webnovel

จอมภูตสะท้านบัลลังก์

เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 (ค.ศ. 1402) เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากเป่ยจิงเข้าสู่ราชธานีนครหนานจิง ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน แต่เมื่อเข้าเมืองได้ปรากฏว่าจักรพรรดิหนุ่มทั้งไม่ออกมายอมแพ้ถวายบัลลังก์ให้ ทั้งไม่ยอมฆ่าตัวตายให้พ้นความอับอาย กลับเผาวังแล้วหายตัวไป กลายเป็นเรื่องลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์ว่าเขาหายไปไหน นิยายเรื่องนี้แต่งเติมจากจินตนาการนำจักรพรรดิหนุ่มเดินทางหลบหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสุดยอดฝีมือฉายา จอมภูต ที่มีฉากหน้าเป็นสัปเหร่อ ทั้งมีความสามารถปลุกซากศพขึ้นมาใช้งาน จักรพรรดิหนุ่มกลายเป็นสัปเหร่อน้อยเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดหาโอกาสพลิกฟื้นชิงบัลลังก์

DaoistpRuDrI · Historia
Sin suficientes valoraciones
13 Chs

บทที่ 3 จอมภูต

บทที่ 3 จอมภูต

พลันเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากมุมอารามที่จัดวางโลงไม้คร่ำคร่าขนาดใหญ่ 3 ใบ ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยน แต่นักพรตลู่จือชิงไม่เสียทีที่เป็นยอดฝีมือ เพียงเสียงโหยหวนเริ่มดัง ก็ขยับท่าร่างหมายสาดพุ่งไปยังที่มาของเสียง หากแต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหัวหน้าองครักษ์พลันเสียจังหวะช้าไปวูบหนึ่งยังไม่ทันขยับร่าง พริบตานั้นเกิดเสียงดังปง ! สนั่นขึ้น ฝาโลงหนาหนักบานหนึ่งพุ่งเข้าหาร่างนักพรตอย่างรวดเร็ว

"มันอยู่ที่นี่จริงๆ !"

นักพรตลู่ร้องเสียงดัง ลอยตัวม้วนขึ้นตลบหนึ่งหลบหลีกฝาโลงพลางกดเท้าลงถ่วงร่างกระแทกกดฝาโลงฟาดลงกับพื้นเสียงโครมใหญ่

ประมุขเหอเบิกตาโพลง แต่ไม่ลนลาน ถลาร่างควงขวานเข้าไปยังโลงไม้ที่ด้านข้างอารามอย่างรีบร้อน ฉับพลันในโลงปรากฏร่างหนึ่งดีดขึ้นตั้งตระหง่านอยู่ภายในโลงอย่างผิดธรรมชาติ ร่างนั้นดูแข็งทื่อราวรูปสลัก การดีดขึ้นยืนของมันคล้ายไม้ท่อนหนึ่งที่ถูกเหยียบจนพลิกขึ้นตั้งชี้ฟ้ามากกว่าการเคลื่อนไหวของมนุษย์... กลิ่นอายอาถรรพ์คละคลุ้งทั่วบริเวณ สิ่งที่ยืนภายในโลงนั้นหากจะเรียกว่าซากก็คงไม่ผิด ทั้งนี้เนื่องจากตลอดร่างของมันไม่มีเค้าแห่งชีวิตเลย ใบหน้าซูบแห้งซีดขาวไร้หนวดเครา หน้าผากกว้างปล่อยผมยาวสยาย ร่างสันทัดไม่สูงไม่เตี้ยสวมชุดและผ้าคลุมสีดำหม่นดวงตาปิดสนิท ดูไปคล้ายซากศพของภูตผีจากบรรพกาลมากกว่าผู้คน... อาถรรพ์แผ่จากร่างของมันถึงกับสะกดผู้ห้าวหานอย่างประมุขเหอ ให้ต้องหยุดชะงักร่างลง ในจุดห่างจากโลงราวสามวา และยังสามารถสร้างความตกตะลึงให้กับนักพรตลู่ จนไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว

"จอมภูต ! มันอยู่ที่นี่ !" นักพรตลู่ตะโกนเสียงดัง

"มารดามันเถอะ เจอภูตสับภูตเจอผีบั่นผี !"

