webnovel

0002 วรยุทธเก้าเซียนบูรพา

 ตอนที่ 2 วรยุทธเก้าเซียนบูรพา

หาใช่เพราะโอสถของเย่ฮานไม่ได้ผล แต่เป็นเพราะสภาพร่างกายที่ย่ำแย่เกินไปของเย่หยวน

แม้ว่าโอสถของเย่ฮานจะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง แต่เย่หยวนก็มิได้ใส่ใจมากนัก ในเวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้อาการอึดอัดไม่สบายตัวต่างๆในร่างกายทุเลาลง 

ส่วนผลข้างเคียงที่อันตรายจากโอสถถอนพิษนั้น  เย่หยวนสามารถขจัดออกได้เองโดยธรรมชาติ

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ จักรพรรดิโอสถผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่กล้าแม้แต่จะมองดูร่างกายของตนเอง  เขาไม่เข้าใจว่า เจ้าของร่างคนก่อนยังมีชีวิตรอดมายาวนานถึงสิบกว่าปีได้อย่างไร?

เขาเกิดมาในตระกูลนักหลอมโอสถอันทรงเกียรติ แต่เพียงเรื่องการบ่มเพาะพลังให้ถึงอาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณระดับสอง เขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แม้ว่าที่นี่จะเป็นแดนล่างอันต้อยต่ำ แต่การได้เกิดมาในตระกูลเช่นนี้ที่สามารถกลืนโอสถเป็นว่าเล่นดั่งกินขนมหวานได้ อย่างน้อยก็น่าจะสำเร็จถึงอาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณระดับสี่หรือไม่ก็สูงกว่านั้น?

เขาแทบอยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา จักรพรรดิโอสถผู้นี้แทบไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดมาพรรณนาความรู้สึกตอนนี้

การใช้ร่างกายที่อ่อนแอเยี่ยงนี้ทดลองต้านพิษ นับว่าเย่หยวนสมควรตายยิ่งแล้ว แม้ว่าปัจจุบันฉิงหยุนซีจะได้เป็นผู้ครอบครองร่างกายนี้  แต่เขาก็ทำอะไรกับร่างนี้ได้ไม่มากนัก คงต้องค่อยๆทำไปทีละขั้นตอนอย่างใจเย็น

ในสายตาผู้อื่น การที่เย่หยวนคว้าโอสถมาแบบนั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกว่านี่คือเย่หยวนตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

กระนั้นเองเย่ฮานแสยะยิ้มกล่าวว่า

 “นี่! เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสีย! นี่เจ้ากลัวพ่อผู้นี้จริงๆรึ?”

ตอนนี้ เย่ฮานเพิ่งรู้สึกว่าตนเองได้ทำหละหลวมผิดพลาดไป

‘เจ้าแสบนี่ ควรต้องไปแอบอ่านสูตรโอสถหรือไปแอบได้ยินผู้คนใช้กล่าวถึงเรื่องส่วนประกอบโอสถต้านพิษก็เป็นได้ แต่หากเจ้าแสบนี่สามารถแกล้งตบตาข้าได้ขนาดนี้ แสดงว่าอาการของมันก็ไม่น่าจะหนักมากนัก’

  แน่นอนว่าเย่หยวนไม่คิดที่จะอธิบายเรื่องที่เขารู้สูตรยามาได้อย่างไร การที่เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอันใดเลย จวบจนไปถึงแสร้งทำเป็นคนไร้ความสามารถ น่าจะเหมาะสมกับร่างนี้มากกว่า กล่าวได้ว่าการที่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยนับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าเหนื่อยมากแล้วในตอนนี้ ต้องการพักผ่อนเสียหน่อย”

เย่หยวนอ้างกล่าวออกไปเช่นนั้นเพื่อต้องการให้คนทั้งคู่ออกไป

“หยวนเอ๋อ...เจ้าเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก ต้องพักผ่อนให้มาก หากมีอะไรก็เรียกให้ลู่เอ๋อมาบอกพวกเรา”

แล้วพ่อแม่ของเขาก็พาทุกคนออกไปจากห้อง

เย่หยวน เริ่มทำสมาธิโคจรพลังปราณภายในร่างกาย เพื่อทำการดูดซับฤทธิ์โอสถต้านพิษ และขับพิษที่หลงเหลือออกไป

แต่ปริมาณพลังปราณในร่างกายของเขากลับเหลือน้อยเกินไป จึงสัมฤทธิผลไม่เป็นอย่างที่ควร จักรพรรดิโอสถเฉกเช่นเขาที่เพิ่งจะได้รับชีวิตใหม่ และเพิ่งรอดตายจากการถูกพิษกัดกร่อนร่างกาย ทว่าตอนนี้กลับต้องมาโมโหไม่ได้ดั่งใจจนจุกอกตายหรือนี่

ในขณะเดียวกัน กว่าร่างกายของเย่หยวนจะดูดซับฤทธิ์โอสถจนกระจายทั่วร่างพลันเกือบถึงเช้าพอดี ครานี้แค่การทำสมาธิขับพิษก็กินเวลาถึงสิบสองชั่วยามเชียว? 

