webnovel

Chapter 3.4

อ้อนมึง? ฝันอยู่เหรอ

อ้อนตีนสิไม่ว่า

"ถ้าจะละเมอก็ไปนอนนะ" ผมบ่นแล้วเลิกสนใจไอ้เพื่อนสติไม่เต็มที่ไม่รู้วันนี้ไปหัวกระแทกพื้นมารึไงก็ไม่รู้ "เลิกพูด จะดูหนัง"

"ฮึ" แค่นเสียงหงุดหงิดกระแทกใส่ผมแล้วรัดเอวผมแน่นขึ้น

ผมปล่อยนับหนึ่งไปแล้วจมไปกับเนื้อเรื่องสุดสยอง ยื่นมือไปหยิบจานไส้กรอกมากินแล้วก็จ้องหน้าจอหนังตาไม่กะพริบ ส่วนไอ้คนด้านหลังก็ตัวเกร็งตัวแข็งทื่อและสะดุ้งเป็นพักๆ

แอบมองด้วยหางตาก็เห็นเพื่อนตัวดีเหงื่อแตกเต็มหน้า แววตาสั่นไหวไปมาก็แอบยกยิ้มมุมปาก...

หันกลับไปดูหนังต่อจนมันดำเนินมาได้ครึ่งเรื่องแล้วแต่ตอนนี้ไส้กรอกก็หมดเกลี้ยง ผมเลยหยิบถ้วยป๊อปคอร์นมากินต่อ และตอนนี้ตัวผมเรียกได้มากำลังนั่งบนตัวนับหนึ่งและเอนหลังพิงกับอกเปลือยๆ ของมัน

จะว่าไปก็แอบรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้มันแปลกๆ เหมือนกันนะ

แต่เอาเถอะ เพื่อนผมคนนี้มันก็แปลกประหลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้สักวัน

ฉากสยองขวัญเริ่มเข้ามาเรื่อยและรุนแรงขึ้น เสียงซาวด์เอฟเฟคก็ยิ่งหลอน แน่นอนว่าคนข้างหลังผมที่ทนมาตลอดทั้งเรื่องก็เริ่มออกอาการบ้างแล้ว

"เหี้ย!!" เสียงตะโกนดังลั่นแล้วกอดผมแน่นขึ้น "ผีๆๆ ไอ้เหี้ยยยยยย!"

ตึง!

"อ๊ากกก ไอ้ควินซ์ ปิดหนัง ปิด!"

นับหนึ่งร้องลั่นไม่พอ มันยังรัดเอวผมแทบหัก ป๊อปคอร์นกระเด็นออกจากถ้วยไปหลายชิ้นเลยด้วย ผมยังไม่ยอมปิดหนังปล่อยให้มันโวยวายไปสักสามสี่รอบก่อนถึงจะหยิบรีโมทขึ้นมากดหยุด

คนที่โวยวายอยู่นานเป็นอันสงบลงแทบจะทันที มันซุกหน้ากับหลังผมแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วงึมงำบ่น "ทำไมหนังผีไทยมันหลอนจังวะ"

ผมว่าอันนี้ก็เฉยๆ นะ เป็นมันที่ขวัญอ่อนรึเปล่า

มันน่ากลัวจริงหรือว่าผมตายด้านก็ไม่แน่ใจ

วางถ้วยป๊อปคอร์นลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นจากอ้อมกอดของนับหนึ่ง คราวนั้นไม่รั้งตัวผมแล้ว สงสัยจะหมดเรี่ยวหมดแรงไปการร้องตะโกน ผมเดินไปเปิดไฟให้สว่างทั่วทั้งห้องแล้วก็เก็บจอโปรเจกเตอร์

เมื่อหันกลับมาดูสภาพนับหนึ่งแล้วก็หลุดขำนิดๆ ตอนนี้มันกำลังนั่งก้มหน้าบีบมือตัวเองไปมา เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อคล้ายไปวิ่งผ่านน้ำมาไม่มีผิด

"เป็นไง" ผมยืนกอดอกถามยิ้มๆ

"กูจะไม่ดูหนังผีอีกแล้ว!" นับหนึ่งเงยหน้าซีดๆ ขึ้นมามองผมเหมือนหงุดหงิด ยกมือขึ้นยีหัวตัวเองไปมา "ถ้ามีโปรเจคลงทุนหนังผีเข้ามา มึงปัดออกไปเลยนะ ไม่ทำไม่สนับสนุน!"

