webnovel

นกน้อยทำรังแต่พอตัว (小鸟够了)

นกน้อยทำรังแต่พอตัว ยามเหมันตฤดูมาเยือน ความหนาวเย็นน่าสะพรึงโหมกระหน่ำโรมรันไปทั่วบริเวณป่าชั้นในของเกาะอันดาที่ยามนี้แห้งแล้งไร้ซึ่งใบไม้เขียวขจีอย่างที่เคย ดินแดนที่ไร้ซึ่งผู้คน ปรากฏนกติ๊ดสีขาวตัวน้อย ที่มีลวดลายบริเวณดวงตากลมโตเป็นสีดำแปลกตา เดินเตาะแตะ ไม่ยอมใช้ปีกบินเช่นนกตัวอื่น ๆ สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนที่พบเห็นไม่น้อย ติดตรงที่ ณ ป่าแห่งนี้ กลับไร้แววของสิ่งมีชีวิต มีเพียงเจ้านกตัวจิ๊วเป็นร่างสัตว์อสูรวิญญาณของเด็กหนุ่มนามว่า ‘จางเฉี่ยน’ ผู้ซึ่งเผชิญกับเรื่องราวชีวิตน้อย ๆ แสนรันทดของตนเองคราแล้วคราเล่า หนึ่ง สูญเสียพ่อแม่ผู้เป็นที่รัก สอง การหายตัวไปของพี่ชายผู้เป็นญาติเพียงหนึ่งเดียว (ที่นับว่าเป็นครอบครัว) สาม ถูกขับไล่ออกจากตระกูล เพราะไม่มีร่างอสูรวิญญาณ สี่ เรื่องนี้ดูเหมือนจะดีอยู่บ้าง ได้ฝึกงานกับดอกเตอร์มากความสามารถ แต่ในวันที่เดินทางกลับถูกส่งมาทิ้งยังดาวรกร้าง ไร้ผู้คน แถมอยู่ ๆ หลังจากรอมากว่า 18 ปีพลังสัตว์อสูรวิญญาณก็ดันตื่นขึ้น หากมีพลังเป็นสัตว์ใหญ่น่าเกรงขาม ก็คงดีไม่น้อย แต่ไหงพลังที่รอมากว่า 18 ปี กลับเป็นเพียงนกติ๊ดตัวจิ๊วแบบนี้กัน เรื่องราวชีวิตแสนเศร้าของตนนี่มันอะไรกันเนี่ย จะมีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตน้อย ๆ นี่บ้างไหมนี่ ‘เจ้าเด็กขี้เหงา เลิกมาลูบพุงข้า แล้วไปเอาของกินมาเดี๋ยวนี้’ “ท่านจอมพลแกเห็นฉันเศร้าเลยมาปรอบสินะ แกนี่มันน่ารักจริง ๆ ” นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งฉาก ตัวละคร ผู้คน และสถานที่ ล้วนเป็นเพียงจินตนาการอันเพ้อเจ้อ ไร้ที่มาที่ไป และต้นสายปลายเหตุของผู้แต่งล้วน ๆ จ้า

Khalista_ · Fantasía
Sin suficientes valoraciones
3 Chs

บทที่ 2 ลูกมังกรกับแกงกะหรี่ไก่สไปซี่

นกน้อยทำรังแต่พอตัว

บทที่ 2

ลูกมังกรกับแกงกะหรี่ไก่สไปซี่

ณ ป่าเหมันต์ เกาะอันดา ดาวบลูสกาย สถานที่ซึ่งถูกเรียกขานตามฤดูที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างผันผวน โดย จางเฉี่ยน มนุษย์หนึ่งเดียวบนดาวดวงนี้