แต่การทำสมาธิเป็นเวลานานกลับเริ่มเห็นผลแล้ว ผิวพรรณของเย่หยวนตอนนี้ เริ่มสดใส และมีสีสันมากขึ้น ดูเหมือนว่าพิษในร่างกายของเขา ได้ถูกปรับให้เป็นกลางได้แล้ว

เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเย่หยวนคนปัจจุบัน เพราะฉิงหยุนซีผู้นี้สำเร็จถึงจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งโอสถ จนสามารถขับผลข้างเคียงจากโอสถต้านพิษไปได้อย่างง่ายดาย

คิดๆดูแล้ว แม้เจ้าของร่างเดิมจะไม่ใส่ใจเรื่องการฝึกฝนสักเท่าไหร่ แต่นี่ก็นับว่าโชคดีจริงๆ

ณ ปัจจุบัน ร่างนี้เปรียบเหมือนกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง ฉิงหยุนซีจะจัดการอย่างไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องกังวลถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างนี้ เพราะว่าหากเจ้าของร่างเดิมฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะก็  ฉิงหยุนซีคงต้องเสียเวลาอย่างมากเพื่อกู้คืนรากฐานอันสะเปะสะปะให้แก่ร่างกายนี้ใหม่ ดังนั้นการที่เจ้าของร่างเดิมมิได้ฝึกฝนบ่มเพาะอะไรสักอย่างเลย จึงทำให้เขาสบายใจขึ้นอย่างมาก

แม้พิษของหญ้าพิษทะลวงไส้นั้นจะมิได้สาหัสมากนัก แต่ผลข้างเคียงจากโอสถต้านพิษกลับรุนแรงพอสมควร จำนวนพิษเล็กน้อยที่ยังขับออกได้ไม่หมดยังพอแสดงอาการอยู่บ้าง ผนวกกับโอสถต้านพิษชนิดนี้ก็มีข้อด้อยตรงที่ไม่สามารถขับพิษทั้งหมดในร่างกายของเย่หยวนออกได้ หลังรุ่งอรุณไปแล้ว เขาจำต้องหายาสมุนไพรเพื่อมาขจัดภัยร้ายที่ซุกซ่อนหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขา มิฉะนั้นพิษนั้นอาจแสดงผลในภายภาคหน้า

ช่างโชคดีอะไรเยี่ยงนี้  ตระกูลเย่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงด้านหลอมกลั่นโอสถในรัฐฉิน การจะหาสมุนไพรจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด

ยังคงมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนจะรุ่งสาง เย่หยวนจึงใช้เวลาที่เหลือนี้ค่อยๆคิดวางแผนการใช้ชีวิตที่เกิดใหม่หลังจากนี้

เมื่อชาติที่แล้ว...ฉิงหยุนซีมักหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องศาสตร์แห่งโอสถ จนลืมเรื่องศาสตร์แห่งการต่อสู้ไปโดยสนิท มิเช่นนั้นเขาคงอะไรได้บ้างกับเจ้าคนทรยศนั้นไม่มากก็น้อย

ฉิงหยุนซีเคยศึกษาวรยุทธบ่มเพาะพลังไว้บ้าง ก็เพื่อนำไปเป็นส่วนเสริมให้การหลอมกลั่นโอสถของตนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเมื่อไรก็ตามที่ฝึกฝนจนสำเร็จในระดับหนึ่ง ผลลัพธ์ของทุกสิ่งอย่างก็มักจะดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน และเหตุนี้ เขาจึงกลายมาเป็นจักรพรรดิโอสถที่อายุน้อยที่สุดแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ในปีนั้น เมื่อเขาได้ขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิโอสถ เขาได้รับการยกย่องจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วว่าเป็นอัจฉริยะที่เปรียบดั่งเทพเจ้าแห่งโอสถในรอบหมื่นปีเลยทีเดียว เพราะในหลายพันปีมานี้ กลับหาผู้ใดสามารถเทียบเทียมและก้าวย่างถึงระดับชั้นนี้ได้ไม่

แต่อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองเหล่านั้นกลับกลายเป็นเพียงหน้าประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งเท่านั้น  เพราะในวันนี้ ไม่มีอีกแล้ว อัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฉิงหยุนซีผู้นั้น มีเพียงหนุ่มน้อยจากแดนล่างนามขานเย่หยวนผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการแก้แค้น!