ประมุขเหอคำรามปลุกปลอบความกล้า โถมทะยานร่างเข้าหา พลันสิ่งที่ยืนอยู่ในโลงลืมตาขึ้นอย่างกระทันหัน ร่างมันดีดพุ่งออกจากโลงด้วยความเร็วเกินคาด แต่กลับไม่ได้พุ่งเข้าหาประมุขเหอ หรือ นักพรตลู่ ร่างมันถึงกับสาดพรวดไปยังเบื้องหลังของเทวรูปด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน มันกางฝ่ามือแห้งกรังคว้าจับร่างของคุณชายชุดขาวที่กำลังอ้าปากค้างจ้องมองมันด้วยความแตกตื่นจนติดมือขึ้นมา แล้วดีดร่างกลับมายังที่ตั้งโลง ฉับพลันมันใช้เท้าเตะใส่ฝาโลงอีกใบที่ตั้งอยู่ทางด้านข้างเบาๆ ฝาโลงกระเด้งหวือลอยขึ้นไปในอากาศ มันพลันกรีดนิ้วสกัดจุดคุณชายชุดขวาอย่างรวดเร็วแล้วเหวี่ยงร่างแข็งทื่อของเขาลงไปภายในก่อนฝาโลงจะตกลงมาปิดสนิท ! จากนั้นมันใช้เท้าถีบยันโลงไม้พุ่งกระแทกกำแพงมุดหายเข้าไปในผนัง อาศัยแรงจากการถีบยันหมุนตัวกลับหันร่างมาเผชิญหน้ากับสองยอดฝีมือ ทั้งหมดเกิดขึ้นชั่วในพริบตา แทบไม่มีใครเชื่อว่าในโลกยังมีผู้สามารถใช้ท่าร่างได้รวดเร็วปานนี้ !

"ภายในมีอุโมงค์ลับ มันเตรียมการรออยู่ที่นี้ก่อนแล้วจริงๆ" หัวหน้าองครักษ์นำบริวารคู่ใจรุดเข้ามาสมทบ

มีเสียงครืนๆ ต่อเนื่องดังมาจากอุโมงค์ที่ซ่อนในผนัง เชื่อว่าเป็นเสียงกลไกทำงานทำให้หินดินถล่มทับตามหลังเมื่อโลงแล่นผ่านปิดหนทางมิให้สามารถติดตามไล่ล่าไปทางอุโมงค์นั้นได้อีก เหตุการณ์แปรเปลี่ยนสร้างความตื่นตระหนกให้คณะผู้ไล่ล่า ในเวลาชั่วพริบตาความพยายามและการทุ่มเทเสี่ยงชีวิตทั้งหมดพลันไร้ค่าในบัดดล เป้าหมายที่ตามไล่ล่ามาตลอดคืนพลันหายลงไปในโลงแล้วมุดหายเข้าไปอุโมงค์ลับ นับเป็นเรื่องสร้างความคลั่งใจจนสุดทนทาน !

การประจันหน้ารอบใหม่ในเขตอารามร้างเริ่มขึ้นอีกครา แต่ครั้งนี้บรรยากาศกดดันรอบข้างหนาแน่นจนกลุ่มผู้ไล่ล่ารู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ร่างของจอมภูตนิ่งงันไม่ขยับเคลื่อนไหว แม้แต่ดวงตาของมันก็ไม่กระพริบนับว่าคล้ายศพซากหนึ่งมากกว่าผู้คน ฝ่ายยอดฝีมือผู้รุกเข้ามาก็ยังไม่กล้าขยับตัว หัวหน้าองครักษ์ร้อนใจใคร่โถมตามโลงเข้าไปขุดคุ้ยเบิกทางลงสู่อุโมงค์จนแทบคลั่ง แต่ไม่รู้จะฝ่าร่างสีดำหม่นที่ยืนทมึนอยู่เบื้องหน้าไปได้อย่างไร

"ลงมือพร้อมกัน !"

