webnovel

บทที่ 10 ผจญภัยในโลกกว้าง 3

บทที่ 10

ผจญภัยในโลกกว้าง 3

หืออ ทำไมรู้สึกแปลกๆนะ เหมือนมีคนกำลังจ้องมองมาที่ผมอยู่ แต่ตอนนี้ผมนอนอยู่ในห้องของผมนี่ ไม่น่าจะมีคนจ้องผมได้หรอกมั้ง เมื่อคิดได้แบบนี้ผมจึงเหยียดแข้งเหยียดขาอย่างขี้เกียจแล้วพลิกตัวไปนอนอีกด้านด้วยท่าทางงัวเงีย แต่ความทรงจำเมื่อคืนที่เขาช่วยคนแปลกหน้านั้นก็ลอยเข้ามาในหัว ผมเลยลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งบนฟุกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันหน้าไปยังทิศที่ผมรู้สึกว่ามีสายตามองมา จึงทำให้สายตาผมสบเข้ากับดวงตาสีดำรัตติกาลนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาคมกริบสีดำลุ่มลึกแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ อ่อ นึกออกละ เหมือนท่านเทพจินหลงไงบุคคลที่มีนัยตาดำสนิทชนิดที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และเข้าใจยากคนนั้นอะ เหมือนเข้าถึงตัวง่ายแต่ก็ไม่ง่าย มีความย้อนแย้งในตัวเองสูง เหมือนจะเย็นชาแต่ก็กวนประสาทคนนั้นละ เจอกันไม่กี่ครั้งแต่ก็ทำให้ผมหงุดหงิดทุกครั้งเวลาที่นึกถึงทุกที เพราะแปรสายตาที่มองมาไม่ออก เหมือนผมเป็นคนโง่ๆตลอดเลยเวลาอยู่กับจินหลงน่ะ เห้ย และผมจะไปนึกถึงเขาทำไมกัน แค่สีตาเหมือนกันเอง อะไรของผมก็ไม่รู้

"เอ่อ เจ้าเป็นยังไงบ้าง แผลเจ้าดีขึ้นมั้ยหรือยังเจ็บมากอยู่"ผมเห็นเขามองมาที่ผมนิ่งๆ ผมเลยถามอาการเขาเปลี่ยนบรรยากาศที่เงียบงันนี้แทน

"ข้าดีขึ้นแล้ว ขอบใจมากที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ไม่ทราบว่าเจ้ามีนามว่ากระไรรึ"เสียงทุ้มมีความแหบนิดๆเหมือนคอแห้ง

"ข้ามีนานว่าเหลียนหลง แล้วคุณชายล่ะมีนามว่ากระไร"ผมเดินไปรินชายอดน้ำค้างพลางตอบอีกฝ่ายไปด้วย

"ข้ามีนามชิงหลง"เมื่อเห็นร่างเล็กรินน้ำชาแล้วเดินเอามายื่นให้ตรงหน้าเขาที่ตอนนี้กำลังนั่งพิงฝาผนังตรงฟุกที่ปูอยู่ เขาจึงรับมาดื่มดับกระหายทันที

โครกกกกครากก ด้วยความที่ยังไม่มีอะไรถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อกลืนชาลงคอไปแล้วก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้กระเพาะทำงานทันที มันจึงส่งเสียงขายหน้าเขาอยู่ตอนนี้ไง เขาจึงมีสีหน้าแดงสลับเขียวคล้ำอย่างอับอาย และเหมือนร่างเล็กจะมองเขาอย่างขบขันก่อนจะช่วยพยุงตัวเขาขึ้นไปนั่งยังโต๊ะที่มีโหลมากมายวางอยู่ตรงกลางโต๊ะนั้น แล้วล้วงมือไปหยิบอะไรสักอย่างในห่อผ้า

"ท่านคงจะหิวแล้ว นี่เป็นสำรับอาหารที่ข้ามี ไม่รูท่านจะทานได้รึเปล่า"ผมเอาถาดที่มีอาหารสามสี่อย่างที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา แล้วเลื่อนไปทางชิงหลง

