ดอกเตอร์ (ดร.) นิลลี่สาวน้อยแสนน่ารัก ชอบยิ้มอยู่เป็นนิจ หน้ากลมดั่งซาลาเปา แม้จะตาสองชั้นก็ดั่งอาหมวย ผิวขาว ตัวกลมๆ ความสูงดั่งเด็กน้อย ใครจะรู้ว่ารูปร่างหน้าตาดั่งอาหมวยน้อยธรรมดาจะสามารถจบปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมศาสตร์การแพทย์พร้อมกับจบแพทยศาสตรบัณฑิตแถมพ่วงเฉพาะทางสาขาผู้ป่วยฉุกเฉินมาอีก ทั้งที่เธอเป็นสาวไทยเชื้อสายจีน แต่สามารถได้ทุนไปจบการศึกษาถึงประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยโพรไฟล์ระดับนี้เธอน่าจะได้ทำงานในโรงเรียนแพทย์หรือมหาวิทยาลัยดังๆ ของโลก แต่อยู่ๆ เธอก็มาโผล่ที่หมู่บ้านดอยมอมแมม ทางเหนือสุดของประเทศไทย ติดชายแดนพม่า ด้วยสภาพตัวเปียกไปทั้งตัวเหมือนหลบหนีการตามล่ามา เนื่องด้วยพายุฝนกระหน่ำอย่างหนัก แถมชาวเขาที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า เธอถูกชาวบ้านขับไล่ ต้องเดินระหกระเหินหลงเข้าไปในป่า ห่างออกไปไม่ไกลจากหมู่บ้านดอยมอมแมม ดร.นิลลี่พบกระท่อมร้างริมแม่น้ำที่พอจะเป็นที่หลบฝนได้ เธอจึงอาศัยอยู่ที่นั่น
เห็นแบบนี้เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีราชาร้านจิวเวลรี่ของเมืองไทย และเธอพึ่งได้รับมรดกมูลค่ามหาศาล ด้วยเงินก้อนดังกล่าวเธอจึงได้ใช้ปรับกระท่อมน้อยนั้นเป็นศูนย์วิจัยงานของเธอ
ดร.นิลลี่ผู้มีความสามารถระดับอัจฉริยะ ใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น ความฝันของเธอก็เป็นจริง ในคืนฝนตกหนักอีกวันหนึ่งนั้น เธอได้เป็นผู้ให้กำเนิดหุ่นยนต์น้อย ชื่อว่า "น้องมูมู่" หุ่นยนต์ตัวอ้วนป้อมเพศชาย สีขาวหน้าตาน่ารัก แต่งตัวเหมือนบุรุษพยาบาล ความสูงไล่เลี่ยกับหมอนิลลี่
เช้าวันรุ่งขึ้นเธอเข้าไปในหมู่บ้านดอยมอมแมมตั้งแต่เช้าตรู่อีกครั้งพร้อมน้องมูมู่ เพื่อจะไปช่วยตรวจรักษาชาวเขาในหมู่บ้าน แต่ยังไม่ทันเดินเข้าประตูรั้วของหมู่บ้านเธอก็ถูกชาวบ้านปาก้อนหินก้อนดินใส่ บางคนเข้ามาจะทำร้ายร่างกายเธอ เธอหมดปัญญาที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังไม่หมดความพยายามเธอจึงถอยห่างมาจากหน้าหมู่บ้านสักระยะหนึ่ง
เธอกับมูมู่นั่งอยู่ที่ทุ่งนาหน้าหมู่บ้าน นั่งตากแดดกันจนเที่ยง แล้วเธอก็ รับประทานอาหารเที่ยงกันง่ายๆ พร้อมเปิดปุ่มเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับมูมู่ เพื่อให้มีพลังงานพร้อมทำงานต่อถึงกลางคืนได้ โดยปกติมูมู่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสามารถชาร์ตด้วยไฟบ้านธรรมดากับพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีแบตเตอร์รี่สำรองไว้สำหรับทำงานกลางคืนด้วย เนื่องจากหมู่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้า จึงต้องใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก
ช่วงเย็นเด็กๆ ที่ไปเรียนในโรงเรียนอีกหมู่บ้านที่ห่างออกไปประมาณ 4 กิโลเมตรเดินทางกลับมาเป็น
กลุ่ม ด้วยความซนของเด็กๆ วิ่งเล่นกันมาตามปกติ สักพักก็ได้ยินเสียง
"แน่จริง มาต่อยกันไหม" เด็กชายตัวอ้วนโตที่สุด ส่งเสียงท้า
เด็กชายอีกคนที่ตัวผอมดูท่าทางไม่ยอมใครตอบ "กลัวที่ไหน เข้ามาเลย"
ดร.นิลลี่ รีบวิ่งมาดู เห็นเด็กทั้ง 2 กำลังนัวเนียต่อสู้กันโดยมีเด็ก ๆ ทั้งหมู่บ้านยืนเชียร์แต่ละฝ่ายอยู่
สักพัก ก็มีเสียงร้อง "โอ๊ย!!!" ดังมาจากเด็กตัวอ้วน พร้อมเสียงร้องไห้ดังลั่นไปทั้งหมู่บ้าน
ทำให้ผู้ใหญ่เกือบทั้งหมู่บ้านต้องรีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดร.และมูมู่ซึ่งอยู่ตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ววิ่งเข้าไปหาเด็กตัวอ้วนได้ก่อน เธอถามว่า "เจ็บตรงไหน บอกพี่ได้นะ"
"อย่ามายุ่งกับฉัน ไอ้ตัวประหลาด" เด็กน้อยตอบ พร้อมส่งนิ้วกลางมือซ้ายให้กับมูมู่
"ออกไปไกลๆ เดี๋ยวชั้นดูเอง" เสียงดังมาจากชายสูงวัยรูปร่างผอมที่เดินเข้ามา
"ให้ผู้ใหญ่บ้านดูเถอะหนู ถึงหนูดูก็ทำอะไรไม่ได้" เสียงสาวสูงวัยที่เดินมากับผู้ใหญ่บ้านบอกต่อ ดร.นิลลี่
ผู้ใหญ่บ้านและสาวสูงวัยเดินเข้าไปดูที่เด็กน้อยแล้วก็พูดคุยสอบถามกัน สุดท้ายได้ยินว่า
"เลือดออกที่นิ้วโป้งมือขวา เฮ้ย มันร้องตลอดเลย เลือดไหลไม่หยุด แผลลึกหว่ะ พาไปหาพ่อหมอไหม" ผู้ใหญ่บ้านบอก
ทุกคนพยักหน้า แล้วก็มีชายหนุ่มวัยกลางคนอีกคน เห็นเด็กอ้วนเรียกว่า พ่อ ก็มาประคองเดินกันไปตามทางเดินของหมู่บ้าน ดร.นิลลี่กับน้องมูมู่ อาศัยความชุลมุนแอบเดินตามฝูงชนมา จนถึงท้ายหมู่บ้าน มาถึงบ้านหลังหนึ่งสภาพเก่าแก่ เหมือนบ้านร้าง มีกลิ่นสมุนไพรเต็มไปหมด แต่สภาพบ้านก็สะอาดสะอ้านดี
"พ่อหมอ ไอ้ตุ๊ดตู่ มันซนมีแผลลึกเลือดไหลไม่หยุด จะมาขอยาใส่แผลพ่อหมอหน่อย" ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียง เรียกพ่อหมอ ตุ๊ดตู่ คือ ชื่อของเด็กอ้วนหัวโจกนั่นเอง
"เข้ามาสิ" เสียงพ่อหมอตอบกลับมาจากภายในบ้าน แต่ก็ยังไม่ได้เดินออกมา
ทุกคนเดินตามกันเข้าไปในบ้านของพ่อหมอ รวมทั้งดร.กับหุ่นยนต์คู่กายด้วย แล้วภาพที่เห็นคือพ่อหมอวัยน่าจะสักร่วม 100 ปี หนวดเคราสีขาวรุงรัง ตัวผอมแห้งติดกระดูก แต่งตัวเหมือนฤาษี ทุกคนยกมือไหว้พ่อหมอ