นักพรตลู่กระแทกเสียง พลางกระชับกระบี่พุ่งร่างเข้าใส่ ประมุขเหอก็ไม่น้อยหน้าทะยานร่างขึ้นแล้วฟาดขวานลงใช้ออกด้วยท่าผานกู่เบิกโลกจู่โจมอย่างเต็มกำลัง

เมื่อทั้งคู่ลงมือพร้อมกันก็เชื่อว่า แม้ฝ่ายตรงข้ามเป็นยอดฝีมือก็มีโอกาสถูกพวกเขาโค่นล้ม ประมุขเหอเคยได้ยินเรื่องของ จอมภูต มานาน มันเป็นตำนานเล่าลืออันน่าหวาดหวั่นของยุทธภพ ยอดฝีมือที่ผู้นี้เคลื่อนไหวไร้ร่องรอย สภาพครึ่งผีครึ่งคน ลงมือครั้งใดแทบจะไร้ผู้ต่อต้าน และแทบจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตกลับมาเล่าขาน เป็นหนึ่งในตัวประหลาดของยุทธภพ เมื่อมาพบตัววันนี้จึงเห็นจริงดังคำร่ำลือ ใบหน้าอันซูบและซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาที่ไร้แววมีสีดำมืดดุจหุบเหวไร้ก้น ผมสากยาวสยาย คลุมร่างด้วยชุดยาวดำหม่น ทั่วร่างแฝงกลิ่นกายภูตผีปีศาจ

ยุทธภพร่ำลือหากเผชิญหน้ากับจอมภูตมีเพียงสองทาง ทางแรกหลบหนีหลีกเร้นไปให้ไกล ทางที่สองต้องตายภายใต้อาถรรพ์ของมัน ! แต่วันนี้ประมุขเหอดุจเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง เมื่อลงมือแล้วต้องกระทำต่อให้ถึงที่สุด ยิ่งมียอดฝีมือผู้ระบือนามอย่างนักพรตลู่จือชิงออกศึกพร้อมกัน ความมั่นใจยังเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ดังนั้นขวานคู่ที่ฟาดลงครานี้บรรจุพลังสิบส่วน เกร็งกำลังทั่วร่างฟันลงด้วยท่าไม้ตาย หวังผนึกกำลังร่วมกับนักพรตโค่นล้มตำนานอันน่าสะพรึงของยุทธภพลงให้จงได้ในคราวเดียว ! แต่...

"ผิดท่าแล้ว !"

เหอลู่ฟางประมุขค่ายโจรสะท้านใจ เมื่อเงาร่างของนักพรตที่ควรเคียงคู่เข้าจู่โจมพร้อมตนเองพลันช้าลงวูบหนึ่ง ปล่อยให้เขาเข้าเผชิญหน้าเป็นคนแรก ที่แท้เขาถูกส่งเข้าไปทดลองรับทราบความร้ายกาจของจอมภูตให้ผู้อื่นได้ชมดู ใจคิดอยากรั้งถอย แต่เมื่อฟาดขวานเต็มกำลังประมุขเหอทำได้เพียงรุกต่ออย่างเต็มที่ กัดฟันผนึกสมาธิเกร็งกำลังฟาดผ่าลงใส่จอมภูตอย่างหักโหม แต่... น่าแปลกใจร่างของจอมภูตยังคงยืนนิ่งสองมือปล่อยห้อยข้างลำตัว มีสภาพเหมือนหุ่นไม้หรือซากศพซากหนึ่งที่ไร้ชีวิต หรือมันทอดร่างรอคมขวานให้สะบั้นลงมา !?