"ข้าทานได้ทุกอย่าง ต้องขอรบกวนเหลียนเอ๋อร์แล้ว"ชิงหลงขอบคุณผม แต่ที่ทำให้ผมตกใจคือเรียกชื่อผมว่าเหลียนเอ๋อร์นี่ละ คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินชื่อนี้จะเรียกหลงเอ๋อร์ หรือเหลียนหลงไปเลย คนที่เรียกเหลียนเอ๋อร์นี่น่าจะมีแค่จินหลงมั้งและตอนนี้ก็เพิ่มชิงหลงมาอีกคน นี่คนชื่อลงท้ายว่าหลงทำไมชอบเรียกอย่างนี้จัง

"เอ่อ ขออภัย ข้าแค่เห็นว่าชื่อเหลียนเอ๋อร์เข้ากับเจ้าดี ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เจ้าขุ่นเคือง"ชิงหลงขอโทษทันทีที่หลังจากเรียกผมเหลียนเอ๋อร์แล้ว ผมทำหน้าทำตาแปลกๆละมั้ง

"ไม่เป็นไรขอรับ เรียกเหลียนเอ๋อร์ก็ได้ขอรับ ข้าแค่แปลกใจที่ท่านเรียกแบบนั้นเฉยๆนะ"

"ชื่อนั้นมีอะไรให้เจ้าไม่ชอบใจรึเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้าเหมือนแปลกใจ"

"แค่ไม่ค่อยมีคนเรียกข้าเหลียนเอ๋อร์นะ ปกติจะเรียกกันหลงเอ๋อร์มากกว่านะขอรับ"

"แต่ข้าว่าเจ้าเหมาะกับชื่อเหลียนเอ๋อร์นะ เพราะเจ้างดงามล้ำค่าอย่างดอกบัวพิสุทธิ์ยังไงล่ะ"ชิงหลงตอบมาหน้านิ่งๆ แต่สายตาเขาแวววาวแปลกๆ จนผมอดขนลุกไม่ได้

"เอ่อ แล้วแผลเจ้าเป็นไงบ้างน่ะ"ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีที่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับสายตาที่มองมา

"ข้าไม่ได้รู้สึกเจ็บมากเท่าเมื่อวานเท่าไหร่นะ แผลน่าจะสมานกันแล้วละ แต่ความบอบช้ำน่าจะยังเหลืออยู่ ข้าเลยรู้สึกแปลบๆเวลาขยับตัวนะ"เขาตอบผมพร้อมกำลังขยับร่างกายลองดู แล้วก็ขมวดคิ้วในบางท่าที่ยังเจ็บแปลบอยู่

"งั้นเจ้าทานอาหารเสร็จแล้ว เดี่ยวข้าขอดูแผลเจ้าหน่อยนะ"เขาพยักหน้าตอบผม ก่อนที่ผมจะปล่อยให้ชิงหลงทานอาหารไป แล้วตัวผมก็เดินเข้าไปยังฉากกั้นแล้วร่ายเวทย์บังตาไม่ให้ใครสามารถมองเห็นเขตที่ผมกำลังจะอาบน้ำอยู่ได้เพื่อที่จะได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่มิดชิดกว่าเสื้อใส่นอนตัวขาวบางนี้สักที เพราะตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นมาเหมือนมีสายตาคู่นึงที่มองผมอย่างหื่นกระหายอยู่ตลอดเลย ทั้งๆที่อยู่กันแค่สองคนและชิงหลงก็ไม่ได้มองผมอย่างนั้นนะเท่าที่ผมแอบสังเกตดู เอ๊ะรึจะมอง ชิงหลงมีตาหลังงี้เหรอ บ้าบอฆอระฆังละผม ผมอาจจะคิดมากไปเองมากกว่า เฮ้ออ อาบน้ำเปลี่ยนชุดออกไปกินข้าวอร่อยๆดีกว่า