เมื่อต้องการแก้แค้นผู้ทรยศ ฉิงหยุนซีในชาตินี้จำต้องหมั่นฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ แม้ว่าคนทรยศผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ทางด้านศาสตร์แห่งโอสถ ทว่านั้นกลับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในด้านศาสตร์แห่งการต่อสู้ กล่าวได้ว่าเขาคืออัจฉริยะเลยทีเดียว หากต้องการชนะมัน เย่หยวนในชาตินี้จำต้องฝึกฝนอย่างหนัก

ก่อนอื่นก่อนใด สิ่งที่หนุ่มน้อยจากแดนล่างนี่ยังขาดแคลนอยู่มากก็คือ ทรัพยากรและวรยุทธต่างๆ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เย่หยวนคนปัจจุบันขาดแคลนที่สุดก็คือทรัพยากร 

แต่ไม่ว่าจะในแดนล่างหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นักหลอมโอสถล้วนเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องอยู่เหนือหัว และยิ่งไปกว่านั้นบิดาของฉิงหยุนซีนามว่าเฉินหยังซี เขาก็เป็นถึงจักรพรรดิโอสถอันดับหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์  แน่นอนว่าภายในตัวเขาได้รวบรวมเคล็ดวรยุทธต่างๆไว้มากมายนับไม่ถ้วน

  แม้ว่าฉิงหยุนซีจะไม่ได้รับการยกย่องมากนักในด้านศาสตร์แห่งการต่อสู้ แต่เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในกระบวนการหลอมโอสถ เขาจึงได้ศึกษาตำรามากมายเกี่ยวกับวรยุทธการต่อสู้ เพื่อเอาไว้พัฒนาพลังปราณ ดังนั้นแล้วการจะวรยุทธบ่มเพาะพลังที่เหมาะสมกับตัวเขาจึงหาใช่เรื่องยากเย็นอันใด

หลังจากลำดับความทรงจำเก่าๆจากชาติที่แล้ว ในที่สุดเย่หยวนก็ตัดสินใจที่จะบ่มเพาะฝึกฝนวรยุทธศักดิ์สิทธิ์นามว่า วรยุทธเก้าเซียนบูรพา เพราะเป็นวรยุทธที่เน้นหนักในเรื่องกระบวนท่าร่าย

วรยุทธชนิดนี้ เป็นวรยุทธเพาะบ่มพลังของยอดเซียนผู้ที่เลื่องชื่อยิ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขามีนามว่า จอมราชันวิญญาณ 

ในครั้นนั้น เขาได้ขอความช่วยเหลือจากเฉินหยังซี แต่อย่างไรก็ตาม...ในตอนท้าย จอมราชันวิญญาณได้ตอบแทนเขาโดยการถ่ายทอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้ให้แทน ด้วยกระบวนท่าร่ายที่เด็ดขาดและทรงพลังนี้เอง จึงทำให้จอมราชันวิญญาณเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตำนานกล่าวขานไว้ว่า เขายังไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลย ดังนั้น...วรยุทธเก้าเซียนบูรพา จึงกลายเป็นหนึ่งในสิบยอดวรยุทธที่ลึกลับที่สุด

  ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ วรยุทธวิชาใดก็แล้วแต่ที่มีคำว่า‘ศักดิ์สิทธิ์’อยู่นำหน้า นั้นย่อมเป็นยอดวรยุทธที่สุดแสนล้ำลึกทั้งสิ้น แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้คู่ต่อสู้ถึงกับกระอักเลือด

  ในปีนั้นเอง เมื่อวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ วรยุทธเก้าเซียนบูรพานี้ได้ถูกเปิดเผยออกมา ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างต้องสั่นคลอนครั้งใหญ่หลวง เหล่ายอดฝีมือมากมายต่างเคลื่อนไหวเพื่อไขว่คว้าวรยุทธนี้มาเป็นของตน  ถึงขนาดมีวาจาเล่าขานกันปากต่อปากว่า ในปีนั้นมียอดฝีมือราชันเทวะนับหลายสิบรุมเข้าสัประยุทธ์เดือด ทว่าท้ายที่สุดทั้งหมดพลันต้องดับสิ้นภายใต้เงื้อมมือของจอมราชันวิญญาณ!

  ในอดีต เขาผู้นี้เองเคยถูกจัดให้อยู่ในลำดับล่างๆกว่าทศวรรษ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ระดับแนวหน้า จนกระทั่งขึ้นกลายมาเป็นจุดสูงสุดเพียงคนเดียวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้ แทบไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่า โอสถเม็ดนั้นที่หลอมกลั่นให้จอมราชันวิญญาณมันทั้งล้ำค่าและเป็นถึงโอสถระดับเก้าชั้นสูงสุด! หากมิใช่ยอดโอสถมีหรือจะได้ยอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์?