บ้านหลังน้อยในฤดูเหมันต์ของจางเฉี่ยนตั้งอยู่กลางป่าลึก หลบเลี่ยงจากสายตาผู้คน และสัตว์อื่น ภายในบ้านมีเครื่องใช้ต่าง ๆ เพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย ข้าวของเหล่านี้จางเฉี่ยนให้หุ่นยนต์พ่อบ้านหนึ่งเดียวของตนนำใส่ระบบมาด้วย เพราะทั้งชีวิตของจางเฉี่ยนก็มีเพียงเท่านี้ ในการฝึกงานครั้งนี้จางเฉี่ยนต้องอยู่ฝึกงานที่ดาวดวงอื่นเป็นเวลากว่า 3 เดือน เจ้าตัวเลยตัดสินใจยกเลิกสัญญาเช่าหอที่ดาวเคลาสเทียร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเสียเงินทิ้งไปเปล่า ๆ ตั้ง 3 เดือนด้วยล่ะ ถ้าต้องเสียค่าหอขนาดนั้นเอามาเป็นค่ากินยังดีสะกว่า ดีจริง ๆ ที่ตัดสินใจใช้เงินเก็บก้อนโตซื้อหุ่นยนต์พ่อบ้านมาด้วย ตนจึงสามารถแบกทุกอย่างมาด้วยได้แบบนี้ ไม่งั้นเจ้านกน้อยคงไม่รอดผ่านค่ำคืนหนาวเหน็บคืนแล้วคืนเล่า ในดาวแสนจะกันดารแห่งนี้มาได้แน่แท้

หลังจากกลับมาจากฝึกบิน ที่ดูจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไรนัก จางเฉี่ยนก็พบว่าเจ้ามังกรตัวน้อยที่ตนเก็บได้เมื่อหลายวันก่อน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว เมื่อมังกรน้อยเห็นจางเฉี่ยนดวงตาสีทองประกายก็หรี่ลงเล็กน้อย

จางเฉี่ยนตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น และดีใจ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีหยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามไหวแข้งขาอ่อนยวบด้วยความเบาใจ โล่งใจ และตื้นตัน

....พระเจ้าช่วย คิดว่ามังกรน้อยจะตายเพราะการรักษาจากหินพลังเวทห่วย ๆ ที่ตนตระหนี่ซื้อมา ถ้ารู้ว่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้น ตนคงยอมควักเงินเก็บทั้งหมดเพื่อซื้อหินพลังเวทรักษามาเพื่อเจ้าตัวน้อยนี้ซะเลย โล่งไปที ที่หินพลังเวทระดับต่ำก่อนนั้นยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

จางเฉี่ยนถลารุกวิ่งเข้าไปกอดเจ้ามังกรน้อย ด้วยน้ำตาอาบหน้า "มังกรน้อยแกยังไม่ตาย"

มังกรน้อยแสดงสีหน้าเหยเกออกมาว่า 'เจ้าบ้านี่ใครกัน กล้ามากอดเขา ไม่กลัวตายเลยรึไงกัน แล้วมังกรน้อยนี่มันใครกัน'

หลังจากจางเฉี่ยนสามารถสงบสติของตนเองลงได้ก็เอ่ยถามสัตว์น้อยในอ้อมแขนของตน แม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะมีท่าทีขัดขืนเขาอยู่บ้างก็ตามที "แกหลงกับแม่สินะมังกรน้อย บ้านแกอยู่ไหนล่ะ แกเข้าใจที่ฉันพูดไหมนะ แกเป็นเด็กหลงสินะ"

'แกน่ะสิเด็กหลง แล้วตกลงว่ามังกรน้อยนี่มันใครกัน' มังกรดำยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า และที่ไม่เข้าใจมากกว่าคือเจ้าเด็กที่กำลังกอดตนอยู่นี่มันเป็นใครกัน

"ไม่เป็นไรนะ แกอยู่กับฉันก่อนก็ได้นะ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ฉันถูกส่งมาฝึกงานที่นี่ คงอยู่ที่นี่ไปอีกสักพักมังกรน้อยแกอย่าทิ้งฉันน่า" จางเฉี่ยนใช้ใบหน้าซุกไซร้ ลูกสัตว์ตัวน้อยในอ้อมแขนอย่างรักไคล้

ตั้งแต่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จางเฉี่ยนยังคงไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากดอกเตอร์เกรย์ ว่าตกลงแล้วจะให้ตนมาทำอะไรที่นี่กันแน่ หากจะหาทางกลับไปเองจางเฉี่ยนคงต้องรออีกเป็นเดือนกว่าจะมีเที่ยวบินโดยสารระหว่างดวงดาวแวะมาที่ดวงดาวแห่งนี้ ซึ่งก็ต้องรอไปอีก 3 อาทิตย์ อยู่คนเดียวก็คงอยู่ได้ แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงมาอยู่ด้วยคงดีกว่าเป็นกอง เขาจะได้เลิกคุยกับตัวเองจนเหมือนคนบ้าสักที