"เจ้าทานเสร็จแล้วใช่มั้ยชิงหลง"ผมถามขึ้นพรางเดินออกมาจากฉากกั้น ก่อนจะพยุงร่างสูงไปนั่งลงที่ฟุกแล้วผมก็นั่งลงตามข้างๆแรงสูง ก่อนที่ผมถอดเสื้อชิงหลงออก เมื่อคืนตอนที่ผมทำแผลและเช็ดตัวให้ชิงหลงผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าผู้ชายต้วยกันและเขาก็เป็นคนเจ็บไม่ได้สติ แต่ตอนนี้ที่นัยตารัตติกาลนั้นมองตามอิริยาบถผมแทบทุกอย่าง ทำให้ผมรู้สึกเกร็งๆและก็เขินสายตานั้นแปลกๆ ยิ่งตอนที่ผมมองอกขาวล่ำสันยิ่งเขินไปกันใหญ่ จะตื่นเต้นทำไมว่ะ ของตัวเองก็มี ตั้งสติ ตั้งสติ ฟู่ววว

"เจ้าเป็นอะไรรึเปล่าเหลียนเอ๋อร์ หน้าแดงๆนะ"เสียงทุ้มถามเรียกสติที่ข้างหูของผม

"อะ..อ่อ..เปล่า เปล่า ข้าแค่แช่น้ำอุ่นนานไปนะ เลยเลือดลมสูบฉีดเยอะไป หน้าเลยแดงนะ"

"อืม งั้นเจ้าก็ดูแผลให้ข้าต่อเถอะ"เขาตอบรับเหมือนขบขันทั้งที่ทำหน้าจริงจังอยู่ ไม่รู้ว่านี้ผมคิดไปเองรึเปล่าที่ทั้งสายตา ท่าทางเขาเหมือนรู้ทันผมให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับจินหลงอีกแล้ว จากนั้นผมเลยเอือมมือไปแกะผ้าที่พันแผลชิงหลงอยู่จึงทำให้ผมเหมือนโอบกอดชิงหลงกลายๆ ตึกตักๆๆๆ และเสียงหัวใจที่เต้นระรัวนี้แยกไม่ออกเลยว่าเป็นของใคร หรืออาจจะมีแค่หัวใจผมก็ได้อะที่เต้นแรง ก็ใครจะไปเคยใกล้ชิดผู้ชายที่หล่อ ดูดีขนาดนี้ละ ถึงแม้คนรอบตัวจะดูดีแต่ก็ใช่ว่าจะใกล้ชิดโอบกอดกันขนาดนี้นะ พอผ้าแผลหลุดออกจนเห็นบาดแผลที่เป็นรูเมื่อวาน แต่วันนี้แผลสมานกันไปเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นเหลือที่ยังไม่สมานกันอีกไม่มาก ผมเลยทำความสะอาดแผลแล้วใส่ยาสมานแผลและยาแก้อักเสบให้ใหม่จากนั้นก็พันแผลให้ชิงหลงเป็นอันจบกระบวนการ เอ่อ ส่วนเสื้อผมให้เขาใส่เอง จากนั้นก็ให้เขากินยาลดไข้และแก้อักเสบก่อนให้ชิงหลงนอนพักฟื้นต่อไป ส่วนผมหันไปกินข้าวแล้วจัดการตัวเองเตรียมออกไปหาสมุนไพรต่อ โดยรบกวนชิงหลงที่หลับไปแล้ว