  แน่นอนว่ากระบวนท่าพวกนี้ถูกถ่ายทอดให้กับผู้เป็นบิดาอย่างเฉินหยังซี และลูกชายของเขาที่เลื่องชื่อในด้านศาสตร์แห่งโอสถ  ซึ่งทั้งคู่ที่ได้รับถ่ายทอดกลับหาได้สนใจอันใดนัก จะมีก็เพียงเฉินหยังซีที่พยายามศึกษาวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ วรยุทธเก้าเซียนบูรพามาก่อนบ้าง แม้จะเป็นเวลาไม่นานนัก แต่ความแกร่งกล้าที่เพิ่มทวีขึ้นนับว่ายอดเยี่ยมน่าประทับใจยิ่ง

ระหว่างการโคจรพลังปราณในแต่ละครั้ง จำต้องผสานรวมพลังปราณธรรมชาติฟ้าดินเข้ามาสู่ร่างกาย นี่คือพื้นฐานของการบ่มเพาะฝึกฝน

  แม้ว่าพลังปราณเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่มีความสำคัญสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะเช่นเดียวกับการก่อร่างสร้างตึกสูงที่ต้องมีฐานล่างที่มั่นคงแข็งแกร่ง หากขาดพื้นฐานที่มั่นคงก็ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ที่ไร้รากที่วันหนึ่งอาจต้องล้มลงอย่างไม่เป็นท่า นี่เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ฝึกฝนทุกคน แต่เมื่อเริ่มการบ่มเพาะพลังอย่างจริงๆจังๆ ผู้ฝึกฝนน้อยคนนักที่จะปฏิบัติตามและมีวินัย  มีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยที่ใจร้อน รีบเร่งจนลืมพื้นฐานข้อนี้ไป ซึ่งนั่นเท่ากับการดับอนาคตของตนเองเลยทีเดียว

  “ซู่ววว…”

สี่ชั่วยามผ่านไป เย่หยวนออกจากสมาธิและสูดลมหายใจเสียงยาว

“วรยุทธเก้าเซียนบูรพานี่ ช่างมีทรงพลังลึกซึ้งเหลือเกิน แม้พยายามฝึกฝนกว่าสี่ชั่วยาม พลังกลับเพิ่มขึ้นเท่าที่ควร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ของพลังปราณที่ไหลผ่านเส้นลมปราณอย่างชัดแจ้ง หากข้าฝึกฝนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะสามารถอยู่ยงคงกระพันได้ในดินแดนแห่งนี้?”

เย่หยวนผู้ที่เคยเป็นถึงจักรพรรดิโอสถเลื่องชื่อลือนามได้ประเมินพินิจแล้วว่า วรยุทธนี้ช่างวิเศษล้ำเลิศและเหมาะสมอย่างยิ่งกับตัวเขา

ระหว่างเวลาสี่ชั่วยามที่ผ่านมาพ้นไป  เย่หยวนได้โคจรพลังด้วยวรยุทธเก้าเซียนบูรพาเพื่อเพิ่มพละกำลังที่มีอยู่น้อยนิดของเจ้าของร่างเดิมให้เพิ่มทวีแกร่งขึ้น  พร้อมฟื้นฟูพลังกลับคืนลงในจุดตันเถียน

พลังปราณที่หลั่งไหลเข้าเติมเต็มจุดตันเถียนอีกครั้งช่างบริสุทธิ์และเข้มข้นยิ่งนัก

แต่การทำเช่นนี้ ปริมาณพลังปราณของเขากลับไม่ก้าวหน้าเท่าไหร่ ในทางตรงข้ามมันยิ่งลดปริมาณที่มีอยู่อันน้อยนิดให้ต่ำลงเข้าไปอีก หรือบางทีอาจต่ำจนไม่ถึงอาณาจักรแก่นแท้แห่งปราณระดับหนึ่งเลยก็เป็นได้

  แต่โชคยังดี ที่เจ้าของร่างเดิมไม่เคยฝึกฝนมาก่อน มิเช่นนั้น เย่หยวนคงต้องใช้ความพยายามและเวลาอย่างมากเป็นเท่าตัว เพื่อลบล้างรากฐานเก่าๆไปเสียก่อน นี่ถือได้ว่าในความโชคร้ายกลับยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง

  ณ เวลานี้ท้องนภายามอรุณสว่างไสว เย่หยวนลุกออกจากห้องตรงไปที่ห้องโอสถของตระกูลเย่เพื่อหาโอสถให้กับร่างนี้ แต่ขณะที่กำลังย่างก้าวออกจากห้อง เขาก็ได้ชนเข้ากับสาวน้อยร่างบางในชุดสีเขียว

............................................