ตอนที่ 3 โอสถที่ผิดพลาด
สาวน้อยร่างบางในชุดสีเขียวก็คือ ลู่เอ๋อ ซึ่งเป็นสาวใช้ประจำตัวของเย่หยวน มีหน้าที่คอยดูแลชีวิตประจำวันของเขา
ลู่เอ๋อ เป็นสาวน้อยหน้าตาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดวงเนตรบริสุทธิ์คู่นั้นของนางที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ด้วยชุดอาภรณ์สีเขียวนี้ทำให้สาวน้อยดูราวกับนางฟ้าในชุดสีเขียว
เย่หยวน จำเรื่องราวของลู่เอ๋อได้ดี เธอเป็นเพื่อนเล่นของเขาตั้งแต่วัยเด็กและเป็นคนเดียวที่เขาสนิทสนมรองจากพ่อและแม่ของเขา
ทั้งในและนอกบ้าน ไม่มีผู้ใดเอ็นดูเย่หยวนสักนิด เว้นแต่ลู่เอ๋อเพียงคนเดียว แต่ไม่ว่าเขาจะเกเรสักเพียงใด ลู่เอ๋อก็จะคอยดูแลเย่หยวนด้วยหัวใจของนาง
ดังนั้น… ด้วยสัญชาตญาณ เย่หยวนจึงรู้สึกสนิทสนมกับลู่เอ๋อราวกับว่านางเป็นน้องสาวตัวน้อยของเขาคนหนึ่งเลย แต่ถึงกระนั้นเจ้าของร่างเดิมนี้ ก็มักสนุกกับการทำให้ลู่เอ๋อเสียน้ำตาอยู่เสมอ
จริงๆแล้ว แม้ว่าเย่หยวนจะเลวร้ายเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยใช้กำลังบังคับข่มขู่ผู้หญิงแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่สนุกกับกลั่นแกล้ง แต่ก็มีบ้างบางครั้ง ที่ทำเกินกว่าเหตุ
จากความทรงจำที่สืบทอดจากร่างเดิมนี้ เย่หยวนพบว่าพรสวรรค์ของเจ้าของร่างเดิมนี้ไม่เลวนัก นิสัยแย่ๆเหล่านี้ล้วนเกิดจากการถูกตามใจของเย่ฮานผู้เป็นบิดาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้
เพียงแต่ ความรักของบิดาเปรียบดั่งภูเขา เย่หยวนไม่สามารถตำหนิเย่ฮานได้ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่าเย่ฮานช่างคล้ายคลึงกับบิดาของเขาเมื่อชาติที่แล้ว
“นะ-นายน้อย...ท่านหายดีแล้ว?”
ลู่เอ๋อตกอกตกใจยิ่งที่ชนเข้ากับเย่หยวนอย่างจัง นางเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าเย่หยวนดูสดใสและแข็งแรงขึ้นหลายส่วนจากเมื่อวาน นางรู้สึกยินดีอย่างมาก
ความรู้สึกของลู่เอ๋อล้วนกลั่นออกมาจากใจจริง
เย่หยวนหัวเราะและพูดว่า
“ข้าดีขึ้นแล้ว นายน้อยของเจ้าเป็นผู้มีบุญ! หลังจากรอดตายจากวิกฤตครั้งนี้ อนาคตของข้าจากนี้ไปจะมีแต่ความสดใส”
“ฮิฮิ...นายน้อย ท่านตลกจัง ลู่เอ๋อดีใจตั้งแต่รู้ว่าท่านไม่ตายแล้ว ในวันข้างหน้า ท่านจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน!”
