์การเรียนเพิ่มเติมที่จะต้องมีต้องเตรียม ล้วนเป็นภาระของคนหาเช้ากินค่ำที่แทบหลั่งน้ำตากินแทนข้าวในช่วงเปิดเทอม"

"ซ้ำร้ายตลาดที่พวกเขาอาศัยและขายของอยู่มีคนมาซื้อของลดลง เหตุเพราะพื้นที่ใกล้ๆ มีคนสร้างตลาดใหม่ขึ้นแข่ง ใหญ่กว่า สะอาดกว่า น่าเดินมากกว่า ลูกค้าตลาดเดิมก็น้อยขายของไม่คล่อง พ่อค้าแม่ขายในตลาดเริ่มทยอยปิดร้านขยับขยายไปหาที่ทำมาหากินใหม่ จนแม้กระทั่งเพิงพักคนยากที่เคยอาศัยก็พากันรื้อถอนออกไป ในละแวกนั้นเหลือเพียงแค่แม่ป้ากับเด็กชาย และหญิงชราสติไม่ดีที่เป็นขอทานในตลาดอีกรายหนึ่งเท่านั้นที่ยังอาศัยพักค้างคืนในตลาด ดังนั้นพอค่ำบริเวณตลาดก็กลายเป็นที่เปลี่ยว"

"รายได้ของแม่ป้าและเด็กชายลดลง สวนทางกับเจ้าของตลาดที่มาขอขึ้นราคาค่าเช่าแผง เหตุผลเพราะรายได้ของเขาลดไม่เพียงพอเป็นค่าดูแลจัดการตลาด จึงต้องมาเรียกเก็บเงินจากคนขายของเพิ่ม การเงินของแม่ป้าเริ่มติดขัด และในที่สุด... ก็เข้าสู้วัฏจักรหนี้"

"แม่ป้าของเขาหมุนเงินไม่ทัน เริ่มกู้หนี้ยืมสิน แต่เมื่อครบเวลารายได้ไม่พอจ่าย ก็ต้องไปหากู้ยืมจากอีกที่ในยอดเงินที่สูงกว่ามาจ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยเดิม หนี้สินเริ่มพะรุงพะรังและมีปริมาณหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วปัญหาครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจผิด ถลำตัวไปกู้เงินจากพวกปล่อยเงินกู้นอกระบบขี้โกง! คนจนมีโอกาสเข้าถึงสถาบันการเงินที่เป็นทางการน้อย เกิดช่องโอกาสให้พวกนี้แฝงตัวเข้ามาขูดรีดหาผลประโยชน์"

"ดอกเบี้ยสูงและเก็บกันเป็นรายวัน ราคามันสูงลิบเกินกว่าที่จะหาเงินมาจ่ายให้หมดสิ้นได้ไหว ช่วงแรกยังพอกัดฟันส่งดอกเบี้ยรายวันได้ แต่นานเข้าสถานการณ์กลับยิ่งแย่ลง ดอกเบี้ยรายวันสูงเกินไปและไม่หมดไม่สิ้นเพราะมันไม่เคยไปลดเงินต้น เมื่อไม่สามารถจ่ายไหว ก็เริ่มผัดผ่อน... ซึ่งนั้นก็เข้าทางพวกมัน!"

"ดอกเบี้ยโหดทบทวี จนมียอดดอกเบี้ยรายวันค้างสูง พวกเจ้าหนี้ก็จัดการยัดเยียดให้ดอกเบี้ยก้อนนั้นกลายมาเป็นเงินต้นที่มีดอกเบี้ยรายวันทบเข้าไป... วนอยู่แบบนี้ เพียงไม่นาน แม่ป้าของเด็กชายก็ถูกยึดแผงในตลาดเพราะส่งดอกเบี้ยไม่ไหว แม้แต่ข้าวของเครื่องครัวที่ใช้ประกอบอาชีพก็ยึดเอาไปหมด และสิ่งของเหล่านั้นมันคือทรัพย์สินทั้งหมดที่พวกเขามี แต่... น่าเศร้าที่แม้จะถูกยึดไปจนหมด มันก็ยังไม่พอใช้หนี้เงินกู้เถื่อนก้อนนั้นได้..."

จ่ายหนี้เงินกู้นอกระบบไม่ได้ หมายถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับร่างกายและทรัพย์สิน... เรื่องนี้ปรากฏในข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้งจนแทบชาชิน แต่มักไม่อาจทำใจรับกับมัน...