เด็กชายนับหนึ่งอาละวาดบ่นยาวเหยียดจนพอใจแล้วก็ระบายลมหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่และหยิบกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาดื่มพรวดๆ

เห็นว่ามันพอจะสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้วเลยพูดขึ้น "ไปนอนได้แล้ว จะตีสองแล้ว"

"สภาพนี้มึงคิดว่ากูยังจะนอนหลับอีกเหรอ" นัยน์ตาคมกริบตวัดมองขวาง

ผมไหวไหล่ "อันนี้ก็เรื่องของมึง มึงจะไม่นอนก็ได้แต่พรุ่งนี้มึงต้องไปประชุม" และยังต้องทำงานอีกทั้งวัน คิดว่าไม่หลับไม่นอนแล้วสุขภาพตัวเองจะเป็นยังไง ใช้สมองหน่อย

"กูนอนไม่หลับแล้ว" นับหนึ่งว้ากอีกรอบ "ภาพมันติดตาขนาดนี้ ใครจะไปหลับลง!"

ผมนี่ไง ผมง่วงแล้ว

"เออๆ ตามใจมึงแล้วกัน" โบกมือไปมาแล้วปิดปากหาว "งั้นกูไปนอนก่อนแล้วกัน ฝันดี"

หยิบจานขนมและกระป๋องโค้กเอาไปเก็บที่ห้องครัวแต่นับหนึ่งก็ผุดลกขึ้นแล้วเดินตามผมมาด้วยสีหน้าตื่นๆ และมองไปรอบๆ ตัวเหมือนยังผวาอยู่

ผมเทเศษอาหารทิ้งถังขยะแล้วล้างจาน โดยมีคุณเจ้าของบ้านมายืนข้างๆ ไม่ห่าง

"มึงจะตามกูไปถึงไหนเนี่ย" ผมถามพลางใช้ฟองน้ำขัดๆ ถูๆ ไปรอบๆ จาน

"กูนอนไม่หลับ" มันย้ำ

ผมเลิกคิ้ว "แล้วกูต้องไม่นอนเป็นเพื่อนมึงรึไง" เปิดก๊อกน้ำ "ถ้ามึงไม่นอนเดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งเข้าโรงพยาบาลอีก"

"กูกลัว ไม่กล้านอนแล้ว" ในที่สุดก็สารภาพมาสักทีด้วยสีหน้าอึดอัดคับข้องใจ

จุดยิ้มมุมปากแล้วพูดปลอบ "มันก็แค่หนัง มึงอย่าไปคิดมาก"

"ก็กูคิดมาก" มันสวนกลับ

"งั้นมึงก็สบายใจเถอะ" ปิดก๊อกน้ำแล้วเอาจานวางบนชั้นวางพักจานเพื่อให้มันแห้ง "ต่อให้มีผีจริงก็เข้ามาหลอกมึงไม่ได้หรอก"

เจ้าของห้องคอนโดย่นคิ้ว "ทำไมถึงเข้าไม่ได้"

"ห้องนอนมึงแปะยันต์กันผีไว้ห้าหกใบ มีพระตั้งอยู่อีกสามองค์ คิดว่าจะมีผีโง่ๆ เข้ามามั้ย" ว่าจบแล้วก็เดินไปหาผ้าเช็ดมือ "เพราะงั้นไปนอนให้สบายใจเถอะ ไปสวดมนต์ก่อนนอนไปจะได้จิตใจสงบ"

ผมจะเดินกลับห้องแต่ไอ้เพื่อนตัวดีมันดึงข้อมือผมไว้ก่อน หันกลับไปอย่างสงสัย

"มีอะไรอีก"

"กูกลัวผี" เม้มริมฝีปากแน่น "มึงก็รู้"

"เออ กูรู้ไง" แล้วมันยังไง ยังไง

"กูไม่กล้านอนคนเดียว"

"..."

"คืนนี้...มึงต้องนอนเป็นเพื่อนกู"

ไม่มีทาง นับหนึ่งนอนดิ้นจะตาย

ใครจะไปนอนกับมัน

นับหนึ่งว่าหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ "ถ้ามึงปฏิเสธ เอาเงินห้าแสนคืนมา"

"...!"

"กูยังกอดมึงไม่ครบสองชั่วโมง มึงต้องชดเชยมานอนกับกูคืนนี้"

มึงก็สรรหาเหตุผลมาได้นะ

ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบเลยวะ