webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Oriental
Sin suficientes valoraciones
1319 Chs

050 วัดเมี่ยวฝ่า (5)

บทที่ 50 วัดเมี่ยวฝ่า (5)

"อา..."

ตอนนี้เสียงร้องโอดครวญของม่อเซิงถูดังขึ้นแล้ว ถ้วยชายังบีบอยู่ในมือ เห็นได้ว่าการซุ่มโจมตีด้วยทวนของเหมียวอี้นั้นรวดเร็วเพียงใด เขาฉวยโอกาสโจมตีตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว

จางซู่เฉิงที่แขนขาดเลือดไหลทะลัก ขณะที่รีบหนีไปก็กางนิ้วทั้งห้าออก เรียกทวนมาไว้ในมือ

พลั่ก!

เหมียวอี้ที่มีสีหน้าดุร้ายเตะม่อเซิงถูที่ยังร้องโอดครวญอยู่กระเด็น พร้อมทั้งกวาดทวนในแนวนอนหนึ่งที ทวนนั้นตัดโดนหัวม่อเซิงถูขาดกระเด็นไป เลือดสดกระจายพุ่งขึ้นกลางอากาศทันที

ม่อเซิงถูที่ศีรษะกับร่างอยู่คนละแห่งล้มลงบนพื้น ส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้อีกแล้ว...

เถ้าแก่เนี้ยนั่งดูเหตุการณ์อยู่บนเตียงเตี้ยในมุ้ง ทั้งคนงาน บัณฑิตและพ่อครัว ต่างก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะลงมือกะทันหันโดยไม่มีวี่แววสักนิด ทีแรกยังนึกว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นคำบอกใบ้เตือนภัยเสียอีก

ตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะค้นพบว่า เด็กหนุ่มที่ดูเรียบง่ายจริงใจคนนี้ ก็มีด้านที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นกัน เล่ห์เหลี่ยมก็มีไม่ขาด ตอนอยู่เฉยดูธรรมดา แต่พอลงมือแล้วรุนแรงถึงชีวิต ทำได้เด็ดขาดทีเดียว!

หากถามว่าคนอย่างเหล่าไป๋ เลือกถ่ายทอดวิชาให้แค่คนดีมีคุณธรรมได้อย่างไร ที่เหล่าไป๋เลือกเหมียวอี้ แน่นอนว่าต้องผ่านการตรวจสอบหลายด้านแล้ว หากไม่มีความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เช่นนั้นเหล่าไป๋คงเสียแรงเปล่า เหมือนเลือกคนไปตายเท่านั้นเอง

จางซู่เฉิงหน้าขาวซีด เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ผนึกแขนที่ขาดและบาดแผลลึกใต้รักแร้แล้ว จับทวนชี้ไปที่เหมียวอี้ด้วยแขนข้างเดียว แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด "ไอ้กระจอก! บังอาจลอบจู่โจมพวกข้า!"

"หากไม่ลอบจู่โจมก็เกรงว่าจะสู้พวกเจ้าไม่ได้น่ะสิ!" เหมียวอี้พูดตรงไม่อ้อมค้อม ราวกับเทพสังหาร ทวนชี้ไปยังจางซู่เฉิง "คาดไม่ถึงเลยว่านักพรตบงกชขาวขั้นสามอย่างพวกเจ้า จะใช้กลอุบายลอบวางยาพิษกับนักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งอย่างข้า ช่างน่าขำที่ต้องมาฆ่าพวกเจ้า! บอกมา! ใครบงการเจ้า?"

เถ้าแก่เนี้ยและลูกน้องมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าหนุ่มคนนี้ใช้วิธีลอบจู่โจม เป็นแค่นักพรตระดับบงกชขาวขั้นหนึ่ง แต่ความกล้าหาญเยอะใช้ได้ คาดไม่ถึงว่านักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งคนเดียวจะกล้าลงมือลอบโจมตีนักพรตบงกชขาวขั้นสามที่มีกันสองคน กล้าหาญเกินคนธรรมดา!

จางซู่เฉิงมองดูแขนขาดด้วนของตน เขาสูญเสียแขนข้างหนึ่งไปแล้วหรือนี่?

พลันแหงนหน้าขึ้น ตะโกนอย่างโกรธแค้น "ตายซะเถอะ!"

เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว พร้อมแทงทวนพุ่งเข้าหาเหมียวอี้

สิ่งที่ทำให้เถ้าแก่เนี้ยและพรรคพวกตะลึงจนกรามค้างก็คือ เจ้าหนุ่มนักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งนั่นดันไม่หลบหลีก เขาประจันหน้าโต้ตอบนักพรตบงกชขาวขั้นสามตรงๆ!

