ตอนที่ 16 กระตุ้นด้วยคำพูด
“ถูกอย่างที่ท่านคิด...ท่านคงศึกษาด้านโอสถมาอย่างดี ท่านจึงมีฝีมือขนาดนี้…ข้าอังอวี่ ผู้ได้ยินข่าวลือมามากเกี่ยวกับท่านจนกล่าวดูหมิ่นท่านแบบนั้น ข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก”
เมื่อได้เห็นความสามารถของเย่หยวน อังอวี่ได้ตระหนักทันทีว่า ก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวไม่ดีกับเย่หยวนไปมาก…เขาจึงรีบกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว
เขากล่าวสรรเสริญเย่หยวนในใจ ที่เย่หยวนสามารถเปลี่ยนตัวเองจากอดีตที่ไม่สู้ดีนัก ดังนั้นเขาจึงกล่าวขอโทษอย่างตรงไปตรงมา...นี่คือสิ่งที่สหายควรทำแก่กัน
ระหว่างทางที่มานี่ อังอวี่ได้เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวตระกูลของเขา จนเย่หยวนก็รู้ว่า อังอวี่เองก็อยู่ในสำนักตันอู่เช่นกัน จึงไม่น่าแปลกใจไฉนเขาถึงทราบว่าเย่หยวนอยู่ในอันดับสุดท้ายของสำนักตันอู่
เย่หยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวว่า
“ท่านไม่ต้องจำเป็นต้องขอโทษ ในอดีตข้ามีชื่อเสียงที่มืดมนอย่างที่ท่านรู้ ในตอนที่ข้ายังเยาว์วัย ข้ามักถูกพ่อบังคับให้ศึกษาสมุนไพรเหล่านี้เป็นประจำ...ดังนั้นข้าจึงจำได้เล็กๆน้อยๆ”
ณ จุดนี้อังอวี่ไม่กล้าที่จะพูดห้วนกับเย่หยวนอีกต่อไป เขารีบตอบกลับทันทีว่า
“นายน้อยเย่ช่างอ่อนน้อมถ่อมตน โปรดเข้ามาเถิด...เชิญ”
ขณะที่อังอวี่พาเย่หยวนเข้าไปในบ้าน เมื่อเดินเข้ามาเย่หยวนพลันได้ยินเสียงลมหายใจที่อ่อนระทวย และต้นเสียงนั้นได้นอนอยู่บนเตียงไม้ ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่า ผู้ที่นอนโทรมอยู่คือพ่อของอังอวี่ ถางซ่งไฮว่
“ยะ-หยุน…หยุนเอ๋อ...แค่กๆ...เป็นงะ-ไง… แค่กๆ...บ้าง?”
สภาพของถางซ่งไฮว่นั้นดูไม่ค่อยดีนัก เขาไออย่างรุนแรง...แม้จะพูดเป็นประโยคยังยาก จากนั้นเขาก็พยายามที่จะลุก
อังอวี่เห็นดังนั้น จึงรีบไปพยุงตัวพ่อเขาทันที
“ท่านพ่อ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าลุกโดยพลการ”
“ฮ่าๆๆฮะ… แค่กๆ ...ตะ-ต่อไปนี้… ขะ-ข้า… ข้าคงไม่สามารถ… ดูแลเจ้าได้อะ-อีกแล้ว” แค่กๆ...จะ-เจ้าต้อง...ดูแลตะ-ตัวเองให้ดี”
เห็นได้ชัดเลยว่าถางซ่งไฮว่ ไร้หนทางใดๆ...ในตอนนี้เขาจึงพูดสั่งเสียก่อนที่ไม่มีโอกาสใดๆอีก
น้ำตาของอังอวี่ได้หลั่งออกมาทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น และพูดอย่างสำลักน้ำตาว่า
“ท่านพ่อไม่...ท่านห้ามพูดเช่นนี้อีก ขะ-ข้า… ข้าจะหาหนทางมารักษาท่านแน่นอน! ข้านำหญ้าหกแฉกกลับมาแล้ว ข้าจะรีบไปหลอมโอสถให้ทันที!”
หลังจากพูดเสร็จ อังอวี่ก็ได้ลุกขึ้นแต่เขาก็ถูกรั้งไว้โดยพ่อของเขา
“ม-ไม่...ไม่จำเป็นต้อง...แค่กๆ...มันไร้ประโยชน์...”