เดือนพฤษภาคม 2024 อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย หญิงชราอายุ 75 ปี ถูกชาย 2 คน ทำร้ายด้วยการตบด้วยโทรศัพท์มือถือเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงและกระชากเสื้อจนล้ม รวมทั้งทุบทำลายข้าวของภายในร้าน และถุยน้ำลายใส่อาหารที่วางขาย ข่มขู่ว่าหากไม่ใช้เงินกู้จะกลับมาพังร้านซ้ำ

เดือนกุมภาพันธ์ 2024 อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บถึงขั้นซี่โครงหัก ผู้ลงมือเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบคิดอัตราดอกเบี้ย 240% ต่อปี หากผิดนัดไม่จ่ายดอกเบี้ยจะถูกคุกคามและทำร้าย

หลายครั้งที่เห็นข่าวแบบนี้ และมีข่าวในลักษณะเดียวกันในหลายประเทศ บางครั้งทำร้ายร่างกายสาหัส บางครั้งรุนแรงจนถึงแก่ความตาย... การทวงหนี้อันโหดร้าย เป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นเสมอ มันคือเรื่องเศร้าแต่ก็เป็นเรื่องจริง...

"บ่อยครั้งที่เด็กชายต้องเห็นแม่ป้าของเขาถูกคุกคามและทำร้าย ตบตี กระชากผม ทุบทำลายข้าวของ เป็นเรื่องน่าสลดใจและทำให้เด็กชายหวาดกลัว มีบางครั้งที่เขาต้องเผชิญกับพวกทวงหนี้เป็นชายสามสี่คนบุกมาหาแม่ป้าและเขาในเพิงพักยามค่ำ แม่ป้าจะไล่เขาให้ออกไปเล่นข้างนอก ที่เขาต้องทนจับเจ่าในความมืดนานเป็นชั่วโมงๆ จนกว่าพวกมันจะกลับไป แน่นอน เด็กชายยังเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่ามันเกิดการคุกคามทางเพศในแบบรุมโทรมกับแม่ป้าของเขา เขารู้เพียงมันเลวร้ายและทำให้แม่ป้าต้องร้องไห้ตลอดคืนเสมอ เมื่อพวกมันมาเยือน"

"เมื่อไม่มีเครื่องครัวและอุปกรณ์ในการทำอาหารขาย สองคนป้าหลานก็อยู่กันอย่างยากลำบากมากขึ้น ต้องหารายได้จากการรับจ้างเตรียมกล้วยให้กับร้านขายกล้วยแขกทอด ร้านนี้เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ร้านที่ยังขายดีในตลาด เนื่องจากขายมานานมีชื่อเสียง และมีรสชาติดีกว่าเจ้าอื่นๆ ในละแวกนั้น"

"รายได้จากการเตรียมกล้วยน้อยนิด เพียงแค่พอให้สองคนป้าหลานมีเงินซื้ออาหารกิน เด็กชายต้องหยุดไปเรียนเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ และเขาอยากช่วยแม่ป้าทำงานหารายได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้รับการศึกษา เขายังคงได้เรียนกับครูอาสาที่เข้ามาสอนเด็กยากจน คนไร้บ้านในชุมชนตอนค่ำสัปดาห์ละสองวัน ซึ่งเขาก็ไปไม่เคยขาด"

"ส่วนเรื่องการทำงาน สิ่งที่ต้องทำก็คือการเตรียมกล้วยให้พร้อมนำลงทอดขาย ไล่ตั้งแต่การตัดกล้วยออกจากหวี โดยใช้มีดปลายโค้งที่เรียกว่า มีดปาดกล้วย เข้าเกี่ยวเฉือนหวีกล้วยออกจากเครือ จากนั้นก็ปอกเปลือก ฝานเนื้อกล้วยเป็นแผ่น ๆ เอาไปใส่ลงไปในน้ำปรุง ที่ผสมขึ้นจากแป้งข้าวเจ้า มะพร้าวขูด น้ำตาลทราย งาขาว และเกลือ เตรียมเอาไว้ให้เจ้าของร้านเอาไปทอดขาย แน่นอนว่าช่วงแรก ๆ เด็กชายได้บาดแผลที่มือมาไม่น้อย เพราะต้องทำงานกับของมีคมที่ไม่คุ้นเคย แต่เขาก็ไม่เคยบ่น พยายามช่วยแม่ป้าของเขาทำงานอย่างขยันขันแข็ง"

"แต่... รายได้จากงานนี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยโหดก้อนนั้น... ไม่พอแม้แต่จะจ่ายยอดรายวันต่อให้พวกเขายกค่าจ้างทั้งหมดจ่ายให้พวกมันไป จึงยังคงไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยรายวันได้อย่างสม่ำเสมอ..."