จางซู่เฉิงเคลื่อนกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ไม่หวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย พลันก้าวขาออก รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับทวนขณะกระโจนหนี

เขาลอยขึ้นสูงอยู่ในวิหาร พุ่งทวนออกไปหนึ่งครั้งอย่างรุนแรง พลังอิทธิฤทธิ์เกือบทั้งถูกหมดรวบรวมไว้ที่หัวทวนนั้น ก็เหมือนกับที่เขาฝึกฝนอยู่บนเกาะตอนแรก ต่อให้เจ้าเป็นภูเขาหินลูกใหญ่ ข้าก็จะทำลายล้างเจ้าเสีย

การพยายามรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดแบบนั้น แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยและพรรคพวกยังรู้สึกตกใจ ตอนเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าตนเองสองขั้นยังกล้าทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นอาจารย์ท่านใดหรือสำนักใดที่สามารถขัดเกลาลูกศิษย์นิสัยใจคอแบบนี้ออกมาได้!

บึ้ม!

เสียงดังลั่นสะเทือนทั้งวิหาร พลังอิทธิฤทธิ์สั่นสะเทือนไปสี่ทิศ

ภายใต้พลังอิทธิฤทธิ์ที่กำลังหมุนวนและโหมซัดอย่างรุนแรง ทำให้บรรดารูปสลักที่สั่นคลอนอยู่ก่อนแล้วนั้นล้มครืน ทับกองไฟด้านล่างดับจนกลายเป็นเถ้าถ่าน เกิดประกายไฟปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ

กองไฟที่อยู่ตรงเถ้าแก่เนี้ยก็แทบดับเช่นกัน ประกายไฟปลิวว่อน แต่กลับไม่มีประกายไฟสัมผัสโดนมุ้งสีชมพูที่คลุมเตียงเตี้ยของเถ้าแก่เนี้ยได้

ม้าที่อยู่ด้านนอกตกใจจนส่งเสียงร้องออกมา

การจู่โจมแบบใช้กำลังปะทะกำลัง ทำให้ทั้งสองดีดตัวออกจากกัน

ตรงจุดที่แขนขาดรวมทั้งตรงบาดแผลลึกใต้รักแร้ของจางซู่เฉิง ระเบิดออกเป็นหมอกเลือดสองกลุ่ม เมื่อตกลงสู่พื้นแล้วเขาเซไปข้างหลังสองสามก้าว ใช้แขนข้างเดียวจับทวนยันกับพื้นถึงพยุงตัวขึ้นตั้งหลักได้

ส่วนเหมียวอี้ก็โดนกระแทกปลิวออกไปข้างหลังในชั่วพริบตาเดียว

บู้ม! ผนังหินด้านหลังเหมียวอี้โดนกระแทกจนกลายเป็นโพรงใหญ่ และตัวเขาก็หายเข้าไปในโพรงนั้น

ข้างหลังผนังที่ถล่มมีเสียงตกกระทบกันดังลั่น ตามติดด้วยเสียง 'โครม' อีกครั้ง ทำให้วิหารใหญ่ถล่มลงมาเกินครึ่ง ท่ามกลางฝุ่นควันและก้อนหินที่กลิ้งเกลื่อน หัวทวนด้ามหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังผนังอย่างช้าๆ และเหมียวอี้ที่ถือทวนอยู่ในมือก็ค่อยๆ เดินตามออกมา

เหมียวอี้สภาพยับเยินทั้งตัวยืนอย่างมั่นคงอยู่บนกองหิน ยกมือขึ้นเช็ดเลือดตรงใต้จมูกออก แล้วใช้ทวนชี้จางซู่เฉิงอีกครั้ง "เจ้ามีวรยุทธ์บงกชขาวขั้นสามแล้วยังไงล่ะ? แขนขาดข้างหนึ่งแล้ว หน้าอกก็ถูกฟันไปครึ่งหนึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะกำจัดเจ้าไม่ได้!"

จางซู่เฉิงนึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้าปะทะกับตน แม้การปะทะครั้งนี้จะทำให้เหมียวอี้บาดเจ็บ แต่สภาพของตนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

เดิมทีจางซู่เฉิงก็ขาดแขนไปข้างหนึ่งอยู่แล้ว ใช้มือเดียวบังคับทวน พลังก็ลดลงไปเยอะ แถมยังต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก เพื่อผนึกอาการบาดเจ็บของบาดแผลทั้งสอง รวมทั้งคงสภาพหัวใจที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วย

เหมียวอี้มองจุดนี้ออก จึงรวบรวมพลังทั้งหมดโจมตี ผลก็คือสะเทือนจนเลือดเกือบครึ่งหนึ่งในกายจางซู่เฉิงไหลทะลักออกจากบาดแผล

ร่างกายของจางซู่เฉิงโซเซจวนจะล้ม สีหน้ายิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่จุดเลือดออกที่เห็นได้จากภายนอก ในช่องอกของเขาก็มีเลือดทะลักออกมากเช่นกัน

เถ้าแก่เนี้ยและพรรคพวกประหลาดใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าขณะที่อยู่ภายใต้ความกดดันจากพลังอิทธิฤทธิ์ของนักพรตบงกชขาวขั้นสาม เหมียวอี้จะสามารถโต้ตอบกลับได้รุนแรงเช่นนี้ โจมตีจนจางซู่เฉิงมีสภาพอย่างที่เห็น

จางซู่เฉิงเองก็นึกเสียใจทีหลัง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้น แม้แต่นักพรตห้าคนร่วมมือกันต่อสู้ก็ยังเอาชนะเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ตนใช้ระงับเขาไว้ไม่ได้ผลอะไรเลย เกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้มีวิธีการใช้พลังที่อธิบายได้ยาก ผลก็คือตนปะทะกับเขาอย่างรุนแรงขณะกำลังบาดเจ็บหนัก

"ใครบงการเจ้า?" เหมียวอี้ถือทวนชี้ไปที่จางซู่เฉิง "พูดออกมา แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!"

เถ้าแก่เนี้ยและคนอื่นๆ อึ้งไป เมื่อเห็นนักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งกำลังใช้อำนาจคุกคามนักพรตบงกชขาวขั้นสาม

ทันใดนั้นจางซู่เฉิงก็โบกทวนกวาดหนึ่งที ให้แผ่นหินบนพื้นปลิวกระแทกไปใส่เหมียวอี้ แล้วตนก็รีบวิ่งหนีไป

เขาไม่คิดหรอกว่าถ้าบอกไปแล้วเหมียวอี้จะปล่อยเขาไป ทางไหนก็ตายอยู่ดี ไม่สู้พยายามดูสักตั้ง

เหมียวอี้ใช้ทวนปัดแผ่นหินที่พุ่งเข้ามา เขาไม่ได้ไล่ตามจางซู่เฉิงที่หนีไปทางประตูใหญ่ เขาใช้ทั้งตัวชนทะลุฝาผนังวัดไปเพื่อประหยัดเวลา ท่ามกลางก้อนหินที่ปลิวว่อน เขาใช้ทวนแทงเฉียงหนึ่งที แม้ตรงหน้าจะพร่ามัวราวกับชมดอกไม้ท่ามกลางหมอกแต่ก็แม่นยำเหมือนตอนที่เขาปิดตาอยู่ใต้น้ำตกที่ไหลแรง แล้วใช้ทวนพุ่งใส่ก้อนหินที่ตกลงมาตามกระแสน้ำครานั้น

จางซู่เฉิงที่เพิ่งหนีออกจากประตูไปตกใจจนขวัญกระเจิง ใช้ทวนปัดเศษหินกำแพงที่กระจายออกมา เขาอยากจะหนีต่อ แต่กลับวิ่งไม่ออก

เขาก้มหัวมองดูช้าๆ เห็นเพียงทวนด้ามหนึ่งแทงทะลุเอวจากด้านข้าง เกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีแรงจะรวบรวมพลังนี้ขึ้นมาอีก

กริ๊ง!

ทวนในมือจางซู่เฉิงสิ้นแรงตกลงพื้น เขาอยากยื่นมือไปปิดบาดแผลที่เลือดไหล แต่กลับทำไม่ได้ บาดแผลหลายแห่งบนร่างกาย ใช้มือเดียวจะไปปิดได้อย่างไรกัน ตอนนี้สายตาเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

ด้านนอกวิหารยังมีพายุฝนฟ้าคะนอง ละอองฝนปลิวตามลมเข้ามาใต้ชายคาอย่างไม่ขาดสาย

ใต้ความสว่างวาบของแสงฟ้าผ่า อีกคนอยู่ทางซ้าย อีกคนอยู่ทางขวา บนเส้นผมของทั้งคู่เปียกชุ่มไปด้วยสายฝน เมื่ออยู่ใต้แสงฟ้าแลบก็ยิ่งมองเห็นชัด

พระพุทธรูปที่สูงส่งในวิหาร กำลังจ้องมองทั้งคู่อย่างเงียบๆ อีกคนอยู่ตรงประตู ส่วนอีกคนอยู่ในช่องผนังที่พังชำรุด...

…………………………