ใช่แล้วมันรอให้คมขวานฟาดลงมาถึง ! เมื่อคมขวานคู่เฉียดสับถูกร่าง มือที่ห้อยข้างกายของมันพลันขยับวูบในพริบตา เป็นมือเปล่า มือเปล่าที่ไร้อาวุธ แต่กลับน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่ายอดอาวุธ ! นิ้วที่ยาวและซูบกรัง ผิวเนื้อที่ขาวซีดแห้งจนติดกระดูก ถึงกับดีดพลังดัชนีออกพร้อมกันสามนิ้วในพริบตา ! นิ้วก้อยซ้ายเขี่ยขึ้น นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดลง ส่วนนิ้วกลางขวาพลันพุ่งออก ! ที่จอมภูตเคลื่อนไหวมีเพียงช่วงแขน ที่ใช้ออกมีเพียงสามนิ้ว สามนิ้วจากสองมือที่ซูบกรังปะทะอย่างหักโหมกับขวานใหญ่หนาหนักสองด้ามของชายร่างยักษ์ทรงพลังอย่างประมุขค่ายเทียนโย่ว

ผลที่ตามมาทำให้นักพรตลู่จือชิงที่เบื้องหลัง ถึงกับตะลึงต้องถอนตัวถอยกลับไปก้าวใหญ่ เมื่อพบเห็นว่าสองนิ้วที่เขี่ยขึ้นและกดลงสามารถกระแทกทำลายสภาวะขวานหนาหนักสองเล่มได้อย่างน่าอัศจรรย์ ขวานในมือขวาถูกนิ้วก้อยเขี่ยจนเด้งยกขึ้นไปด้านบน ส่วนขวานในมือซ้ายถูกนิ้วหัวแม่มือกดลงจนกระแทกฝังจมลึกในพื้นอิฐของอาราม แต่ที่น่าตระหนกกว่าคือนิ้วกลางที่พุ่งออกจากมือขวา พลันทิ่มสู่ตำแหน่งหัวใจที่ทรวงอกอย่างถนัดถนี่ พลังดัชนีทะลวงร่างทะลุออกเบื้องหลังเป็นรูโหว่ ดัชนีนี้แหลมคมสุดร้ายกาจถึงกับสามารถทะลวงร่างที่ฝึกพลังภูษาเหล็กคุ้มครองได้ แรงของพลังดัชนีส่งดันร่างใหญ่โตของประมุขเหอจนผงะหงาย กระเด็นออกไปร่วมสามวาก่อนจะตกฟาดพื้นดังโครมใหญ่ เขาชักกระตุก ลำคอยกตั้งบิดเกร็ง ดวงตาเบิกโพลง เพียงสามารถส่งเสียง

"อ๊อก !" ออกมาคำหนึ่งก็ขาดใจตาย ! นับเป็นวิชาที่น่าแตกตื่นสะท้านฟ้า

"นี่หรือคือพลังดัชนีสะท้านภูต..."

นักพรตลู่ครางออกมาเบาๆ มิอาจยืนหยัดอยู่ที่เดิม สยิวกายจนต้องก้าวถดถอยอย่างลืมตัว...

ทันใดนั้นกำแพงด้านหนึ่งของอารามร้างถูกกระแทกทำลายเข้ามา ปรากฏหลวงจีนสองรูปฝ่าเข้ามาอย่างหักโหม พริบตานั้นสมณะทั้งสองร่วมแรงเหวี่ยงเชือกที่ทำจากเส้นใยละเอียดสีนวลตาและเปียกชุ่มไปด้วยเมือกเส้นหนึ่ง เข้าม้วนพันใส่ร่างของจอมภูตเอาไว้ !!