"เฮ้ออ ไปทางไหนดีเนี่ย นี่ขนาดเช้ายังมืดเลยแฮะ"หลังจากออกจากแหวนมิติผมก็บ่นก่อนเลย ในความที่บรรยากาศยังน่ากลัว แสงสว่างมีรำไร แต่ก็ยังมีหมอกขมุกขมัว มองเห็นไม่ชัดอยู่ดี เช้ายังขนาดนี้ เย็นจะขนาดไหน ดีนะที่เมื่อวานเย็นย่ำค่ำคืนผมเข้าไปอยู่ในแหวนมิติ เพราะถ้าเหมือนเข้าป่าทั่วไปที่ต้องตั้งแคมป์ ก่อกองไฟนั้น ดีไม่ดีเจอผีทำไง นอกจากผีก็สัตว์ต่างๆที่อันตรายอะ แล้วระดับผม ถ้าเจอกันจังๆไม่ว่าผีหรือสัตว์อันตราย ผมตกใจร้องก่อนแน่ ไม่ก็ช็อคเป็นลมหมดสติโดนมันลากไปกินแน่ ไม่น่าได้สู้หรอก ใจเสาะเกิน ก็ผมค่อนข้างกลัวความมืดอะ ไม่รู้ว่ามันมีอะไรรึเปล่าที่มองเราอยู่ มันอาจจะเห็นเราแต่เราไม่เห็นมันงี้ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว และยิ่งอยู่ในป่าหมอกมรณะอีก ชื่อนี้มันไม่น่าจะได้มาเล่นๆอยู่แล้วละ มันก็น่าจะมีอะไรที่เราไม่ควรประมาทมั้ยล่ะ ดีไม่ดีเดินๆอยู่กลายเป็นวิญญาณไม่รู้ตัวงี้ ฉะนั้นด้วยความอัจฉริยะของผม ผมจึงเอาไข่มุกเวทย์ออกมาหกลูกแล้วร่ายเวทย์ให้มันลอยรอบตัวผมเพื่อส่องแสงสว่างในระยะหนึ่งเมตรนี้ แค่นี้บริเวณโดยรอบที่ผมกำลังจะเคลื่อนตัวผ่านไม่ว่าทางไหนก็จะสว่างทันที 5555 ฉลาดจริงๆผม แค่นี้ผมก็ไม่กลัวอะไรละ ผมเลยใช้เวทย์เหยียบเมฆาเดินไปเร็วๆหาต้นพญาเสน ต้นพญาเสนมีลักษณะที่เหมือนต้นไม้ที่ตายแล้วคือมีแต่ลำต้นสีดำหรือน้ำตาลแล้วแต่อายุของต้น ยิ่งโตยิ่งเหมือนซากต้นไม้ที่ยืนต้นตายไม่มีใบแม้แต่ใบเดียว เพราะมันไม่จำเป็นต้องสังเคราะห์แสงมันจึงไม่มีใบ แต่ต้นมันดันออกดอกตลอดชีวิตที่มันมีอายุขัย แต่ออกทีละดอกเท่านั้น แถมดอกยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าราวกับซากศพ ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไรในความรู้สึกผมเพราะต้นมันก็โตมาจากซากศพและจิตวิญญาณ ออกดอกมาไม่เหม็นนะสิแปลก และถ้าเก็บดอกมันแล้วต้นมันจะตายทันที ตายลงกลายเป็นซากศพของคนที่มันใช้จิตวิญญาณเติบโตนะแหละ เหมือนให้วิญญาณย้ายที่อยู่จากร่างคนไปต้นไม้เลย ถ้าบ้านเราก็ฟิวตานี หรือตะเคียนอะครับ ผมจึงพยายามตามหาจากกลิ่นและก็มองไปรอบๆด้วยจะได้หาเจอเร็วๆแล้วออกไปจากที่นี่ทันที

จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันผมก็ยังไม่เจอแม้กระทั่งกลิ่น สักนิดก็ไม่มี ไม่เห็นเลย ผมเลยว่าจะเข้าไปดูคนเจ็บสักหน่อย พอเข้ามาก็เห็นร่างสูงยังคงนอนหลับอยู่ ผมเลยเอาอาหารออกมาจัดไว้ให้ ส่วนตัวเองก็เอาออกมากินข้างนอกจะได้ไม่รบกวนคนเจ็บ ซึ่งเอาจริงที่นี่มันเป็นของผมนะ จะรบกวนอะไรก่อน ถูกมะ แต่ความเป็นคนดีไงเว้ย เราไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ป่ะ นั้นเลยทำให้ผมมานั่งทานที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งสมบูรณ์ดีมากแถมดอกยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆอีก ผมเลยนั่งกินไปเพลินๆ อิ่มแล้วก็สูดกลิ่นหอมๆเข้าปอดไปอย่างสดชื่น ด้วยความหนังท้องตื่นหนังตาเลยหย่อนแฮะ รู้สึกง่วงแปลกๆและยิ่งบรรยากาศกำลังเย็นสบาย กลิ่นหอมอ่อนๆยิ่งทำให้น่านอนมากขึ้น จนตอนนี้หัวผมเริ่มเอนลงนอนพิงที่ต้นไม้นั้นจะหลับอยู่แล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่านอนตรงนี้น่าจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ผมเลยวับหายเข้ามายังแหวนมิติแต่ทันทีที่เข้ามาสติผมก็ดับวูบไม่รับรู้อะไรอีกเลย