มิใช่ว่าโอสถฟื้นฟูร่างกายจะไม่สามารถรักษาเขาได้ แต่เขารู้ดีว่าทักษะการปรุงยาของลูกตนไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดหลอมมันได้โดยสมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุด… ถางซ่งไฮว้ก็ต้องการให้ลูกของตนเก็บสมุนไพรเหล่านี้เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ยังดีกว่ามาทิ้งให้กับชีวิตที่ใกล้ตายคนหนึ่ง
“แค่กๆ...ทะ-ทำ…ไม...มีแขกมา… แค่กๆ...ทำไม…ไม่เชิญเขานั่ง?”
ถางซ่งไฮว่ได้สังเกตว่า…วันนี้ได้มีบางคนนอกเนื่องจากลูกของตนมาที่บ้าน และกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
เมื่อได้ยินพ่อของตนพูดเช่นนี้ อังอวี่จึงรีบหันไปหาเย่หยวนพร้อมพูดว่า
“นายน้อยเย่ ข้าขอร้อง...โปรดรักษาพ่อข้าด้วยเถิด ข้ายินดี...ยินดีเป็นทาสรับใช้ท่านไปชั่วชีวิต! ท่านจะตีจะเฆี่ยนข้าอย่างสัตว์ตัวหนึ่งก็ยังได้!”
แม้ว่าชื่อเสียงขออังอวี่จะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่า…เขาเป็นคนกตัญญูมากแค่ไหน คำพูดเหล่านี้นั้นมันแสดงให้เห็นว่าเขารักพ่อของตนแค่ไหน
คำพูดและท่าทางของเขาทำให้ส่วนลึกของจิตใจเย่หยวนได้รับการตอบรับทันที
“ข้าและเจ้าเป็นดั่งพี่ดั่งน้อง แล้วไฉนถึงพูดเช่นนี้กัน? ให้ข้ามองเจ้าเป็นสัตว์ตัวหนึ่งอย่างนั้นรึ? เร็วเข้า!...นำท่านลุงนอนลง ข้าจะวินิจฉัยเดี๋ยวนี้แหละ!”
เย่หยวนได้ยืนมือขวาออกไปเพื่อวัดชีพจรของถางซ่งไฮว่ เมื่อถางซ่งไฮว่รู้สึกตัวว่ามีคนมาวัดชีพจร… เขาก็เร่งชักมือออกทันที
“มะ-ไม่...แค่กๆ...ไม่จำเป็นหรอก...เจ้าหนุ่ม...ข-ขอบคุณ”
“ท่านพ่อ!”
เมื่ออังอวี่ได้เห็นการกระทำของพ่อตนเอง เขาก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น
เย่หยวนรู้ดีว่า ถางซ่งไฮว่ไม่อยากสร้างภาระให้ลูกชายของตน เพราะอย่างไรเขาก็ต้องตายแน่นอน และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ...เขาไม่คิดว่าเด็กอย่างเย่หยวนคงไม่สามารถรักษาอาการที่สาหัสขนาดนี้ได้
เย่หยวนไม่ได้โกรธแต่อย่างใด จากชีพจรที่เขาสัมผัสเมื่อสักครู่นี้ แม้เพียงเสี้ยวอึดใจ แต่เขาก็วินิจฉัยได้ทันที เขาจึงถามขึ้นว่า
“ท่านลุง… หากข้าเดาไม่ผิด ท่านคงได้รับบาดเจ็บจากแรดวายุฟ้าใช่หรือไม่?”
พออังอวี่ได้ยินดังนั้น เขาก็ตกใจทันที
“ทะ-ท่านรู้ได้อย่างไร...ท่านเพิ่งจับชีพจรไม่ทิ้งเสี้ยวอึดใจเท่านั้น?!”
แต่ถางซ่งไฮว่ก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง เขาได้ไอจนแทบไม่สามารถปะติดปะต่อคำพูดได้
“นะ-นี่… แค่กๆ… ยะ-หยุน… หยุนเอ๋อ...ชะ-ชายหนุ่ม...แค่กๆ...ชายหนุ่มผู้นี้… คือใครกัน?”