"เชือกจับเทพแห่งนครไร้ทัดเทียม !?" นักพรตลู่ร้องโพล่งออกมา

"อามิตาพุทธ ท่านนักพรตสายตามแหลมคม นี่คือเชือกจับเทพของวิเศษแห่งนครไร้ทัดเทียมจริงๆ ขออภัยที่พวกอาตมามิได้ปรากฏกายแต่เนิ่น ๆ ทำให้ฝ่ายเราต้องสูญเสีย เนื่องเพราะภูตตนนี้ร้ายกาจเกินไป จำต้องวางแผนลอบเร้นเพื่อคร่ากุม !"

หลวงจีนเสินหนงกล่าวขึ้นพลางเกร็งลมปราณกระชับเชือกวิเศษในมือร่วมกับหลวงจีนเสินขู่ผู้เป็นศิษย์น้อง

สองบรรพชิตเกร็งกำลังที่แขนจนเส้นเอ็นเบ่งพอง ใบหน้าแดงเข้ม ขมับนูนเด่นแสดงถึงการใช้กำลังอย่างเต็มที่ แต่เมื่อมองไปที่จอมภูตที่ถูกเชือกม้วนพันกาย มันกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนกลายเป็นรูปสลักหินร่างหนึ่ง เว้นแต่ดวงตาดำมืดของมันที่เหลือบมองไปซ้าย-ขวาช้าๆ

"วิเศษๆ ได้ยินอานุภาพเชือกจับเทพมานาน ฟังว่าเส้นใยถักทอขึ้นจากตัวไหมหายากในแดนเสฉวนผนวกกับเคลือบด้วยน้ำยาที่ไม่ธรรมดา ก่อเกิดเป็นเส้นเชือกที่จับได้แม้แต่เทพ วันนี้ได้เห็นกับตาถือว่ามีวาสนา" จางหย่วนกล่าวขณะเดินไพล่หลังเข้ามาในอารามตามติดด้วยอี้จงบริวารของมัน

"ใต้เท้าจางโปรดอย่าเข้าใกล้เส้นเชือกนี้หากโดนเข้ายากที่จะสลัดออกได้ เว้นแต่มีน้ำมันถูทาเฉพาะ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากการยึดติดของมัน" หลวงจีนเสินหนงรีบบ่งบอกเมื่อเห็นจางหย่วนขยับเข้ามาใกล้

จางหย่วนชะงักเท้าลง อันที่จริงเขาเพียงแค่อยากเข้าไปชมดูให้ใกล้อีกหน่อยเท่านั้น อย่างไรเสียจอมภูตนี้เป็นตัวอันตราย ทั้งไม่แน่ว่าอาจจะยังมีลวดลายใดแอบแฝงที่สามารถทำร้ายคนได้ ในใจลอบยินดีที่หลวงจีนทั้งสองมีวิธีสยบมันเตรียมเอาไว้ล่วงหน้ามิเช่นนั้นหากให้ทั้งหมดเข้าประหัตประหารกับจอมภูตตนนี้ยังไม่แน่ว่าจะสามารถสยบมันได้โดยไม่สูญเสียอย่างสาหัส !

นักพรตลู่ยกสองมือขึ้นหมายคาราวะและกล่าวคำชมเชยต่อสองสมณะ แต่ฉับพลันเห็นสิ่งผิดปกติ ใบหน้าของหลวงจีนทั้งสองยิ่งมายิ่งแลดูอึดอัดกินแรง เหมือนต้องใช้พละกำลังอย่างมากในการรั้งดึงเชือก ลมหายใจเริ่มหนักหน่วงกระชั้น นักพรตเฒ่าหันไปเพ่งตามองที่เส้นเชือก พบเห็นบริเวณที่เชือกพันร่างของจอมภูตอยู่จึงเริ่มเข้าใจ ที่แท้เชือกยังมิได้รัดพันแนบเข้ากับร่างของมัน เส้นเชือกจับเทพเพียงรัดเสื้อคลุมสีดำเอาไว้ และเสื้อคลุมบริเวณนั้นพลันมีสภาพเบ่งพองออกเหมือนถุงหนังที่มีลมแล่นอยู่ภายใน... ลมนั้นแรงหนุนเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือนี่เป็นพลังลมปราณภูตกำสรวลที่ร่ำลือกันในยุทธภพ จางหยวนเองก็เริ่มเห็นผิดท่า มันจึงค่อยๆ ถอยร่างเคลื่อนห่างออกมา...