ตุ้บ ร่างเล็กหมดสติลงมาที่อ้อมกอดแข็งแรงทันที เขารู้สึกตัวตั้งแต่ที่ร่างเล็กเข้ามาจัดอาหารให้เขาแล้ว แต่ที่เขายังหลับต่อเพราะอยากเห็นคนร่างเล็กทำตัวเป็นธรรมชาติ เดินบ่นพรึมพรำไปมา น่ามอง น่าเอ็นดู ไม่เกร็ง ทำตัวไม่เป็นตัวเองแบบตอนที่เขาตื่น และอีกอย่างตอนที่ร่างเล็กเข้ามาเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆอะไรบางอย่างที่เขาก็จำไม่ได้ แต่ความรู้สึกบอกเขาว่ากลิ่นนี้อันตราย จนร่างเล็กออกไปก่อนที่เขาจะขบคิดออกว่ามันคือกลิ่นอะไร เมื่อลับร่างเล็กเขาจึงลุกขึ้นมากินอาหารที่ร่างเล็กเตรียมไว้ให้พร้อมกับความคิดที่คิดออกแล้วว่ากลิ่นนั้นเหมือนดอกอี้ฮ่วน หรือก็คือดอกของต้นไม้กินคน ที่ต้นมันจะผลิดอกหอมอ่อนๆออกมาล่อเหยื่อให้สูดกลิ่นของมันเข้าไปมากๆจะได้สติเลื่อนลอยคล้ายคนหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ไม่มีสติ แล้วเผลอหลับไปใต้ต้นของมันหรือบริเวณรอบๆที่ได้กลิ่นของมัน จากนั้นกิ่งก้านของมันจะพันรอบร่างกายของเหยื่อ และฉีกกระชากร่างนั้น จากนั้นก็จะดูดกลืนจิตวิญญาณเหยื่อเข้าไปทันที และนั้นคือเหตุผมที่ทำให้ต้นของมันสวยงามสมบูรณ์นัก เพราะวิญญาณที่มันกลืนกินไปไม่มีความแค้นเคืองใดก่อนตายเลย เพราะตายไม่รู้ตัว แถมมีแต่ความสุขสดชื่นที่ได้สูดดมกลิ่นหอมของมันอีก เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงคนร่างเล็กมาก ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้เรื่องต้นไม้กินคนนี่มั้ย อยากจะออกไปบอกก็ทำไม่ได้ที่นี่เป็นแหวนมิติคนร่างเล็ก ถ้าไม่ได้รับอนุญาตโดยการที่เจ้าของพาเข้าหรือพาออก เขาล้วนออกไปไม่ได้ กังวลจนมายืนรอที่หน้าทางเข้าออก ภาวนาให้ร่างเล็กรู้ตัวก่อนที่เขาจะพังแหวนมิตินี่ออกไป แต่ก่อนที่ความอดทนเขาจะหมดลง ทางเข้าเวทย์ก็มีการเคลื่อนไหวเหมือนจะมีอะไรเข้ามาเขาเลยมายืนรอบอกเรื่องนี้ แต่เมื่อร่างเล็กเข้ามาก็หมดสติลงที่วงแขนเขาทันที เขาจึงอุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอกจากนั้นก็พาเดินไปยังฟุกนอนแสนนุ่มหอมกรุ่นของเจ้าตัวทันที จากนั้นก็วางร่างเล็กลงด้วยความทะนุถนอม จัดท่าทางให้นอนหลับได้สบายแล้วห่มผ้าให้ ก่อนจรดริมฝีปากเข้มลงบนหน้าผาก ก่อนจะนั่งมองร่างคนหลับสนิทอย่างเงียบๆ ความจริงใช่ว่าเขาจะมองไม่เห็นความสงสัยนั้นตั้งแต่ที่เขาเรียกคนร่างเล็กนี่ว่าเหลียนเอ๋อร์แล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าร่างเล็กคิดอะไรอยู่ ก็สีหน้าเจ้าตัวมักบ่งบอกทุกอย่างที่คิดอยู่แล้ว โดยที่เขาไม่ต้องเดาเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวเล็กคงจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงเรียกเหมือนจินหลงที่เจ้าตัวเริ่มสงสัยความสัมพันธ์ที่เจ้าตัวคลับคล้ายคลับคลาว่าอาจจะเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็ไม่น่าใช่ ทำให้มีความไม่แน่ใจเกิดขึ้นและคงสับสนจนพาลไม่ชอบใจจินหลงเบาๆ เมื่อเขาเรียกเหมือนจินหลงที่อีกฝ่ายพยายามลืมไปแล้วก็เหมือนกวนน้ำใสให้ขุ่นนั้นแหละ ทำให้เขาไม่กล้ามาในร่างของจินหลงอีก เขาเลยมาในร่างของชิงหลง ซึ่งเป็นร่างจริงก่อนที่เขาจะบำเพ็ญบรรลุเป็นเทพเซียนที่มีออร่าสีทองของเทพเปร่งประกายตลอดเวลา แต่เป็นร่างคนเดินดินกินอย่างมนุษย์มนาทั่วไป แล้วเข้าหาร่างเล็กโดยเจตนาละนะ แต่การที่เขาสร้างสถานการณ์จนได้มาอยู่กับร่างเล็กที่คลายความระแวดระวังตัวจากคนที่ไม่สนิทแบบนี้ ก็ทำให้เขาหนักใจอยู่บ้างที่เห็นร่างเล็กได้ส่วนประกอบของพันพิษสลายรักมาแล้วถึงสองชนิด เดิมทีด้วยคิดว่าร่างเล็กเพิ่งเข้ามาแล้วสมุนไพรที่หาก็หายากชนิดงมเข็มในมหาสมุทรเวลาไม่ถึงสองวันคงไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่เขาคิดผิดเพราะท่าทางเจ้าตัวจะพกโชคเข้ามาเป็นกระบุง หรือไม่ป่าอาถรรพ์ก็ต้องการเป็นศัตรูกับเขาเพราะต้องการให้ร่างเล็กได้ส่วนประกอบยาไปทำยาแก้พิษได้สำรวจ แต่ดีนะที่เขาใช้แผนบาดเจ็บเพื่อเข้าหาร่างเล็ก เจ้าตัวเลยพาเขามารักษาในแหวนมิติจนเขารู้ก่อนและพยายามทำให้ยาสองชนิดนี้ใช้ไม่ได้ผล แต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะเขาพยายามตอนที่ร่างเล็กออกไปตามหาตัวยาชนิดอื่นอยู่ร่ายเวทย์ดึงสรรพคุณมันออกให้เหลือเพียงซากของมัน (เข้าใจแบบง่ายๆก็เหมือนยาที่ต้มจนสรรพคุณทุกอย่างมันออกมากับน้ำแต่ก็ยังเหลือกากยาที่ยังสภาพเดิมแต่ใช้การไม่ได้แล้วเอาไว้) แต่เหมือนมันมีจิตวิญญาณทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยนอกจากนายของมัน จะทำลายมันก็ไม่ได้ไม่งั้นร่างเล็กได้รู้และเกลียดร่างนี้ไปด้วยอีก แต่จะปล่อยให้ร่างเล็กทำยาแก้พิษนั้นสำเร็จไม่ได้ งั้นเขาจะรอทำกับยาตัวอื่นก็แล้วกัน แค่มียาชนิดเดียวที่ใช้ไม่ได้ ก็ทำให้ตำรับยาแก้พิษนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ฉะนั้นไม่มีอะไรต้องกังวลสักนิด หึๆๆๆๆ