โครกคราก โครก.... เสียงท้องร้องของลูกมังกรน้อยดังขึ้น คัดจังหวะความคิดปลื้มปีติของมนุษย์เพ้อเจ่ออย่างจางเฉี่ยนลงทันที

เจ้าตัวน้อยคงหิวแล้วสินะ ตามความคิดของคนปกติมังกรคงจะเป็นสัตว์กินเนื้อสินะ ดีจริง ๆ ที่ซื้อเนื้อเก็บเอาไว้ด้วย นี่สินะข้อดีของพวกบ้าแบกของ ถึงแม้จะใช้หุ่นยนต์พ่อบ้านแบกก็เถอะ

จางเฉี่ยนเดินไปหยิบเนื้อสัตว์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในหินเวทมิติของหุ่นยนต์พ่อบ้าน หินเวทมิตินี้สามารถคงสภาพของสิ่งของ เอาไว้ได้อย่างดี หมดปัญหากวนใจเรื่องอาหารเสีย สรรพคุณทางอาหารครบถ้วน สามารถเสริมสร้างพลังงานให้กับเจ้าตัวน้อยได้อย่างเต็มที่

"นี่ เนื้อสด ลองกินดูสิ มังกรน้อย" จางเฉี่ยนนำเนื้อออกมาจากหินเวทมิติ นำมาวางตรงหน้ามังกรน้อยโดยไม่วายใช้เสียงสองคุณกับเจ้าตัวจิ๋ว ตามวิถีคนรักสัตว์

"อ๊าว อ๊าว" ใครชื่อมังกรน้อยกัน แล้วฉันไม่กินเนื้อดิบ ๆ แบบนี้หรอกนะ เดี๋ยวนะเสียงร้องแบบนี้มันอะไรกัน

สิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่ร้องโวยวายเมื่อครู่ ก้มมองไปยังฝ่ามือของตน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นอุ๋งเท้าอ้วนป้อม ของมังกรขนาดเล็ก น่ารักตามสายพันธุ์มังกรของตน

นี่...นี่มัน เขาอยู่ในร่างวัยเด็กหรือนี่ "อ๊าว อ๊าว อ๊าว" มังกรน้อยโวยวายแสดงท่าทีไม่พอใจ จนคนที่ไม่เข้าใจภาษาสัตว์อย่างจางเฉี่ยนคิดว่า ที่มังกรน้อยโวยวายเป็นเพราะไม่พอใจในอาหารที่ตนเอาให้สินะ โดยหารู้ไม่ว่าที่มังกรน้อยไม่พอใจเป็นเพราะตนเองกลับไปอยู่ในร่างวัยเด็กอย่างน่าอดสู่ เกินจะรับไว้

นี่สินะเหตุผลที่เจ้าเด็กนี่ เรียกเขาว่ามังกรน้อย เฮ้อ เขาคงเจ็บหนักมากจริง ๆ ถึงได้มาอยู่ในร่างนี้ ถ้ามีใครมาเห็นว่าจอมพลซีเรียสแห่งกองทัพจักรวรรดิมาอยู่ในสภาพนี้ละก็ ไอ้พวกเพื่อนเวรพวกนั้นคงล้อกันใหญ่

"แกเป็นมังกรแต่ไม่กินเนื้องั้นเหรอ หรือแกไม่กินเนื้อดิบนะ" จางเฉี่ยนคิดหนักเพราะไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้เจ้าตัวน้อยกินดี เครียดละสิ

จางเฉี่ยนตัดสินใจนำเนื้อเหล่านั้นไปต้มน้ำร้อนให้สุกแล้วนำมาให้มังกรน้อยกินอีกครั้ง

ก่อนจะไปทำอาหารเย็นของตนเองบ้าง วันนี้จางเฉี่ยนนำแกงกะหรี่ ที่ตนทำไว้เมื่อวานมาอุ่นทานกับข้าวสวยร้อน ๆ และทอดไก่ชิ้นโต ๆ ลงไป เนื้อไก่ที่ชุ่มฉ่ำ กัดลงไปหนึ่งคำผ่านแป้งกรุบกรอบที่ห่อหุ้มด้านนอกทะลุไปเจอกับเนื้อไก่ทอดฉ่ำน้ำ แกงกะหรี่สูตรพิเศษที่เริ่มฝึกทำตามในสมุดบันทึกของแม่ที่จางเฉี่ยนมักเปิดอ่านจากจี้ที่คอ จะเรียกว่าโชคดีดีไหมนะ

ในวันแรกที่จางเฉี่ยนมาถึงดวงดาวแห่งนี้ ที่นี่ยังไม่เปลี่ยนเป็นฤดูหนาวเฉกเช่นตอนนี้ และจางเฉี่ยนก็ได้ค้นพบพืชหลากหลายชนิดอย่างน่ามหัศจรรย์ที่ปรากฏอยู่ในบันทึกหนึ่งของแม่ที่ตนมักจะอ่านมาตลอด ลองผิดลองถูกอยู่นานจนสามารถทำแกงกะหรี่สูตรนี้ออกมาได้ แกงนี้มีรสเผ็ดนิด ๆ ผักต่าง ๆ ละลายให้ลดหวาน คุกลิ่นผงกะหรี่อ่อน ๆ ไม่ฉุนจัดจนเกินไป เพียงแค่ได้กลิ่นก็เรียกน้ำลายจนแถบทนไม่ไหว

'กลิ่นน่าอร่อยนี่มันอะไรกัน' นายพลซีเรียสในคราบลูกมังกรตัวน้อย ทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นฉุนจากแกงกะหรี่ของจางเฉี่ยน เป็นกลิ่นฉุนที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ก่อนเจ้าตัวน้อยจะกระโดดจากเตียงไปชะโงกดูในหม้อบนเตาที่เป็นที่มาของกลิ่นประหลาดนี่

'นี่มันอะไรกัน หน้าตาแบบนี้ ยังกล้าเรียกว่าของกินอีกเหรอ แต่กลิ่นนี้มันจะหอมเกินไปแล้ว'

แกงกะหรี่ค้างคืนของจางเฉี่ยนแม้หน้าตาจะดูน่าหยะแหยงไปบ้าง แต่รสชาติ ไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะกับคนของจักรวรรดิที่แทบจะทั้งชีวิตกินแต่อาหารสังเคราะห์

จางเฉี่ยนวางจานแกงกะหรี่ของตนไว้บนโต๊ะอาหาร แต่เพราะไม่ทันระวังอยู่ ๆ จอมพลมังกรน้อยที่ไม่อาจทนกลิ่นยั่วยวนของแกงกะหรี่ และไก่ทอดที่ดูชุ่มช่ำในจานได้อีกต่อไปก็อ้าปากน้อย ๆ โชว์ฟันเรียงสวยตวัดลิ้นหนาชิมแกงกะหรี่ของจางเฉี่ยนในทันที

"แพร่บ แพร่บ" รสชาติที่มันกระแทกใจนี่มันอะไรกัน ความกลมกล่อม เข้มข้น ความรู้สึกแสบ ๆ ที่ปากที่ไม่เคยรู้จักจากอาหารสังเคราะห์มาก่อนนี่มันอะไรกัน

จากแลบลิ้นชิมเพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นกินอย่างตระกละตระกลามจนเกลี้ยงจานภายในไม่กี่คำ หากมีใครมาบอกว่าเจ้ามังกรซกมกตัวนี้แท้จริงแล้วเป็นถึงจอมพลของกองทัพแห่งจักรวรรดิเคลาสเทียร์ละก็ คงไม่มีใครเชื่อเป็นแน่

แกงกะหรี่สูตรพิเศษ อาหารเย็นของจางเฉี่ยนถูกสัตว์ร้ายตัวจิ๋วขโมยกิน ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

"มังกรน้อยแกทำอะไรน่ะ แกกินเข้าไปได้ยังไงกัน" จางเฉี่ยนโวยวายขึ้น เมื่อหันมาเห็นมังกรน้อยกินอาหารของตนจนหมด

