บทที่ 15 เพ่งใจสู่ทะเลคราม (1)
ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงสองจุดเปล่งออกมาจากภูเขาสองฝั่ง เหมือนกับจ้องมองสมุนไพรเซียน 'ซิงหัว' ที่อยู่ในมือบัณฑิต แสงสีแดงนั้นเคลื่อนมาตามฝั่ง ไล่ตามแพไม้ไผ่ที่ไหลไปข้างหน้าตามคลื่น
ซวบก! งูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งที่ลำตัวหนาเหมือนกับถังน้ำกระโจนออกมาจากฝั่งอย่างดุร้าย ดวงตาเปล่งแสงแดงแต่มีแสงสีแดงด้วย เหมือนคล้ายใกล้จะกลายเป็นปีศาจแล้ว อ้าปากกว้างพุ่งเข้าใส่สมุนไพรเซียน 'ซิงหัว' ที่ลอยอยู่บนฝ่ามือบัณฑิต
บัณฑิตไม่แม้แต่จะมอง ชูมือขึ้นกางห้านิ้ว งูเหลือมยักษ์ลอยแข็งทื่ออยู่กลางอากาศทันที ขยับไปไหนไม่ได้
บัณฑิตสะบัดมือหนึ่งที งูเหลือมยักษ์ตกกระแทกลงในน้ำ ว่ายน้ำตั่วสั่นระริกไปที่หัวแพ และงอหางขึ้นมาบนแพไม้ไผ่ เลื้อยลากแพไม้ไผ่ลอยไปข้างหน้า กลายเป็นแรงงานที่ดีมาก ไม่ต้องใช้คนแจวอีกแล้ว
แพไม้ไผ่โดนงูเหลือมยักษ์ที่เกือบจะกลายเป็นปีศาจตัวนั้นลากฝ่าคลื่นน้ำไปอย่างรวดเร็ว
"สมุนไพรเซียน 'ซิงหัว' อายุเก้าหมื่นเก้าพันปีต้นนี้สามารถช่วยเจ้าเปลี่ยนร่างกายและจิตวิญญาณได้"
บัณฑิตพูดจบ ก็อ้าปากเป่าลมเบาๆ ใส่สมุนไพรเซียนที่ลอยอยู่ ประกายดาวที่อยู่บนกิ่งใบหยกกิ่งทับทิมรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มหมอกดาวงดงามทันที และงดงามมาก ไหลเข้าไปในรูจมูกเหมียวอี้
ไม่นาน บนใบหน้าเหมียวอี้ก็แสดงความเจ็บปวดออกมา เหมือนกำลังดิ้นรนอยู่ในฝันร้ายแต่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ รูขุมขนบนร่างกายเริ่มมีควันดำพุ่งเป็นเกลียวขึ้นมา มีกลิ่นเหม็นน่ากลัวฟุ้งกระจายออกจากตัวเขา เคราะห์ดีที่แพไม้ไผ่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลมที่พัดมาปะทะหน้าช่วยพัดกลิ่นเหม็นออกไป
หลังจากแสงดาวระยิบระยับบนสมุนไพรเซียนถูกเป่าจางหายไป ไม่นานแสงแบบเดิมก็พุ่งขึ้นมาจากกิ่งใบและผลอีกในระยะที่พอดี
บัณฑิตเป่าอีกครั้ง แสงดาวถูกเป่ากลายเป็นกลุ่มหมอกดาวอีกครั้ง แล้วเข้าไปในรูจมูกเหมียวอี้
เขาทำซ้ำแบบนี้เป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม แสงสุกสกาวบนสมุนไพรเซียนค่อยๆ สลัวจางลง สมุนไพรเซียนทั้งต้นก็เหี่ยวเฉาลงไปเช่นกัน แม้แต่ผลสีแดงราวอัญมณีนั้นก็แห้งเหี่ยวจนไม่น่ามอง ราวกับโดนใช้ส่วนสำคัญไปจนหมดแล้ว
แต่ร่างกายของเหมียวอี้มีสิ่งแปลกปลอมคล้ายโคลนดำ ไหลซึมออกมาจากรูขุมขน ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนคลานออกมาจากโคลนสกปรก ส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ โดนบัณฑิตสะบัดแกว่งมือโยนลงไปล้างตัวในแม่น้ำ...