"อือออ"ร่างเล็กเหมือนจะรู้สึกตัวตื่น แต่ก็ยังมีความงัวเงียอยู่ ทำตัวอย่างกับเจ้าแมวเมี้ยวที่ชอบมุดอยู่แต่ในผ้าห่มที่อบอุ่นนั้น ร่างสูงจึงเอือมมือไปปัดผมยาวสลวยที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มออก จนร่างเล็กเหมือนจะรู้สึกตัวตื่นจริงๆ ร่างสูงจึงชักมือกลับอย่างรวดเร็วแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ชิงหลง ทำไมเจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ละ แล้วทำไมข้ามานอนตรงนี้ได้ ทำไมง่วงขนาดนี้นะ แล้วทำไมข้าอ่อนแรงเพียงนี้ละ"ผมถามเสียงอ่อนระโหยเหมือนเหนื่อยมาก กับร่างสูงที่นั่งมองผมอยู่ข้างๆ เพราะมีความสงสัยเต็มไปหมด เพราะเหมือนชิงหลงจะรู้เรื่องที่ผมอยากรู้

"เจ้าได้รับกลิ่นดอกต้นอี้ฮ่วนหรือต้นไม้กินคน จนหมดสติ แต่ยังดีที่เจ้าเข้ามาในแหวนมิติก่อนจะหมดสติจนกลายเป็นอาหารของต้นไม้นั้นไป พอเข้ามาเจ้าก็หมดสติเลย ข้าเลยพาเจ้ามานอนพักและรอดูอาการเจ้าว่าจะตื่นขึ้นมั้ย หากเจ้าไม่ตื่นในสองชั่วยาม ข้าต้องพาเจ้าไปแช่น้ำล้างพิษดอกอี้ฮ่วนซะ"ร่างสูงเล่าทุกอย่างให้ผมเข้าใจแจ่มแจ้ง รวมถึงเล่าเรื่องต้นอี้ฮ่วนหรือต้นไม้กินคนนั้นให้ผมหังอย่างละเอียดอีกด้วย ทำเอาช็อคไปเลยที่รู้ว่าเกือบเป็นเหยื่อของต้นไม้ปีศาจนั้น อุตส่าห์ชมว่ากลิ่นดีกลิ่นหอมที่ไหนได้ มันคือความโกหกหลอกลวงทั้งเพ คุณหลอกดาว ก็ว่าอยู่ทำไมในป่าดงพงไพรที่อันตรายแบบนี้ถึงมีต้นไม้ที่เงียบสงบน่าพักผ่อนหย่อนใจขนาดนี้อยู่ ที่แท้มันก็อันตรายสมกับที่อยู่ในเขตป่าหมอกมรณะเลย คือต่อให้สวยงามเหมือนไร้พิษสง แต่จริงๆโคตรอันตราย ฉะนั้นผมจะไม่ไว้ใจอะไรในป่านี้อีกแล้ว คอยดูนะ ออกไปนี้ผมจะเผามันซะ ไอ้ต้นไม้อันตรายเนี่ย จะได้ไม่กินคนที่มาเดินเล่นแถวนี้ (ใครจะไปเดินเล่น ชมนกชมไม้แถวนั้น เหมือนแก)

"งั้นข้าชอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า ถ้าไม่มีเจ้าช่วยข้าอาจจะไม่ฟื้นมาเลยก็ได้"ผมขอบใจอย่างที่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"ไม่เป็นไร เจ้าเองก็ยังช่วยชีวิตข้า แถมช่วยมากกว่าที่ข้าช่วยนัก ที่ข้าช่วยยังเทียบไม่ได้กับที่เจ้าช่วยข้าเลย ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ข้าจะชดใช้หมดมั้ยด้วยซ้ำ"ชิงหลงพูดอย่างจริงจัง

"เอ่อ ข้าว่าอย่าเป็นเรื่องใหญ่เลย ข้าช่วยเจ้า แต่เจ้าก็ช่วยข้ากลับ ถือว่าเจ้ากับข้าไม่มีบุญคุณต่อกันหรอก ไม่ติดหนี้กันอย่างนี้ดีกว่า"ผมบอกปัดไป หลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาหลังจากนี้อีกด้วย

"ไม่ได้ ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า จากนี้ไปข้าจะติดตามเจ้า เจ้าไปขวา ข้าไปขวา เจ้าไปซ้าย ข้าไปซ้าย มีเจ้าต้องมีข้า"ชิงหลงพูดอย่างขึงขังถึงเรื่องยุ่งยากที่ผมคิดไว้อยู่แล้วว่ามันจะตามมา