'อ๊าว อ๊าว' ฉันไม่กินเนื้อต้มจืด ๆ นั้นหรอกนะ มีของอร่อยขนาดนี้ ทำไมไม่ให้กินหะ

มังกรตัวจิ๋ว ร้องตอบเป็นวรรค เป็นเวน แต่จางเฉี่ยนก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เจ้าตัวน้อยต้องการจะสื่อเลยแม้แต่น้อย

"เอาละ ๆ ช่างเถอะ ฉันไม่ว่าแกแล้ว แต่แกไม่เป็นไรใช่ไหม กินของแบบนั้นเข้าไป" จางเฉี่ยนเอ่ยถามอย่างอดห่วงไม่ได้ ตนไม่รู้ว่ามังกรกินอะไรได้บ้าง อาหารพวกนี้เป็นสูตรที่พ่อกับแม่ของตนได้มาระหว่างการทำวิจัย แต่ก็ยังไม่เคยมีใครลองทำมาก่อน เนื่องด้วยขาดแคลนวัตถุดิบในการทำ ตนเองเมื่อก่อนก็ทำได้เพียงจินตนาการตามบันทึกเล่านั่น จนกระทั่งได้มาพบ จะเรียกว่าเป็นผู้ที่ได้ลิ้มรสชาติอาหารโบราณคนแรกในยุคนี้เลยก็ว่าได้ และเพราะเหตุนี้ เขายังไม่รู้ถึงข้อดี ข้อเสีย หรือผลกระทบต่าง ๆ ของอาหาร ยิ่งกับมังกรที่บาดเจ็บอยู่แบบนี้

ถ้าเจ้ามังกรน้อยเกิดกินแล้วเป็นอันตรายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ

'อ๊าว อ๊าว' ไม่เป็นอะไรหรอกน้า เห็นฉันเป็นสัตว์รึยังไงกัน

จอมพลมังกรน้อยโวยวายอย่างไม่ยอมใคร ประหนึ่งว่าจางเฉี่ยนจะฟังสิ่งที่ตนเองพูดรู้เรื่องได้

จางเฉี่ยนเดินไปยังโต๊ะอาหาร เก็บจานอาหารที่ถูกลูกมังกรบางตัวกินไปจนหมด โดยไม่ทันได้สังเกตถึงพฤติกรรมของลูกมังกรบางตัวที่ตอนนี้กำลังใช้สองขาหน้าเกาะอยู่บริเวณปากหม้อแกงกะหรี่ ก่อนปีนขึ้นปากหม้อพร้อมกางปีกเพื่อทรงตัว แต่เพราะปีกที่ได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้ายังไม่หายดี จึงทรงตัวได้ไม่ดีจนพลัดตกลงไปยังหม้อแกงกะหรี่ ที่มีซุปแกงกะหรี่เหลืออยู่ถึงครึ่งหม้อ

จางเฉี่ยนได้ยินเสียงโครมครามจากบริเวณครัวจึงรีบวิ่งเข้าไปดู จนพบเข้ากับภาพลูกมังกรในหม้อแกงกะหรี่

"แกทำอะไรกันน่ะ" จางเฉี่ยนโวยวายด้วยความแตกตื่น

'อ๊าว อ๊าว อ๊าว' ก็หาของกินน่ะสิ จานแค่นั้นจะอิ่มได้ยังไงกัน

การอยู่ในร่างสัตว์อสูรวิญญาณนั้น จะต้องการพลังงานมากกว่าอยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นร่างวัยเด็กก็ตาม ยิ่งมีพลังสัตว์อสูรวิญญาณมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการพลังงานมากขึ้นเท่านั้น และแน่นอนสัตว์อสูรวิญญาณสายพันธุ์มังกรอย่างจอมพลซีเรียส หากเขาบอกว่าตนเป็นสอง คงไม่มีใครกล้าอ้างว่าตนเป็นหนึ่งเป็นแน่

จางเฉี่ยนอุ้มเจ้าตัวตะกละตรงหน้า ไปอาบน้ำล้างคราบแกงกะหรี่ที่ติดอยู่ทั่วตัว สภาพตอนนี้ของมังกรน้อยเรียกได้ว่าเหมือนพึ่งไปอาบแกงกะหรี่มาจะถูกกว่า แม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะกินส่วนที่อยู่ในหม้อไปหมดแล้วก็ตามที