คำพูดธรรมดาๆ พวกนั้นกลับมีความหมายลึกซึ้งกับผู้ฟังมาก
ไม่แน่ใจว่า เหตุใดลู่เอ๋อจึงมั่นใจเช่นนั้น หัวใจของเย่หยวนหยุดเต้น คิดดูแล้ว หญิงสาวช่างมีความคิดที่แปลก
เย่หยวน หัวเราะ แล้วก็พูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ...ตามนายน้อยของเจ้ามา ไปเอาสมุนไพรที่หอโอสถได้แล้ว”
ลู่เอ๋อพยักหน้ารับคำสั่งและเดินตามเย่หยวนไปเงียบๆ
หอโอสถเป็นร้านขายโอสถที่ตระกูลเย่ก่อตั้งขึ้นมา เป็นสถานที่ที่ทรงอำนาจแห่งหนึ่งในรัฐฉินทีเดียวและทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้กับเซียนโอสถอย่างเย่ฮาน
ในรัฐฉินเล็กๆแห่งนี้ เพียงแค่ตำแหน่งเซียนโอสถที่เป็นจุดสูงสุดและยังเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งเซียนโอสถของเย่ฮาน หอโอสถแห่งนี้จึงจัดเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง
ในรัฐฉินแห่งนี้ หากตำแหน่งเซียนโอสถเปรียบดั่งป้ายทองคำ หอโอสถแห่งนี้ก็เปรียบได้กับชื่อเสียงของตระกูลเย่และเป็นที่ทราบกันดีว่าเย่ฮานมิได้เข้าไปทำหน้าที่วินิจฉัยโรคให้กับผู้คน แต่อำนาจอิทธิพลของหอโอสถแห่งนี้ก็มิได้เสื่อมคลายลงอันใด หอโอสถสาขาใหญ่นั้นตั้งอยู่ใจกลางตัวเมืองและมีนักหลอมโอสถคอยเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรคให้กับผู้คนทุกวัน หากไร้ซึ่งขุมพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่จริง เรื่องราวเช่นนี้คงเกิดขึ้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เย่หยวนพาลู่เอ๋อเข้าไปด้านในของหอโอสถและก็มีสายตาหลายคู่เหลือบมองอยู่
เย่หยวนพลันเห็นเงาสะท้อนออกจากสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกลัว เกลียดชังและดูถูกเหยียดจากเหล่าผู้ใต้บัญชาหรือก็คือลูกน้องของท่านพ่อเขา และนั่นทำให้เย่หยวนถึงกับส่ายหัวเบาๆ พลางคิดในใจว่า ‘เจ้าของร่างเดิมนี้น่าจะเลวร้ายมากทีเดียวที่สร้างปัญหาให้แม้แต่กับคนบริสุทธิ์พวกนี้!’
ปกติแล้วเย่หยวนจะไม่ข้องแวะกับเหล่าผู้ใต้บัญชาพวกนี้ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะและบอกกับเด็กฝึกงานว่า
“ขอกระดาษและพู่กัน”
เด็กฝึกงานนี้รู้จักสถานะของเย่หยวนเป็นอย่างดีและไม่รอช้า เขารีบนำกระดาษและพู่กันไปวางไว้ด้านหน้าของเย่หยวนด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม เย่หยวนเขียนรายการสมุนไพรที่เขาต้องการอย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นให้กับเด็กฝึกงาน
เย่หยวนไม่สาธยายอะไรยืดยาว เขาออกคำสั่ง
“ไปนำยาสมุนไพรเหล่านี้มาให้ข้า ถ้ามีปัญหาอะไร ให้ไปถามท่านพ่อของข้า”
เด็กฝึกงานกวาดสายตามองรายการสมุนไพรทั้งหมดและรู้สึกโล่งอกที่สมุนไพรเหล่านั้นมูลค่าไม่สูงมากนัก เขาเดินออกไป เพื่อจัดเตรียมสมุนไพรดังกล่าว
สมุนไพรเหล่านั้น เป็นสมุนไพรพื้นๆ แต่ใบสั่งยากลับไม่ใช่
เมื่อชาติที่แล้วของเขา เย่หยวนเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ เขาศึกษาและจำสูตรยาได้ทุกชนิด ความรู้ของเขาในเรื่องยาสมุนไพร และผลข้างเคียงของมันนั้น อยู่ในระดับที่ล้ำลึก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้ฉายาว่าอัจฉริยะและเกือบจะถูกขนานนามว่า จักรพรรดิโอสถแล้ว
เด็กฝึกงานนี้ ไม่รู้ถึงความตั้งใจของเย่หยวน เขาเพียงแค่คิดว่า คุณชายจากตระกูลสูงส่งผู้นี้ เพียงแค่อยากเปลี่ยนมาหาเรื่องสนุกจากสมุนไพร ก็เท่านั้น