ทั้งสองฝั่งมีเสียงลิงร้องระงม ตอนที่เรือผ่านภูเขาจำนวนมากมาย ผิวน้ำที่อยู่ข้างหน้ากว้างขึ้น เห็นทะเลใหญ่ที่มีคลื่นซัดสาดออกไปไป เหมียวอี้กำลังหลับสนิท ทั้งตัวเปลี่ยนเป็นผิวขาวนุ่มนวลละอ่อน เหมือนทารกที่กำลังหลับอยู่
งูเหลือมยักษ์ที่ลากแพไม้ไผ่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงคลายหางออกแล้ว บัณฑิตโยนนำสมุนไพรเซียน 'ซิงหัว' ที่ใกล้เหี่ยวแห้งโยนออกไปทิ้งไปแล้ว งูเหลือมยักษ์อ้าปากรับแล้วกลืนลงคอไป มันทำเสียง ‘ช่าๆ’ คล้ายได้ปลดปล่อยตัวเองเสียทีเยาะเย้ยใส่บัณฑิตเหมือนดีใจที่โดนปล่อยตัว และหันกลับหัวลงน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว
บัณฑิตก้าวไปยังหัวแพ จอนผมขาวสองข้างปลิวว่อนอยู่บนเสื้อคลุม เขาหันหน้าเข้าไปยังทะเลใหญ่ ชั่วพริบตาเดียวแพไม้ไผ่ใต้เท้าเคลื่อนที่ไปไกลเกินร้อยจั้ง ก็บินผ่านทะเลกว้างใหญ่ไปด้วยความรวด เร็วมากจนน่าเหลือเชื่อ
ครึ่งวันผ่านไป แพไม้ไผ่เกยตื้นบนหาดทรายของเกาะนิรนามแห่งหนึ่ง คลื่นซัดเป็นฟอง เหมียวอี้ยังคงหลับลึกอยู่
บัณฑิตเผยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง ราวกับมีภาระหนักหน่วงสุดจะทน ทั้งตัวเพร่ามัวเหมือนภาพลวงตา ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีขาวทะลวงเข้าไปพักฟื้นข้างในลูกประคำสีเขียวเข้มบนคอเหมียวอี้...
กระแสน้ำขึ้นและลง
"ยามพอเหมียวอี้ตื่นขึ้นมา บัณฑิตพาเขาไปยังมาถึงถ้ำเทพในภูเขาที่มีฝุ่นจับเต็มไปหมดแล้ว แลค้นเจอแผ่นแผนภูมิหยกที่บันทึกวิชาเซียนเอาไว้แล้วหนึ่งชิ้นออกมา
หน้าเหมียวอี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ยื่นสองมือออกไปรับมา บัณฑิตกลับโบกมือแล้วเก็บกลับคืนมา ถามอย่างจริงจัง ""เจ้าอยากจะฝึกฝนวิชาเซียนที่อยู่ในนี้จริงๆ เหรอ? "
"อยาก!" หมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ
"รู้มั้ยว่าทำไมข้าไม่อยากฝึกตน?"
"...ไม่สนใจไง? " เหมียวอี้จำได้ว่าเขาเคยพูดไว้แบบนี้
"ไม่สนใจ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น" บัณฑิตกล่าวด้วยสายตาที่สงบ "มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า ตอนที่ท่านมหาเซียนจะถ่ายทอดวิชาเซียนให้ข้า เคยบอกข้าว่า เมื่อเดินเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วจะไม่มีทางให้ถอนตัวกลับได้ เส้นทางนี้เต็มไปด้วยคาวเลือดและการสังหาร เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการทรยศ เส้นทางนี้ยิ่งเจ้าเดินมาไกลเท่าไร ความรักความแค้นที่ต้องแบกรับไว้ก็ยิ่งเยอะ อยากหลุดพ้นก็มีแค่เส้นทางเดียว เป็นเส้นทางที่ไปข้างหน้าได้อย่างเดียว หันหลังกลับไม่ได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดจริงๆ ถึงจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังได้ และตัวเจ้าในตอนนั้นบางทีอาจจะเหลือเพียงความโดดเดี่ยว…เพราะเหตุนี้ไงข้าถึงไม่ยอมฝึกวิชาเซียน"
เหมียวอี้รู้สึกสงสัย สิ่งที่เขาพูด ไม่ค่อยเหมือนการฝึกตนที่เขาเคยจินตนาการไว้
บัณฑิตถาม "ตอนนี้เจ้ายังอยากฝึกวิชาเซียนนี้อยู่มั้ย?"
พอนึกถึงน้องรองสองกับน้องสามที่เดินเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว เหมียวอี้ก็พยักหน้าแบบไม่ลังเล
"จะไม่เสียใจทีหลังจริงๆ นะ?"
