บทที่ 11 เหมือนคำพยากรณ์ (2)
หลังจากทั้งสองคนดื้อดึงตบจนเปิดประตูออกได้ในที่สุด ทั้งสองก็ตกตะลึงอีกครั้ง ภาพตรงหน้าเป็นเพียงลานบ้านธรรมดา สำนักเซียนอันแสนมหัศจรรย์ก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งสองค้นหาไปทั่วทั้งในและนอกบ้าน ไม่เห็นเงาใครสักคน ทุกอย่างก่อนหน้านี้เหมือนเป็นความฝัน เจ้าอ้วนจางก็หายไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปไหน
"พี่สองพี่รอง พี่สองพี่รองไปไหนแล้ว…" ลู่เสวี่ยซินร้องไห้สะอึกสะอื้น
เหมียวอี้ที่ยืนอึ้งทึ่มตำหนิตัวเองอยู่ที่เดิม พอมองเห็นสมุนไพรเซียนใบหยกกิ่งสีทับทิมในมือน้องสามแล้ว สายตาดูตื่นตัวขึ้นมาทันที พูดปลอบใจหนูน้อยว่า "น้องสามอย่าร้องไห้เลย เจ้าสองเจ้ารองมันได้พบอาจารย์ดีแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก"
"คำพูดของพี่ใหญ่น่าเชื่อถือกว่าพี่สองพี่รองมาตลอด หนูน้อยเช็ดน้ำตา พูดพลางสะอึกสะอื้น
"พี่ใหญ่รู้ได้ยังไง?"
เหมียวอี้ชี้ไปที่กิ่งใบหยกกิ่งสีทับทิมในมือนางแล้วอธิบาย "ถ้าเขาเป็นคนชั่วจริงๆ สมุนไพรเซียนต้นนี้คงเสร็จเขาไปแล้ว "
คำพูดนี้ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง หนูน้อยถาม "พี่สองพี่รองถูกพาตัวไปไหนแล้วล่ะ?"
เหมียวอี้จนปัญญาจะตอบคำถามนี้….
ในที่รกร้างแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองกู่เฉิงไปหลายสิบลี้ ท่านเซียนชุดเหลืองและเจ้าอ้วนจางยืนเผชิญหน้ากัน อีกคนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกคนโกรธแต่ไม่กล้าพูด
ลมพัดวูบหนึ่ง ผืนหญ้ารกร้างส่ายั่นไหว ฝุ่นดินที่อยู่บนตัวท่านเซียนชุดเหลืองปลิวหายไป
มวยผมที่เกล้าอยู่บนหัวของเขา ผิวหนังที่อยู่บนใบหน้า เสื้อที่อยู่บนร่างกาย ดาบยาวที่สะพายหอบไว้ข้างหลังค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นปลิวออกไป ทั้งตัวที่เหมือนถูกกลบอยู่ในฝุ่นดิน ถูกลมค่อยๆ พัดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
ฝุ่นดินที่อยู่บนร่างกายเขาถูกปัดออกไป เผยให้เห็นนักบวชเฒ่าศีรษะล้านคนหนึ่ง คิ้วขาวทั้งสองข้างยาวห้อยลงมาถึงหน้าอก หน้าตาดูมีเมตตา ผอมบางกระฉับกระเฉง ดวงตาทั้งคู่ลึกล้ำมีประกาย
ชุดคลุมที่เขาสวมเป็นใส่มีสีขาวราวกับหิมะ ขลิบโดยมีขอบด้วยเป็นผ้าต่วนสีดำ บนผ้าต่วนสีดำปักลายริ้วเมฆสีทองงดงาม ดอกบัวสีม่วงบานเก้ากลีบเปล่งแสงอยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของเขา ในความเรียบง่ายทั้งตัวของเขาเผยความสูงส่งที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ลักษณะท่าทางดูสงบใจดี แต่ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์สง่างามราวกับจักรพรรดิ ดูแล้วเหมือนพระราชาในคราบนักบวช
เจ้าอ้วนจางมองจนตะลึงอ้าปากค้าง พูดแบบติดอ่าง "ทะ ท่านเป็นนักบวชเหรอ?"
นักบวชเฒ่ายิ้มอย่างเมตตา "ในดินแดนแห่งเซียนไม่ค่อยจะต้อนรับให้คนจากแดนพุทธะเข้ามาหาลูกศิษย์ในเขตนี้หรอก ข้าจึงต้องปกปิดตัวตน เจ้ากับข้าอยู่ห่างกันหมื่นลี้แต่บังเอิญพบและได้มาพบหน้าเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กันที่นี่ ต้องมีวาสนาต่อกันแน่"
เจ้าอ้วนจางรีบส่ายหัวโบกมือทันที "พวกเราไม่มีวาสนาต่อกัน ไม่มีจริงๆ "
นักบวชเฒ่าหัวเราะแล้วถามว่า "หากไม่มีวาสนาเจ้าจะได้ยินบทสวดเฉพาะของข้าได้อย่างไรกัน เป็นเพราะวาสนามากมายนี่เอง"
"ข้าไม่อยากเป็นพระ ข้าชอบกินเนื้อกินเหล้า ข้าชอบหญิงงาม ข้ายังอยากแต่งงานด้วย…" เจ้าอ้วนจางถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องเป็นพระ น่ากลัวเกินไปแล้ว เขาหันกลับแล้วออกวิ่งไป ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย!"