ทันใดนั้น เสื้อคลุมสีดำหม่นของจอมภูมิเบ่งพองขึ้นจนคล้ายเป็นทรงกระบอกใหญ่แล้วพุ่งพรวดลอยขึ้นจนพ้นจากร่างของมัน เสื้อคลุมลากดึงเอาเชือกจับเทพและร่างสองบรรพชิตยกตามขึ้นไปด้วย ส่วนร่างของจอมภูตในชุดดำหม่นรัดรูปกลับมุดเลื้อยออกมาจากเสื้อคลุมราวกับงูพิษที่เคลื่อนตัวออกจากโพรง !

เมื่อเป็นอิสระมันพลันตลบเสื้อคลุมม้วนเอาเชือกวิเศษไว้ด้านใน ฉุดรั้งจนเส้นเชือกหลุดจากมือสองของผู้ครากุม หลวงจีนทั้งสองเซถลาแต่ไม่เสียหลัก ใช้ท่าถ่วงพันชั่งพากายปักหลักอยู่กับพื้น จอมภูตทะยานร่างขึ้นสูงกว่าสองวาแทบปะทะใส่หลังคาของอารามแล้วหมุนร่างเป็นวงกลมถีบเท้ากดลงมา สองเท้าถีบออกต่อเนื่องจนครอบคลุมใส่ร่างหลวงจีนทั้งสอง

หลวงจีนเสินหนงและเสินขู่เมื่อเชือกหลุดจากมือพลันดึงอาวุธคู่กายจากกลางหลัง ยกดาบพระและไม้พลองขึ้นหมายต้านทานแต่ช้าไปวูบหนึ่งอาวุธพึ่งอยู่ในมือก็ต่างถูกพายุเพบงเตะดีดกระเด็นหลุดออกจากมือไปคนละทิศละทาง จึงพร้อมใจเกร็งกำลังทั่วร่างผนึกพลังระฆังทองขึ้นคุ้มครองกายบังเกิดเสียงดัง ปงๆ ! ติดต่อกัน เมื่อพลังคุ้มครองกายปะทะเข้ากับฝ่าเท้าของจอมภูต

พลังระฆังทองเป็นยอดวิชาคุ้มครองกาย ผู้ฝึกเสมือนมีระฆังโลหะครอบปกป้องร่างเอาไว้ เป็นหนึ่งในวรยุทธขั้นสูงของสถาบันสงฆ์ แต่ถึงกระนั้นร่างของหลวงจีนทั้งสองเมื่อถูกกระแทกเข้าด้วยฝ่าเท้าที่ถีบกระหน่ำเข้ามาของจอมภูตยังถึงกับถลาออกไปหลายก้าวกว่าจะยืนหยัดอยู่กับที่ได้ ทั้งสองเลือดลมพุ่งพล่านบาดเจ็บภายใน ต้องทรุดกายลงนั่งเพื่อปรับลมปราณ หลวงจีนเสินขู่อาการสาหัสกว่าถึงกับกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งก่อนจะนั่งหลับตานิ่งไม่อาจขยับเคลื่อนไหว หลวงจีนเสินหนงผู้เป็นศิษย์พี่ก็ไม่ดีกว่ากันเท่าไหร่ ใบหน้าบัดเดี๋ยวเป็นสีขาวบัดเดี๋ยวกลับเป็นสีเขียว พนมมือขึ้นทำสมาธิเพื่อปรับลมปราณ