เหมียวอี้ส่ายหัว
บัณฑิตจึงนำแผ่นแผนภูมิหยกส่งไปที่มือเขา เหมียวอี้อยากดูจนแทบรอไม่ไหวรอไม่ไหวที่จะดู แต่ไม่นานเดียวก็เงยหน้าขึ้นอย่างเหลาะแหละ ระดับการศึกษามีจำกัด แค่บทนำไม่กี่ตัวอักษรเขาก็อ่านไม่ออกแล้ว
จะโทษเขาก็ไม่ได้ อายุยังน้อยก็ต้องรับภาระเลี้ยงปากท้องครอบครัว จะมีเวลาว่างที่ไหนไปเรียนหนังสือ น้องรองน้องสองกับน้องสามยังรู้หนังสือเยอะกว่าเขาอีก
หลังจากบัณฑิตรู้สาเหตุ ก็พูดไม่ออก…
ใช้เวลาอยู่ในภูเขาโดยไม่รับรู้ความเป็นไปในโลกนี้ กลุ่มดาวโคจรเปลี่ยนตำแหน่ง บนทะเลสีเขียวคราม แต่ละวันล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนแรกของการฝึกตน บัณฑิตเริ่มจากสอนเหมียวอี้อ่านตัวอักษร ไม่มีทางเลือก ไม่สอนก็ไม่ได้
วิทยายุทธ์ที่มหาเซียนท่านนั้นทิ้งไว้ให้ มีชื่อว่า 'อัคนีดารา' เหมียวอี้อ่านไม่ออก ให้เปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคนอื่นก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน บัณฑิตจึงต้องก็สอนเขาอีกนิดหน่อยว่าต้องฝึกฝนอย่างไร
เหมียวอี้รู้สึกว่าเหล่าไป๋รู้และเข้าใจเยอะจริงๆ สมกับที่เคยอยู่ข้างกายมหาเซียน มีหลายเรื่องที่สามารถไขข้อสงสัยให้ให้เขาได้
บางครั้งเหมียวอี้ถึงขนาดรู้สึกว่าคนแบบเหล่าไป๋ ถ้าไม่ฝึกฝนช่างน่าเสียดายจริงๆ
ก้าวแรกของการเริ่มฝึกฝนเป็นเรื่องที่จืดชืดน่าเบื่อมาก เหมียวอี้ต้องเคลื่อนกระจายลมปราณตามการวิทยายุทธฝึกตน เพื่อสัมผัสจิตวิญญาณของฟ้าดิน หลังจากสัมผัสได้แล้วถึงจะดูดซับได้
"ไม่กี่เดือนต่อมา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีอะไรคืบหน้า เป็นใครก็ต้องรู้สึกท้อแท้ใจ
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่ขอคำชี้แนะ ""เหล่าไป๋ จิตวิญญาณของฟ้าดินมันคืออะไรกันแน่ ทำไมข้ายังสัมผัสถึงมันไม่ได้?"
เหล่าไป๋กล่าว "จิตวิญญาณฟ้าดินเป็นวิธีพูดในวงแคบเท่านั้น ถ้าพูดให้กว้างขึ้นมาหน่อย สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณฟ้าดินก็คือแก่นของสุริยันและจันทรา แก่นของสุริยันและจันทราเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาก่อนนะ? "
เหมียวอี้พยักหน้า "เคยได้ยิน"
เหล่าไป๋กล่าว "งั้นเจ้าบอกข้าซิ สิ่งที่เรียกว่าแก่นของสุริยันและจันทรา คืออะไร?"
"มันคือ..." เหมียวอี้เงียบ ตอบไม่ได้
เหล่าไป๋ถาม "สุริยันกับจันทรา เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าคืออะไร ? "
เหมียวอี้พยักหน้าตอบ "ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์บนฟ้า"
เหล่าไป๋พยักหน้า "ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ รวมถึงผืนดินที่อยู่ใต้เท้าเจ้าตอนนี้ เป็นแค่ดาวเคราะห์เล็กๆ สามดวงสามสิ่งที่เล็กนิดเดียวของบรรดาดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ จำนวนมากมายเหล่านี้ประกอบเป็นกลุ่มดาวกว้างใหญ่ไพศาลบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าแก่นของสุริยันและจันทรา ที่จริงแล้วก็คือพลังแห่งดาราจักร เมื่อเข้าใจถึงการดูดซับจิตวิญญาณฟ้าดิน ก็จะเข้าใจถึงการดูดซับพลังแห่งดาราจักร พลังแห่งดาราจักรนี้ใช่ว่าจะไร้รูปร่าง น้ำขึ้นน้ำลงและการเติบโตเสื่อมโทรมของสรรพสิ่งที่ตาเจ้ามองเห็นอยู่นี้ต่างก็ได้รับผลกระทบจากกลุ่มดาวทั้งสิ้น แล้วก็ได้รับผลกระทบของพลังแห่งดาราจักรด้วย อานุภาพของพลังแห่งดาราจักรนั้นสามารถเห็นได้ชัดเจน การดูดซับจิตวิญญาณฟ้าดิน ก็คือการยึดครองพลังแห่งดาราจักรที่สามารถเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งได้มาไว้ที่ตัวเอง รอให้ถึงเวลาที่มันกลายเป็นพลังของเจ้า และเจ้าสามารถขับเคลื่อนมันได้ ไม่ใช่แค่ใช้มันทำให้ตัวเองแข็งแกร่งได้เท่านั้น ยังสามารถใช้มันเพื่อส่งผลกระทบต่อคนอื่นได้ด้วย มันก็คือพลังอิทธิฤทธิ์ไง ใช้ใจสัมผัสมันสิ!"
…………………………