"ไหนๆ ขอดูแผลหน่อย ไอ้ตุ๊ดตู่" พ่อหมอหันมาเรียก
ระหว่างที่ตุ๊ดตู่ยื่นมือที่มีแผลให้พ่อหมอดูนั้น ดร.ก็แอบสังเกตอาการไปด้วย ไอ้ตุ๊ดตู่มันร้องไห้ตลอดเหมือนเจ็บแผลตลอดเวลา แผลนั้นลึกมากเห็นถึงกระดูกเลยทีเดียว ที่สำคัญนิ้วโป้งมือขวามันขยับไม่ได้เลย พอพ่อหมอจับที่นิ้วโป้งมือขวาดูแผล ไอ้ตุ๊ดตู่มันกรีดร้องออกมาอย่างกับถูกเชือด แล้วก็ได้ยินเสียงร่ายมนต์ พึมพำไปที่แผลของเด็กอ้วน พร้อมด้วยพ่อหมอขยับนิ้วไปมา ไอ้ตุ๊ดตู่ก็ยิ่งร้องหนัก หลังจากนั้นพ่อหมอก็เป่าน้ำมนต์ลงไปบนแผล พร้อมหยิบยาสมุนไพรเคี้ยวๆ แล้วกำลังจะโปะลงไปบนแผล
ดร.นิลลี่ส่งเสียงตะโกน "หยุด ถ้าทำแบบนี้แผลจะติดเชื้อ ถึงกระดูกจะทำให้เด็กพิการได้ "พร้อมกับดึงตุ๊ดตู่ออกมาจากพ่อหมอทันที
"จับไอ้คนแปลกหน้านี่ไว้" เสียงผู้ใหญ่บ้านตะโกนบอกคนทั้งหมู่บ้านให้จับ ดร.กับมูมู่ไว้
ทุกคนรีบเข้ามาจับหมอกับหุ่นยนต์แล้ว เอาตัวออกนอกห้องไป สุดท้ายหมอนิลลี่ห้ามพ่อหมอไม่ได้ ตุ๊ดตู่ถูกทำแผลตามกรรมวิธีของพ่อหมอ ระหว่างทำแผลก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของไอ้ตุ๊ดตู่เป็นระยะ
เมื่อทำอะไรไม่ได้เพราะทุกคนในหมู่บ้านยืนล้อมวงไว้ไม่ให้นิลลี่เดินเข้าไปในบ้านพ่อหมอได้ หมอกับมูมู่ก็เดินคอตกกลับมาที่บ้านริมน้ำ
แต่หมอไม่หมดความพยายามที่จะทำแผลให้ตุ๊ดตู่ ดร.กับมูมู่ไปนั่งเฝ้าตุ๊ดตู่ตอนเลิกเรียนทุกเย็น จนกระทั่งวันที่ 2 หลังวันเกิดเหตุ หมอเห็นตุ๊ดตู่เดินกลับจากโรงเรียนด้วยอาการดูซึม ๆ ร้องไห้บ่นปวดนิ้วโป้งมือด้านขวาตลอดเวลา เห็นกำลังเดินมาลำพัง ดร. เลยได้โอกาสเดินเข้าไปหา
"ตุ๊ดตู่คนดี เป็นอะไร ขอพี่ดูแผลหน่อยได้ไหม"
"อย่ามายุ่งกับชั้น ไอ้ตัวประหลาด"
ดร.เห็นว่าท่าทางเด็กอ้วนดูซึม ๆ จึงให้มูมู่เข้าจับตัวตุ๊ดตู่ไว้ ด้วยที่ว่าตุ๊ดตู่เจ็บแผลมากไม่มีแรงต่อสู้ สุดท้ายก็สงบลง นิลลี่บอกให้มูมู่วัดไข้ และเปิดแผลออกดู สรุปคือตุ๊ดตู่มีไข้สูงมาก 40 องศาเซลเซียส นิ้วโป้งมือขวาบวมแดงอย่างมาก แผลยังมีเลือดไหลซึมมาตลอด นอกจากนั้นยังเห็นว่ามีหนองไหลซึมบนมาด้วย นิ้วขยับไม่ได้เพิ่มขึ้น ระหว่างที่ดูแผลกันอยู่นั้น มีเสียงดังมาว่า
"เมื่อไหร่เอ็ง 2 คน จะเลิกยุ่งกับลูกกูสักที" เสียงพ่อของตุ๊ดตู่นั่นเอง
"ขอโทษค่ะ แต่เด็กกำลังเป็นไข้และแผลกำลังเน่านะคะ ขอพาเด็กไปทำแผลให้ยาฆ่าเชื้อได้ไหม"
"ไม่ได้ เดี๋ยวข้าพาไปให้พ่อหมอเอง"
ขณะที่เถียงกันอยู่นั้น ไอ้ตุ๊ดตู่ ก็ตัวแข็งเกร็ง ลงไปชักกับพื้น พ่อของตุ๊ดตู่ตกใจทำอะไรไม่ถูก ดร.นิลลี่สั่งให้มูมู่เอายาไปเหน็บที่ก้นเด็ก ไม่ถึง 5 นาที ตุ๊ดตู่หยุดชัก แล้วมูมู่ก็ป้อนยาลดไข้และยากันชักให้ พร้อมรีบเช็ดตัวเพื่อลดไข้