ในขณะที่เด็กฝึกงานกำลังจัดสมุนไพร เย่ หยวน ก็นำลู่เอ๋อมาคอยที่ห้องตรวจของหอโอสถ ได้มีนักหลอมโอสถที่ทำหน้าที่อยู่ เหลือบมองเย่หยวนด้วยสายตารังเกียจ แล้วจึงกลับมาทำการรักษาคนไข้ต่อ
นักหลอมโอสถที่ทำการรักษาอยู่ที่นี่ ล้วนอยู่ในระดับนักหลอมโอสถมืออาชีพทั้งสิ้น บางท่านเป็นผู้ติดตามที่เย่ฮานเชิญมาและพวกเขาล้วนมีตำแหน่งหน้าตาในรัฐฉินทั้งสิ้น
ผู้คนที่เข้ารับการรักษาล้วนแต่ป่วยเป็นโรคพิสดาร ที่คนธรรมดาไม่สามารถวินิจฉัยได้ หลังจากสังเกตเห็นการวินิจฉัยโรคของนักหลอมโอสถผู้นี้แล้ว เย่หยวนก็ได้แต่ส่ายหัวเงียบๆ
หากเย่หยวนทำการรักษาด้วยตัวเอง เขาคงออกใบสั่งโอสถที่เหนือล้ำกว่านี้มาก เพียงแต่หากทำเช่นนั้น ทุกคนคงประหลาดใจเกินเชื่อถือ แต่ถึงอย่างไรสูตรโอสถที่นักหลอมโอสถผู้นั้นให้ ก็น่าจะได้ผลเช่นกัน ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอันใด
“คนต่อไป...” ผู้ช่วยนักหลอมโอสถส่งเสียงเรียกอย่างไร้ชีวิตชีวา
ชายร่างกำยำเดินตรงเข้ามา แต่ท่าทางของดูไม่ดีเลย ใบหน้าสีม่วงคล้ำของเขา มีพลังปราณที่อ่อนแอหมุนวนอยู่รอบหน้าผาก ยิ่งกว่านั้น เขาก็ไอไม่หยุดเสียด้วย ชัดเจนว่า…นั่นคืออาการของคนถูกพิษมา
นักหลอมโอสถผู้นั้นจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกระดกลิ้นจนเกิดเสียง เขาคิ้วขมวดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“พลังปราณในร่างกายของเจ้านั้นอ่อนแอมาก แม้พลังจะอยู่ในระดับแปด แต่เจ้าคงเข้าไปในป่าปลิดชีพมาใช่หรือไม่? เจ้าคงจะชอบพิษของงูเจ็ดปีศาจกระมัง?”
ชายร่างกำยำไม่ได้รู้สึกโกรธท่านหมอที่ประชดประชันเขาแม้แต่น้อย ในตรงกันข้าม เขากลับแสดงความชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา พร้อมกับยิ้มให้กับท่านหมอ
“ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจ ข้าไร้ซึ่งหนทางและต้องเลี้ยงดูครอบครัว จึงต้องกลายมาเป็นนักล่าสัตว์อสูร ในอดีตข้าและพรรคพวกก็เพียงแค่เข้าสำรวจอยู่รอบนอกของป่าปลิดชีพเท่านั้น แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ครั้งนี้จะไปเจอกับสัตว์อสูรอย่างงูเจ็ดปีศาจเข้า? นี่ข้ายังโชคดีเหลือเกิน ที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ พรรคพวกของข้าอีกสองคน ตายคาปากของมันเลยทีเดียว”
หลังจากอธิบาย ชายร่างกำยำก็มีอาการเศร้าสร้อย แน่นอน เรื่องราวเหล่านั้นย้ำเตือนความทุกข์ใจที่เคยมี
งูเจ็ดปีศาจจัดเป็นสัตว์อสูรระดับสอง ทัดเทียมได้กับระดับอาณาจักรหลอมรวมวิญญาณของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์อสูรเหล่านี้ยังมีพลังการต่อสู้เหนือกว่ามนุษย์อีกด้วย ชายร่างกำยำผู้นี้มีพลังอยู่ที่อาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณระดับแปดและดูเหมือนว่าพรรคพวกของเขาก็คงไม่ต่างกันนัก แล้วจะไปสู้กับมันได้อย่างไรกัน? เขาคิดถูกแล้ว ที่หนีเอาตัวรอดออกมาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย
นักหลอมโอสถผู้นั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า
“เจ้าโชคดีเป็นอย่างมาก งูเจ็ดปีศาจนี้ทั้งแข็งแรงและโหดเหี้ยม การที่เจ้าเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็ถือว่าโชคดีอย่างมากแล้วจริงๆ หากเป็นที่อื่นคงไม่สามารถรักษาพิษของมันได้ แต่ที่นี่คือหอโอสถย่อมหาใช่ปัญหาไม่! แต่กระนั้นเอง...ราคาโอสถค่อนข้างสูง เจ้าคงทราบดีกระมัง?”