“ท่านพ่อ...นี่นายน้อยเย่ เขามาเพื่อรักษาท่าน!” เมื่ออังอวี่เห็นพ่อของตนไอไม่หยุด อย่างกับว่าหัวใจเขาได้ดิ่งลงสู่เหวลึก
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ เย่หยวนได้ขมวดคิ้วในทันที...หนึ่งในสิ่งสำคัญในการรักษาผู้คน คือจะต้องแก้ที่จิตใจผู้ป่วยก่อน หากถางซ่งไฉว่ยังสิ้นหวังและอยากตายอยู่แบบนี้ ต่อให้กินโอสถครอบจักรวาลไป ก็มิอาจช่วยชีวิตเขาได้
ด้วยสายตาคู่นี้ของเย่หยวน เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า อาการบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ก็คงอยู่ไม่พ้นคืนนี้เกรงจะสิ้นใจก่อนแน่นอน หากแค่นี้ยังช่วยไม่ได้...การจะหวนคืนสู่บัลลังก์จักรพรรดิโอสถอีกครั้งก็อย่าหวัง และดูจากสภาพปัจจุบัน… มันสาหัสเกินกว่าจะใช้โอสถฟื้นฟูร่างกายรักษาแล้ว
เย่หยวนจึงตัดสินใจจะใช้โอสถที่มีฤทธิ์รุนแรงยิ่งกว่า
“ช่างเถิดท่านพี่ถาง...เหตุใดจะต้องช่วยชีวิตคนไร้น้ำใจเช่นนี้ด้วย? ในเมื่อเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็คงต้องปล่อยให้เขาตายนั่นแหละ”
อังอวี่สับสนอย่างมากเมื่อได้ยิน จริงแล้ว…เย่หยวนตั้งใจจะช่วยพ่อเขาจริงๆหรือไม่? และเมื่อได้ยินเย่หยวนดูหมิ่นพ่อของตน เขาก็โกรธอย่างมาก
“นี่ท่าน! ที่พ่อข้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็เพราะทำเพื่อข้า แล้วเหตุใดท่านจึงพูดเยี่ยงนี้?”
“แค่ก…เจ้าหนุ่ม…คำพูดยั่วยุของเจ้า...มะ-ไม่…ไม่มีประโยชน์หรอก”
อังอวี่อาจไม่เข้าใจ แต่ชายผู้เจนจัดผ่านโลกมานานอย่างถางซ่งไฮว่มีหรือจะไม่เข้าใจ
เย่หยวนไม่คิดอยู่แล้วว่า สรรพสิ่งใดล้วนง่ายดายราบรื่นไปเสียหมดอยู่แล้ว เขายิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดว่า “ท่านคิดเช่นนั้นหรือ? ในเมื่อวาจายั่วยุท่านกลับใช้ไม่ได้ผล เช่นนั้นข้าก็จะรักษาท่านด้วยวิธีนี้ก็แล้วกัน หากวันข้างหน้าหากท่านพี่ถางต้องตายอย่างไร้ค่าอยู่ข้างถนนหนทาง แล้วไปพบเจอท่านในปรภพ ดูซิว่าท่านจะมีหน้าตอบเขาว่าอย่างไร”
ในที่สุด… อารมณ์แสนแน่นิ่งคล้ายคนใกล้ตายของถางซ่งไฮว่พลันถูกกระตุ้นขึ้นทันใด เขาหันเหลียวมองหันควันและพูดว่า
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านพูดเองมิใช่รึว่า ข้ายั่วยุท่านไม่ได้ผล? แล้วเหตุใดท่านจึงถามอะไรมากมาย? ข้าเพียงเห็นแก่ความกตัญญูของท่านพี่ถางเท่านั้น ข้าจึงตกลงที่จะช่วยชีวิตท่าน แต่ดูเหมือนว่าความกตัญญูของเขาคงไม่เป็นที่ชื่นชมเสียแล้ว ที่กล่าวไปเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริงแน่นอนในอนาคต แต่ช่างมันเถอะ เอาล่ะ… ข้าตัดใจเลิกคิดเรื่องช่วยชีวิตท่านแล้ว ลาก่อน” เมื่อพูดจบ เย่หยวนก็หันหลังกลับและเดินจากไปทันที
“ช้าก่อน!”
ถางซ่งไฮว่ และอังอวี่ตะโกนออกไปพร้อมกัน
“ท่านลุงยังมีอะไรอีกรึ?”