"เด็กโง่ ในโลกมนุษย์มีคนใฝ่ฝันอยากเป็นลูกศิษย์ของข้ามิรู้เท่าไรต่อเท่าไร"
นักบวชเฒ่าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ลายริ้วเมฆสีทองปักอยู่บนผ้าต่วนสีดำข้างสาบคอเสื้อจู่ๆ ก็กลายเป็นเหมือนกลายเป็นงูที่มีชีวิต บินออกมาจากเสื้อ บินวนอ้อมเวียนนักบวชเฒ่าที่ยืนพนมมืออยู่อย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น สุดท้ายกลายเป็นภาพมายาภูตมังกรทะเลสีทองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง พันรอบนักบวชผู้ฝึกตนเฒ่าและทะยานขึ้นฟ้าไป
มังกรทะเลบินวนอยู่บนฟ้า แล้วถลาลงมา ไล่ตามโฉบเจ้าอ้วนจางที่กำลังวิ่งหนีอย่างอกสั่นขวัญหายขึ้นไปบนฟ้า สั่นหัวกระดิกหางพาทั้งสองคนหายลับเข้าขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว…
เวลานี้เอง เหมียวอี้พาลู่เสวี่ยซินเบียดแทรกออกจากฝูงชน มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ประดับตกแต่งสวยงาม
เขาเองก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าสำนักไหนดี เดินมาถึงตรงนี้เห็นคนมากมายกำลังรุมล้อมดูอยู่อย่างคึกคัก ได้ยินคนที่อยู่รอบๆ พูดกันว่า เทพธิดาหงเฉินที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่บนกำแพงให้เซียนทุกท่านทำความเคารพเลื่อมใส ได้เหาะเข้าไปในนี้ ทุกคนจึงพากันแห่เข้ามา
ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากเซียนทุกคนก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เหมียวอี้อดเสียใจไม่ได้ที่ปล่อยให้เจ้าอ้วนจางพบเซียนชุดเหลืองท่านนั้น ไม่เช่นนั้นน้องรองสองกับน้องสามคงจะได้อยู่คอยดูแลกันได้ แต่มาเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
สองพี่น้องก้าวขึ้นบันไดที่เชื่อมไปที่ประตูทางเข้า แต่ถูกเซียนที่เฝ้าประตูขวางเอาไว้
เหมียวอี้ส่งสัญญาณให้หนูน้อยลู่นำเจ้าต้นไม้กิ่งใบหยกกิ่งสีทับทิมที่ส่องแสงระยิบระยับนั่นออกมาทันที คุณลักษณะของสมุนไพรเซียนต้นนี้ทำให้เซียนที่เฝ้าประตูอยู่ตาลุกวาวทันที
มีเสียงตะโกนดังออกมาจากกลุ่มคนที่ล้อมอยู่ข้างนอกทันทีใด "นั่นพี่ใหญ่กับน้องสามตระกูลจางไม่ใช่เหรอ ? พวกเขาเก็บสมุนไพรเซียนได้แล้วเหรอ?"
ที่นี่ไม่เรื่องมากเหมือนเซียนชุดเหลืองท่านนั้น พอเห็นว่ามีสมุนไพรเซียน ก็มีคนออกมานำตัวหนูน้อยลู่เข้าไปที่บ้านทันที แต่กลับขวางเหมียวอี้ที่ต้องการจะไปส่งน้องเอาไว้ข้างนอก
เพื่อน้องสาว เหมียวอี้โค้งตัวอย่างนอบน้อมแล้วยิ้ม "นางเป็นน้องสาวข้า ข้าอยากจะไปส่งนางแล้วพูดอะไรกับนางหน่อยได้มั้ย?"
เซียนเฝ้าประตูยื่นมือขวางไว้ พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "ออกไป!"
หนูน้อยลู่ที่อยู่ในประตูตะโกนเสียงดังทันที "พี่ใหญ่ พี่ก็เข้ามาด้วยสิ! "
หนูน้อยลู่ยังดูไม่ออกว่าพี่ใหญ่ของตนมีสมุนไพรเซียนแค่สองต้น ถ้าเปลี่ยนเป็นน้องสองน้องรองจอมเจ้าเล่ห์ ตอนนี้คงเดาออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เหมียวอี้โบกมือทันที "น้องสาม เจ้าเข้าไปก่อน พี่จะลองไปตามหาเจ้ารองสามดูก่อนว่าจะเจอมั้ย"
"พี่ใหญ่ ข้าจะรอนะ!" เสียงของหนูน้อยลู่ค่อย ๆ หายไปข้างหลังประตู เนื่องจากมีคนพาตัวนางไปแล้ว
"น้องสาม ดูแลตัวเองดีๆ นะ!"