"คืนวันที่ 25 ธันวาคม เมื่อเด็กชายอายุได้ราว 9 ปี 5 เดือน คณะครูอาสามีการจัดงานคริสต์มาสให้กับคนในละแวกตลาด สองคนป้าหลานได้กินอิ่มท้องในวันนั้นหนึ่งมื้อหลังจากไม่ได้สัมผัสการกินจนอิ่มท้องมานาน เป็นวันที่ทั้งสองคนมีความสุข ก่อนจะต้องเผชิญกับความทุกข์ที่สุดในคืนนั้น..."

"จากคำบอกเล่าของผู้ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์มีว่า... ระหว่างทางกลับไปยังเพิงที่พัก สองป้าหลานเดินผ่านตลาดตามปกติ แต่เนื่องจากมันเป็นช่วงค่ำจึงไม่มีคน กลายเป็นสถานที่เปลี่ยว ในช่วงนั้นเองคนเก็บเงินกู้ที่ตามทวงหนี้คนหนึ่ง ก็โผล่พรวดออกมาจากมุมมืดพร้อมกับกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง ตรงเข้ามาขวางหน้าข่มขู่ให้จ่ายเงินที่ค้างมาหลายวัน ป้าไม่มีเงินให้ มันก็ฉุดกระชากเธอไปยังมุมลับตาใต้แผงขายผัก เธอทำได้แต่เพียงไล่ให้เด็กชายไปรอที่แผงขายกล้วยแขกซึ่งอยู่อีกมุมของตลาด เธอคิดว่าคนทวงหนี้มันคงจะยอมจากไปเมื่อมันระบายความหื่นกับเธอเสร็จเหมือนทุกๆ ครั้ง"

"แต่... น่าเศร้า ครั้งนี้มันไม่เพียงย่ำยีทางเพศกับเธอเท่านั้น แต่มันยังลงมือตบตีทำร้าย บังคับให้เธอหาเงินมาจ่ายให้ได้ภายในวันรุ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นจะลงมือทำร้ายและจับเอาหลานชายของเธอไปขายให้แก๊งขอทาน พอโดนทั้งขู่ทั้งทำร้ายหนักเข้าเธอก็ฮึดสู้ ออกแรงถีบยันเข้าที่หน้าท้องของชายคนนั้น ทั้ง ๆ ที่เธอถูกทำร้าย จนนอนกองอยู่กับพื้นในสภาพผ้าผ่อนหลุดลุ่ย เจ้าคนทวงหนี้ที่ยังอยู่ในอาการเมาก็เสียหลักล้ม เอาหน้าไปฟาดเข้ากับขอบของแผงขายผัก จนเป็นแผลแตกที่คิ้วเลือดอาบลงมาเต็มใบหน้า ด้วยความโกรธ มันกระชากขวานที่พกเป็นอาวุธออกมา ฟันฉับเข้าไปที่ข้อมือข้างซ้ายของเธอเต็มแรงจนมือขาดกระเด็น!"

"แม่ป้าของเด็กชายส่งเสียงกรีดร้องได้คำหนึ่งก็หมดสติไปจากพิษบาดแผล เจ้าคนทวงหนี้เองก็ตกใจในเหตุการณ์ที่เลยเถิด ขณะมันทรุดตัวลงเพื่อดูอาการของคนที่ถูกมันทำร้าย จู่ ๆ ก็มีมือเล็ก ๆ ลากผ่านลำคอของมันไป คนทวงหนี้สะดุ้งเฮือกยกมือขึ้นกุมคอ เมื่อหันไปมองจึงพบว่าในเงามืดทางด้านหลังของมัน มีเด็กชายตัวน้อยยืนถือมีดปาดกล้วยปลายโค้งไว้ในมือ ที่สำคัญมีดเล่มนั้นมีคราบของเหลวสีเข้มเปรอะอยู่ มันจึงรู้ตัวว่าโดนเด็กย่องมาเชือดคอ!"

ผมพลันมีความรู้สึกเย็นวาบ เสียวแปลบขึ้นที่ลำคอตามเรื่องที่ได้ฟัง แถมยังรู้สึกถึงกลิ่นคาวคลุ้งของเลือดที่ทะลักขึ้นมาในโพรงจมูก... จำได้ว่าตัวเองกำมือที่เย็นเยียบแต่เปียกชื้นด้วยเหงื่อเอาไว้แน่น