"เอ่อ อย่าว่างั้นงี้เลยนะชิงหลง แต่ว่าข้านะเป็นผู้ร่ำเรียนสายโอสถที่ตอนนี้ร่ำเรียนอยู่ที่สำนักญาณศึกษา ไม่ควรที่จะมีคนติดตามหรอกนะ หรือต่อให้ที่นั้นมีคนติดตามได้ คนของข้าก็เยอะแยะ ไม่ต้องเป็นเจ้าหรอกนะ ฉะนั้นหากเจ้าหายดีแล้ว ก็ต่างคนต่างแยกย้ายเถอะ"ผมบอกอย่างใจเย็น

"แต่บรรพบุรุษตระกลูข้าสอนให้ข้าทดแทนผู้มีบุญคุณด้วยชีวิตที่ข้ามี"บรรพบุรุษบ้านไหนสอนแบบไม่รักลูกหลานตัวเองแบบนี้ว่ะ เจอจะปรับทัศนคติสักที ให้ตายเถอะ

"แล้วข้าจะอยากได้ชีวิตเจ้าไปทำอะไรเล่า เจ้าไม่ต้องให้ชีวิตข้าหรอก ถือซะว่าข้าเป็นหมอ เจ้าเป็นคนไข้ของข้า เจ้าจ่ายเงินให้ข้า ก็ถือว่าจบ แล้วซึ่งต่อกัน อย่างนี้ดีรึไม่"ผมเสนอทางเลืกให้ไป

"แต่ข้าไม่มีเงิน"ตอบมาหน้านิ่งๆ

"เช่นนั้นข้ารักษาให้เจ้าฟรี"

"ของฟรีไม่มีในโลก"

"มีสิ ที่ข้านี่ไง รักษาฟรีไม่มีคิดเงิน"

"แต่ข้าสามารถปกป้องเจ้าได้นะ ผู้ฝึกสายโอสถส่วนใหญ่ล้วนไม่มีพลังยุทธ์"

"ข้าอยู่ระดับจินตานแล้ว สามารถปกป้องตนเองได้"

"ต่อให้เจ้ามีระดับที่สูง แต่วิทยายุทธ์เล่า เจ้าได้ร่ำเรียนมาอย่างแตกฉานแล้วรึ"ร่างสูงพยายามแย้ง

"ก็ยังหรอกนะ"ผมตอบความจริงไป ซึ่งก็ไม่คิดว่าคำตอบแค่นี้จะเปลี่ยนชีวิตผมขนาดนั้น

"่นนั้นข้าจะปกป้องเจ้า พร้อมทั้งสอนวิทยายุทธ์ให้เจ้าด้วย และเจ้าก็ไม่ต้องปฏิเสธ เพราะข้าไม่ฟัง จากนี้ไปข้าฝาหเนื้อฝากตัวด้วยนะเหลียนเอ๋อร์"ชิงหลงรวบรัดมัดมือชกจนผมยังอ้าปากพะงาบๆเถียงไม่ทัน

"เฮ้อ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ งั้นหากข้าเรียนวิทยายุทธ์กับเจ้าหมดทุกกระบวนท่าที่เจ้ารู้ เราก็เลิกแล้วต่อกัน เข้าใจมั้ย ไม่ใครติดหนี้อะไรกันอีกแล้วนะ"ผมเลยยื่นข้อเสนอเจอกันคนละครึ่งทางแล้วกัน

"เช่นนั้นก็ได้ งั้นเหลียนเอ๋อร์พักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถอะ"

"เจ้าก็ไปพักเถอะ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่"หลังจากเถียงกันจนลงตัวแล้ว เราสองคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน ผมที่ยังเพลียๆจึงนอนหลับต่อทันที

หลังจากตกลงกับร่างเล็กสำเร็จเขาก็เดินกลับมาที่นอนของเขาทันที พร้อมทั้งความลิงโลดในใจที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ใกล้ชิดกับร่างเล็กนานขึ้น เขาจะได้ทำตามแผนที่วางไว้สำเร็จสักที

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

mmmintmintcreators' thoughts