เหมียวอี้พยายามใช้นำเสียงหัวเราะแสดงความดีใจ ตะโกนเข้าไปในประตู หวังว่าเสียงหัวเราะของตัวเองจะทำให้น้องสามสบายใจ
เขาหันกลับมา เผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่กำลังมองด้วยความอิจฉา เหมียวอี้ที่กำลังเม้มปากแน่นและตาแดงก่ำกล่ำยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ เดินยิ้มลงบันไดมาอย่างมีความสุข แล้วพูดกับทุกคนด้วยความภูมิใจ "นั่นน้องสาวข้าเอง ได้เป็นเซียนแล้ว น้องชายข้าก็ได้เป็นเซียนแล้วเหมือนกัน น้องสองน้องรองกับน้องสามบ้านข้าได้เป็นเซียนกันหมดแล้ว"
เหมียวอี้ไม่ค่อยโอ้อวดแบบนี้บ่อยนัก แต่ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะบอกให้ทุกคนรู้ข่าวดีนี้ ให้เพื่อนบ้านพวกนั้นรู้ว่าเด็กสาวกำพร้าตระกูลลู่กับเด็กกำพร้าตระกูลจาง หลังจากวันนี้ไปจะมีชีวิตที่ดีเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเอื้อมถึงได้
แต่เขากลับมองไม่เห็นแววอารมณ์เยาะเย้ยที่ซ่อนอยู่ตอนที่เซียนเฝ้าประตูเหล่ตามอง
คนคุ้นเคยจากเมืองเดียวกันดึงเหมียวอี้มาถาม "เจ้าเด็กจางก็สำเร็จเป็นเซียนแล้วเหมือนกันหรอ?"
เหมียวอี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น
มีคนสนิทจากเมืองเดียวกันอีกสองสามไม่กี่คนเบียดเข้ามาถามแทรก "เป็นสมุนไพรเซียนที่เจ้าเข้าไปเก็บในหมอกเลือดหมื่นจั้ง? "
เหมียวอี้พยักหน้าอีกครั้ง
"เจ้าเก็บสมุนไพรเซียนมาได้กี่ต้นน่ะ?"
เหมียวอี้ชูสองนิ้วด้วยความภาคภูมิใจ "สองต้น"
มีคนถามอย่างประหลาดใจ "สองต้นเองหรอ? พี่ใหญ่บ้านจาง ทำไมเจ้าไม่เหลือไว้ให้ตัวเองสักต้นล่ะ?"
เหมียวอี้ตบที่อกเบาๆ แล้วหัวเราะ " ไม่เป็นไรหรอก หมอกเลือดหมื่นจั้งยังไม่ปิดไม่ใช่เหรอ? ยังมีโอกาสอีก"
แม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาคงไม่กลับเข้าไปอีกแล้ว เพราะเคยเข้าไปจึงเข้าใจว่าในนั้นอันตรายมากแค่ไหน ใช่ว่าทุกครั้งจะได้พบคนแบบเยียนเป่ยหงที่ช่วยปกป้องอันตราย ยิ่งเข้าไปข้างในลึกเท่าไรก็ยิ่งแย่งชิงกันอย่างบ้าระห่ำ ถ้าตัวเองเข้าไปอีกก็ไม่ต่างอะไรกับเอาชีวิตไปทิ้ง ก่อนหน้านี้ที่ยังมีชีวิตออกมาได้เป็นเพราะดวงดีล้วนๆ
"จุ๊ๆ จุจุ บ้านเฒ่าลู่กับบ้านเฒ่าจางโชคดีจริงๆ เลย รับเลี้ยงลูกชายดีๆ เอาไว้ ถึงตายก็คุ้มแหละน่า! " มีคนอุทานชื่นชม
เหมียวอี้อ้าปากยิ้มกว้างให้กับทุกคนที่แสดงความยินดี ยิ้มจนหน้าจะชาหมดแล้ว…
ในบ้านหลังใหญ่ที่งดงาม หนูน้อยลู่ถูกพาตัวไปที่สวนด้านหลัง ยืนอยู่บนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งที่สลักอักขระอักษรรูนเอาไว้
ผู้ฝึกตนสามคน ยืนเป็นสามมุมอยู่ข้างนอกแผ่นหยก ขณะเดียวกันก็ปล่อยคาถาออกมา ให้เพื่อใส่พลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปในแผ่นหยก พิสูจน์คุณสมบัติในการฝึกตนของหนูน้อยลู่
มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่นึกว่าพอหาสมบัติออกมาจากหมอกเลือดหมื่นจั้งได้แล้วก็จะกลายสำเร็จเป็นเซียนได้เลย คนที่มีคุณสมบัติ แน่นอนว่าจะยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรฝึกให้อย่างไม่เสียดาย ส่วนคนที่ไม่มีคุณสมบัติก็ไม่มีใครอยากเปลืองทรัพยากร แค่ส่งไปทำงานเบ็ดเตล็ดต่ำต้อยก็พอแล้ว
…………………………