เย่หยวนหาได้สนใจอังอวี่ และถามถางซ่งไฮว่น้ำเสียงเย็นชา…
“ขะ-ข้า…อยากรู้ว่า…ที่เจ้าหนุ่มพูดสักครู่นี้…หมายความเช่นไร…ที่ท่านเพิ่งพูดไปเมื่อครู่”
ประโยคที่ว่า อังอวี่จะนอนตายข้างถนนนั้น ช่างทิ่มแทงหัวใจของเขาจริงๆ
“อะไรกัน...ท่านก็แค่คนกำลังจากตายคนหนึ่ง แล้วยังจะอยากรู้อันใดอีก? กับแค่ชีวิตของตนเองยังมองว่าไร้ค่า แค่ชีวิตของตนยังรักษามันไว้ไม่ได้ ยังจะนับประสาอะไรกับชีวิตลูกล่ะ? หากนี่ไม่เรียกไร้น้ำใจแล้วจะให้เรียกว่า?”
คล้อยหลังพูดจบ เย่หยวนก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา
“ตะ-ตราบ… เท่าที่...ทะ-ท่านจะยอมบอก… แค่กๆ...ข้ายินดี...ให้ท่านรักษา…”
ดูเหมือนวันนี้ถางซ่งไฮว่จะพูดมากเกินไป จึงทำให้อาการของเขาทรุดหนักขึ้น
เย่หยวนยังคงมองอย่างเหยียดหยาม เขายิ้มเยือกเย็นและพูดว่า
“ท่านคิดหรือไม่ว่า หลังจากที่อังอวี่เข้าไปศึกษาที่สำนักตันอู่แล้ว อนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร?”
“แล้ว…จะเป็นเช่นไรรึ?”
ถางซ่งไฮว่ถามด้วยความสงสัยอย่างมาก
“สำนักตันอู่ หาใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ท่านคิดไว้ แต่มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ข้าเชื่อว่าท่านพี่ถางคงไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ท่านฟังใช่หรือไม่?”
เย่หยวนถามขณะมองไปที่อังอวี่
อังอวี่เผยสีหน้าให้เห็นถึงความอัดอั้นตันใจ และก็พยักหน้าแทนคำตอบ ถางซ่งไฮว่รู้จักลูกชายตนเองดี เขามั่นใจว่าลูกชายของเขาไม่โกหกแน่ หัวใจของเขาบีบคั้นมากขึ้น
เย่หยวนพูดต่ออีกว่า
“ที่สำนักตันอู่นั้น เป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้มากความสามารถไว้มากมาย และเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น บางทีอาจจะป่าเถื่อนมากกว่าโลกข้างนอกเสียด้วย! การจะแข็งแกร่งขึ้นนั้น ต้องแลกมาด้วยการฆ่าผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ แม้ว่าท่านพี่ถางจะมีพรสวรรค์ที่ไม่เลวนัก แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจจนไร้คู่ต่อสู้ และที่สำคัญเขาก็เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่มีแหล่งสนับสนุนอะไร เขาเป็นได้เพียงแค่บันไดหิน ให้ผู้อื่นก้าวข้ามไปเท่านั้น ในวันข้างหน้าเขาอาจถูกกำจัด หรือหากสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ เขาก็จะเป็นได้เพียงนักล่าสัตว์อสูรเท่านั้น ในสำนักตันอู่ มีคนเช่นนั้นอยู่มากมาย และท่านคิดว่าจะมีนักล่าสัตว์อสูรสักกี่คนกันที่จะสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย?”
ตัวเขาเองถางซ่งไฮว่ก็เป็นนักล่าสัตว์อสูรเช่นเดียวกัน เขาจึงเข้าใจสถานการณ์ของนักล่าเหล่านี้ดี เมื่อคิดว่าลูกชายของเขาต้องมาเจริญรอยตามเขา ถางซ่งไฮว่รู้สึกว่าแม้ต้องตาย...เขาก็คงตายตาไม่หลับแน่
“เจ้าหนุ่ม…ตอนนี้…แค่กๆ…ขะ-ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรด… ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ข้าด้วยเถิด? ขะ-ข้ายินดีจ่ายเงินค่ารักษาให้กับท่าน…”
ที่จริงแล้ว ถางซ่งไฮว่ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความลำบากให้กับลูกชายของเขา ดังนั้นเมื่อพบว่าหากเขาตาย ลูกชายของเขาจะยิ่งพบกับความยากลำบากมากขึ้นแทน เมื่อเขารู้เช่นนี้…มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่อยากตายเข้าไปใหญ่
…………………………………