"ผู้ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ด้วยโทสะ คนทวงหนี้พรวดลุกขึ้น เลือดสาดกระจายออกมาจากแผลที่ลำคอเลอะไปทั่วทั้งพื้นและร่างของแม่ป้าที่หมดสติอยู่ แต่มันยังสามารถใช้เท้าถีบและเหยียบกดร่างของเด็กชายล้มหงายลงกับพื้น ตามด้วยการยกเท้าขึ้นหมายใจกระทืบลงตรงอกให้กระดูกแหลก เด็กชายเสือกร่างไถลขึ้นเพื่อหลบแต่ไม่พ้น เท้าของมันแม้จะพลาดจากบริเวณอก แต่ยังไปกระทืบโดนที่กลางหว่างขาของเด็กชายเต็มแรง เด็กน้อยตาเหลือก ร่างกระตุกขึ้นนั่งร้องเสียงลั่นออกมาคำหนึ่งก่อนจะล้มพับแน่นิ่งไป! ส่วนคนทวงหนี้ยืนเอามือกุมคอทำเสียงอ็อก ๆ อยู่ครู่หนึ่งก็โซเซไปมาก่อนจะทรุดฮวบล้มคว่ำลงกับพื้น..."

"เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงในที่เกิดเหตุ พบร่างคนสามคนนอนนิ่งอยู่ที่พื้นภายในตลาด มีคนที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์หนึ่งราย พบเป็นผู้เสียชีวิตในที่เกิดหนึ่งราย เป็นชายอายุประมาณ 40 ปี ผิวดำ รูปร่างสูงใหญ่"

"เป็นผู้มีอาการสาหัสสองราย คนแรกเป็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 35 ปี มือขาดเสมอข้อเป็นแผลฉกรรจ์ ต่อมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเนื่องจากเสียเลือดมาก อีกรายเป็นเด็กชายพบว่าบริเวณอวัยวะเพศถูกกระแทกอย่างแรงจนแหลกเป็นบาดแผลฉีกขาด หมดสติ ส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแพทย์ช่วยชีวิตไว้ได้"

"ในที่เกิดเหตุมีพยานหนึ่งราย เป็นหญิงชราสติไม่ดีที่เป็นขอทานอาศัยอยู่ในตลาดแห่งนั้น และพบอาวุธที่ใช้ก่อเหตุฆาตกรรม เป็นมีดปาดหวีกล้วย ขนาด 8 นิ้ว ตัวใบมีดยาวราว 3 นิ้ว กว้าง 1.5 เซนติเมตร มีเลือดของผู้ตายเปรอะที่ตัวมีด นอกจากนี้พบขวานเปื้อนเลือดที่ใช้ก่อเหตุอีกหนึ่งด้ามในบริเวณเดียวกัน"

"สุดท้ายไม่มีการดำเนินคดีกับเด็กชาย เนื่องจากพยานมีสติไม่สมประกอบ ให้การค่อนข้างวกวน แม้จะพบเลือดของผู้ตายที่มือของเด็กชายตามถ้อยคำของพยาน แต่ก็มีเลือดของผู้ตายเปรอะที่มือขวาและตามร่างกายของหญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้ตายอีกรายด้วยเช่นกัน..."

เด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบคนนี้น่ะหรือที่สามารถลงมือสังหารชายร่างใหญ่คนนั้นได้?

มือเล็ก ๆ คู่นี้น่ะหรือที่จับมีดปาดเข้าที่คอหอยของชายฉกรรจ์ได้อย่างเหมาะเจาะในจุดที่สามารถทำให้เขาตาย?

มีการจัดฉากฆาตกรรมหรือไม่?

ฆาตกรตัวจริงใช่เด็กตัวจิ๋วคนนี้จริง ๆ หรือ?

ล้วนแต่เป็นคำถามที่ประดังขึ้นในใจของผม แต่... ผมยอมรับว่ารู้สึกสะใจ!

"ดี... ตายได้ดี! ไอ้พวกที่เอารัดเอาเปรียบคนที่ลำบาก ชอบทำร้ายคนอื่นอย่างพวกแก๊งปล่อยเงินกู้ขี้ฉ้อ สมควรตายอย่างทารุณ!"

ผมโพล่งออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งรู้ตัวว่าพลั้งปากออกไป ก็เมื่อเห็นทุกคนในห้องพากันจ้องมองมาที่ผม

ทุกคนมองมาด้วยรอยยิ้ม...

แต่... มันเป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาด และทำให้ผมรู้เย็นวาบจนสั่นระริกไปทั้งตัว...

ชายสูงวัยผู้มีรูปลักษณ์แห่งความเป็นศิลปินล้วงกระเป๋ากางเกงคาร์โก้ขายาวของเขาหยิบเอาสมุดเล่มเล็ก ๆ ออกมา พร้อมกับลงมือใช้ดินสอขีดลากอะไรสักอย่างขยุกขยิกลงในหน้าสมุด...