เมื่อชายร่างกำยำได้ยินเช่นนั้น ก็ยินดีเป็นอย่างมาก เขาเดินทางไปตามร้านขายโอสถมามากมาย แต่ละที่ล้วนบอกว่าสิ้นหวัง ไม่สามารถรักษาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ทราบอยู่แล้วว่า ค่ารักษาที่หอโอสถแห่งนี้ค่อนข้างสูง แต่หากเขามีทางเลือกอื่นคงไม่มาที่นี่เช่นกัน แต่เพราะเขารู้ดีว่าพิษนี้ได้กระจายไปทั่วร่างแล้ว หากเขาไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว เขาคงมีชีวิตได้อีกไม่เกินสองถึงสามวันนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเดินทางมายังหอโอสถและเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นักหลอมโอสถของที่นี่เก่งกาจซะจนปราดตามองก็สามารถวินิจฉัยโรคของเขาได้
“อย่ากังวลไปเลยท่านอาจารย์ ข้าเก็บเงินมาหลายปีและจะนำมันมาเป็นค่ารักษาครั้งนี้ เพราะหากข้าเป็นอะไรไปล่ะก็ ครอบครัวของข้าคงต้องอยู่อย่างลำบาก หากท่านหมอรักษาพิษของงูเจ็ดปีศาจให้ข้าได้ ข้ายินดีจ่ายค่ารักษาทั้งหมดให้แก่ท่าน” ชายร่างกำยำไอไปพูดไป
ความมั่งคั่งและโอกาสมักมาพร้อมกับอันตราย ชีวิตของคนนักล่าปีศาจล้วนเต็มไปด้วยอันตราย
ความจริงแล้ว…โอสถต้านพิษที่เย่ฮานปรุงขึ้นมาค่อนข้างได้ผลดี แต่อาการของเขาค่อนข้างหนัก การใช้โอสถถอนพิษเม็ดนั้นจึงไม่ค่อยเกิดประโยชน์อันใด ปกติแล้วเขาจะมีปฏิสัมพันธ์อันดีเฉพาะกับคนในตระกูลเท่านั้นและค่ารักษาที่เก็บในหอโอสถก็ค่อนข้างโหดร้ายไม่น้อย โอสถต้านพิษในระดับนั้น ชายร่างกำยำคนนี้ไม่มีทางจ่ายไหวแน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักหลอมโอสถผู้นั้นก็ไม่รอช้า รีบสั่งผู้ช่วยให้ไปเตรียมสมุนไพรเพื่อรอหลอมกลั่นโอสถทันที
“หญ้าเขียวหกชั่ง โสมทับทิมแดงหกชั่ง เครื่องในนกอินทรีเก้าชั่งและผสมดอกจันขาวลงไปด้วย หลังจากต้มจนเดือดแล้ว นำมาให้ชายผู้นี้ดื่ม จากนั้นก็เตรียมโอสถอีกสองชุดให้เขานำกลับบ้าน”
ผู้ช่วยนักหลอมโอสถรับคำสั่งและนำใบสั่งยานั้นส่งต่อไป เมื่อกลับมา เขากำลังจะเรียกคนไข้รายต่อไป แต่กลับมีใครบางคนยกมือหยุดเขาไว้ก่อน
...............................