ในตอนแรกมังกรน้อยซีเรียสก็มีท่าทีขัดขืนจนแกงกะหรี่ที่ติดตามตัวกระจายเลอะเทอะไปทั่วบริเวณ กว่าจะหมดแรงและยอมให้จางเฉี่ยนอุ้มไปอาบน้ำแต่โดยดี

'จะยอมให้อุ้มก็ได้ ถือว่าเป็นแฟนเซอร์วิซ แทนอาหารอร่อย ๆ ละกัน'

มังกรน้อยถูกว่างลงบนอ่างล้างหน้าในห้องน้ำอย่างเบามือ จางเฉี่ยนค่อย ๆ นำน้ำมาล้างหน้าและอุ๋งเท้าป๋อมให้กับมังกรน้อยจนสะอาดหมดจด ก่อนจะแกะผ้าพันแผลที่พัดเอาไว้บางส่วนที่โดนแกงกะหรี่ออก

"มังกรน้อย แกเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังรักษาตัวเองงั้นเหรอ แผลของแกหายหมดแล้วนิ" จางเฉี่ยนรู้สึกมหัศจรรย์กับการรักษาตัวของมังกรเป็นอย่างมาก แม้ว่าหินพลังงานเวทจะสามารถช่วยในการรักษาบาดแผลตามร่างกายได้ แต่ต่อให้เป็นหินพลังงานเวทระดับสูง ด้วยบาดแผลมากมาย และอาการที่สาหัสขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะหายไปได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลากว่าสัปดาห์ ไม่ต้องพูดถึงหินพลังงานเวทระดับต่ำที่จางเฉี่ยนใช้ในการรักษามังกรน้อยเลย บาดแผลหายได้ใน 3 สัปดาห์ก็เป็นการรักษาที่ต้องเปิดการใช้งานของหินพลังงานเวทระดับต่ำขั้นสูงสุดเท่านั้น ซึ่งนั้นเป็นไปไม่ได้

'อ๊าว อ๊าว' พูดเรื่องอะไรกัน ใครมันจะไปมีพลังแบบนั้นกัน

จอมพลมังกรน้อยตอบไปอย่างขยาดในความไร้ความรู้ของคนตรงหน้า ก่อนจะกระโดดขึ้นไปเกาะหัวของจางเฉี่ยนเอาไว้ ทันใดนั้นกระจกก็สะท้อนภาพที่ทำเอาตนเองก็ตื่นตะลึกไปแพ้กับมนุษย์ที่ตนดูแคลนไปเมื่อครู่

บาดแผลมากมายที่เคยมีอยู่ตามร่างกาย บัดนี้กลับรักษาหายสนิท ไม่มีแม้กระทั่งรอยแผลเป็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะกินอาหารประหลาด ๆ นั้นเข้าไป ปีกของเขายังบินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แค่เดินไปมายังเจ็บอยู่เลย ถึงแม้จะกระโดดขึ้นหม้อได้อะนะ

ก่อนจะกางปีกบิน เพื่อตอกย้ำว่าแผลทั้งหมดหายไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย

ซีเรียสบินวนในห้องน้ำสองสามรอบเพื่อตอกย้ำว่านี่คือเรื่องจริง กินจะบินไปเกาะหัวของจางเฉี่ยนอีกครั้ง

"นี่ มังกรน้อย ลงมาก่อนสิ อยู่แบบนี้มันหนักนะ" จางเฉี่ยนพูดพร้อมเอื้อมมือขึ้นไปเหนือหัวเพื่ออุ้มเจ้าตัวอ้วนลงมา แต่กลับถูกมังกรน้อยบนหัวขู่เอาสะนี่ ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ

"ครับ ๆ แกนี่เอาแต่ใจจังเลยนะ เป็นจอมพลรึไงกันนะ ท่านจอมพลมังกรน้อย ข้าผิดไปแล้ว" จางเฉี่ยนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนใส่ลูกมังกรตรงหน้า โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วมังกรตรงหน้าตนนั้นเป็นจอมพลของจักรวรรดิจริง ๆ