นักพรตลู่เห็นเหตุการณ์แปรเปลี่ยนแม้แตกตื่นแต่ไม่ลนลาน อาศัยความคร่ำโลกเล็งหาจังหวะ ในขณะที่จอมภูตโจมตีสองบรรพชิตจนล่าถอย นักพรตเฒ่าก็ใช้ออกด้วยเพลงกระบี่สุดร้ายกาจกระบวนท่าหนึ่ง นามว่า 'หนึ่งลมปราณแปลงสามเทพ' อันเป็นเพลงกระบี่ขั้นสูงของสำนักฉวนเจิน นี่เป็นท่าไม้ตายที่เขาแอบเก็บงำเอาไว้มานาน หากไม่จำเป็นจะไม่ยอมใช้ออกเด็ดขาด !

เพลงกระบี่นี้นักพรตลู่จือชิงได้รับถ่ายทอดมาจากอาจารย์อา ที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชาแห่งสำนักฉวนเจิน ค่ายสำนักเกรียงไกรสมัยปลายราชวงศ์ซ้อง ภายหลังเมื่อชนเผ่ามองโกลของเจงกิสข่านรุกรานเข้าสู่แดนจงหยวน เหล่าบรรพชิตฉวนเจินมีจิตเมตตาต่อสรรพชีวิตไม่อาจดูดายการเข่นฆ่าทารุณของชนเผ่าป่าเถื่อน เพื่อกล่อมเกลาเจงกิสข่านให้ลดความดุร้าย ถึงกับยินยอมสวามิภักดิ์ตามผู้พิชิตกลับไปแดนมองโกลโดยมีเป้าหมายเพื่อสอนธรรมะซึ่งก็นับว่ามีผล ในช่วงหลังเจงกิสข่านลดการเข่นฆ่าลงมากหันไปยอมรับธรรมเนียมต่างๆ ของชาวฮั่นมากขึ้น เหตุนี้ค่ายสำนักจึงสลายไปจากภาคกลาง นับร้อยปีมานี้เพียงหลงเหลือศิษย์สายตรงไม่กี่คนในแดนทุ่งหญ้า หนึ่งในนั้นมีนักพรตผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์อาของนักพรตลู่จือชิง และเจ้าอารามเหล่าจวินต้งคนปัจจุบันอยู่ ท่านผู้นี้เพียงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนของศิษย์รุ่นหลังที่สืบทอดวิชาสำนักฉวนเจิน ที่มีการเดินทางเข้าออกแดนจงหยวนเพื่อศึกษาธรรมะและวิทยายุทธเพิ่มเติม นักพรตลู่จือชิงจึงได้เรียนรู้ยอดวิชาฉวนเจินมาบ้างในยามนักพรตท่านนี้มาพำนักที่ เหล่าจวินต้ง นับว่าล้วนเป็นยอดวิชาทั้งสิ้น ยามปกติไม่เคยใช้ออกเนื่องจากมิใช่วิชาของสำนักตนอีกทั้งมีอานุภาพเด่นจนอาจกล่าวได้ว่า... เหนือล้ำกว่าวิชาที่อาจารย์สั่งสอน ! จึงไม่นำออกมาใช้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของสำนัก แต่ยามนี้ไม่อาจไม่งัดยอดวิชานี้ออกมา ทั้งยังต้องใช้อย่างสุดกำลัง !

เพลงกระบี่เมื่อใช้ออกมาอานุภาพไม่ธรรมดา รังสีกระบี่ครอบคลุมเข้าใส่ร่างจอมภูติถี่ยิบหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นแม้ร่างไม่ถูกเสียบแทงจนพรุนก็ย่อมต้องล่าถอยอย่างประหวั่นลนลาน หากแต่จอมภูตผู้นี้ยิ่งดูยิ่งไม่คล้ายมนุษย์ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อีกทั้งไม่ยอมล่าถอยแม้ครึ่งก้าว ! มันขยับกางนิ้วมือทั้งสิบออกพลันดีดยิงพลังดัชนีเข้าปะทะอย่างหักโหม ถึงกับใช้นิ้วมือที่ซูบกรังราวกิ่งไม้แห้งทั้งสิบพุ่งเข้า เคาะ ดีด เขี่ย ทิ่ม สกัด ใส่กระบี่สนโบราณตรงๆ นักพรตลู่แทบไม่เชื่อสายตาว่าในโลกนี้มีตัวประหลาดที่ไม่กลัวคมกระบี่เช่นนี้อยู่ และยิ่งไม่เชื่อว่ามันถึงกับกล้าใช้ร่างเลือดเนื้อต้านรับยอดเพลงกระบี่ของสำนักฉวนเจินที่มีชื่อสะท้านยุทธภพมานับร้อยปี !

ยอดฝีมือปะทะกันถือสาที่จิตสมาธิ เมื่อนักพรตลู่จือชิงเกิดความหวั่นไหว สภาวะกระบี่พลันช้าไปวูบหนึ่ง ปรากฏพลังพุ่งจากนิ้วนางซ้ายแหวกม่านกระบี่จู่โจมเข้ามา พริบตาที่คิดว่าตนเองจบสิ้นแน่พลังดัชนีแหลมคมชั่วร้ายนั้นพลันหายไป ! ที่แท้เป็นหลวงจีนเสินหนงลอบโถมร่างเข้ามาทางด้านหลังของศัตรู ผนึกพลังระฆังทองทั่วร่างโถมเข้าโอบรัดร่างกายของจอมภูติเอาไว้ ยกร่างจนเท้าลอยขึ้นจากพื้นดิน พลันแผดเสียง

"แทงกระบี่เข้ามา !"

หลวงจีนเสินหนงกระโกนดังสนั่น ยอมพลีร่างเป็นเครื่องพันทนาการและพร้อมจะกลายเป็นเป้ากระบี่ตกตายร่วมกับจอมภูต นักพรตลู่ตระหนกแต่ไม่มีทางเลือก ยามที่ตัดใจจะเสือกกระบี่เข้าใส่ร่างของศัตรู พบว่านอกจากกระบี่ของตนยังมีอาวุธอีก 2 เล่ม พุ่งเข้ามา เป็นหนึ่งกระบี่หนึ่งดาบของสององครักษ์ในสังกัดเยียนอ๋อง จางหย่วน และ อี้จง !

กระบี่ของอี้จง แม้ไม่ใช่กระบี่วิเศษ แต่มีสีครามคล้ำผิดปกติ เชื่อว่าอาบยาพิษร้ายแรงเอาไว้ ส่วนดาบของจางหย่วนแม้ไม่เคลือบพิษแต่ดูไปไม่ธรรมดา มันเป็นดาบที่มีลักษณะแคบและยาวกว่าดาบหัวตัดทั่วไป ว่ากันว่าถูกตีขึ้นโดยช่างชั้นเยี่ยมในแดนอาทิตย์อุทัยมีความคมกล้าแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากกว่าปกติ

สามอาวุธพุ่งเข้าใส่ร่างจอมภูตอย่างเร่งร้อน หนึ่งกระบี่อาบยาพิษ หนึ่งดาบอันคมกล้า ผนวกกับกระบี่สนโบราณในมือนักพรตลู่ที่ทุ่มเทใช้ออกด้วยท่า "มหานทีมุ่งบูรพา" อันร้ายกาจของสำนักฉวนเจิน กระบี่อาบยาพิษของอี้จงมุ่งแทงตรง พุ่งเข้าหาชายโครงด้านขวา ดาบหัวตัดของจางหย่วนฟาดขวางในระดับลำคอ และกระบี่สนโบราณพุ่งตรงเข้าหาจุดหัวใจ โจมตีสามจุดจากสามแง่มุมพร้อมกัน !