"ขอบคุณครับ ไม่นึกว่าจะเป็นหมอเทวดา" พ่อตุ๊ดตู่ พนมมือไหว้
"ไม่ใช่หมอเทวดาอะไรค่ะ แค่เด็กชักจากไข้สูง ให้ยาระงับชักเท่านั้นเองค่ะ"
"ขออนุญาตพาน้องตุ๊ดตู่ไปที่บ้านนะคะ เพื่อดูแผล"
"ได้ครับ" ตอนนี้พ่อ ตอบเสียงดีขึ้นและให้ความร่วมมือมากขึ้น
เมื่อมาถึงบ้านริมน้ำ เดิมที่เป็นกระท่อมร้าง ดร.นิลลี่ ได้ปรับตัวบ้านใหม่ ภายในมีห้องสำหรับทำแผล ห้องผ่าตัดเล็ก ๆ ห้องตรวจ และห้องสำหรับตรวจทางห้องปฏิบัติการ นอกนั้นก็เป็นห้องวิจัยและที่พักของดร.นิลลี่
"โอ้โฮ บ้านประหลาดจัง" เสียงของพ่อตุ๊ดตู่ ที่อุ้มลูกเดินตามหมอนิลลี่มา
"เดี่ยวขออนุญาต ตรวจแผลน้องตุ๊ดตู่อย่างละเอียดนะคะ ขอให้คุณพ่อรอข้างนอกห้องสักพัก"
ดร.นิลลี่ให้มูมู่วัดไข้และเปิดแผลออกดูเพื่อตรวจอย่างละเอียด เมื่อดูแล้วนิ้วโป้งมือขวาขยับไม่ได้แผลมีการติดเชื้อมีหนองไหล จึงทำการล้างแผลเอาหนองออก ระหว่างล้างแผลเห็นว่ามีเส้นเอ็นขาดด้วย ไม่แน่ใจว่ามีกระดูกหักด้วยหรือไม่ พอทำแผลเสร็จ หมอบอกว่า
"มูมู่ เอ๊กซเรย์มือขวาซิ"
ทันใดนั้นมูมู่ก็จ้องไปที่มือขวาของตุ๊ดตู่ ส่งลำแสงจากตาทั้ง 2 ข้างไปหาเด็ก แล้วหันมาหาดร.นิลลี่ ภาพถ่ายเอกซเรย์ก็ปรากฏที่ตาของมูมู่ พร้อมมีตัวอักษรแปลผลเอ็กซเรย์ให้ ดร.ด้วย ดร.อ่านผลแล้วก็พูดว่า
"อืม ดีนะที่กระดูกไม่หัก มูมู่เก่งมาก"
"มูมู่ ไปจัดยาอะม็อกซี่ ยาพารา ให้น้องกินสัก 7 วันนะ" มูมู่เดินไปห้องยาแล้วไปจัดยา เดินมาส่งให้หมอและเดินพาตุ๊ดตู่มาส่งให้คุณพ่อ หมอบอกว่า
"ตุ๊ดตู่แผลอักเสบมากเกือบลามเข้ากระดูก ดีนะที่หมอมาเห็นก่อน เอายานี่ไปกินให้หมด พร้อมพาตุ๊ดตู่มาทำแผลวันละครั้งทุกวันนะ นอกจากนี้แล้วยังมีเส้นเอ็นนิ้วโป้งขาดทำให้นิ้วขยับไม่ได้ ถ้าแผลหายอักเสบแล้วหมอจะทำการเย็บต่อเส้นเอ็นให้นะคะ รบกวนช่วยพาตุ๊ดตู่มาทำแผลทุกวันนะคะ หลังเลิกเรียนก็ได้"
เมื่อพ่อเห็นว่าดร.นิลลี่มีความตั้งใจที่จะช่วยตุ๊ดตู่จริงๆ แถมยังทำให้หยุดชักได้ จึงเริ่มมีความไว้ใจ สุดท้ายก็กล่าว ขอบคุณ และกลับบ้านไป
หลังจากนั้นก็พาตุ๊ดตู่มาทำแผลทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์กว่าแผลจะหายดีและพร้อมที่จะเย็บต่อเส้นเอ็น หมอจึงสั่งมูมู่
"เตรียมห้องผ่าตัดเล็ก และอุปกรณ์ต่อเส้นเอ็น มูมู่"
เมื่อเดินมาถึงห้องผ่าตัดเล็ก "มูมู่ ทำหัตถการนะ ต่อเส้นเอ็นเส้นใหญ่สุดของนิ้วโป้งมือขวา"
มูมู่เป็นหุ่นยนต์บุรุษพยาบาลที่สามารถทำการผ่าตัดได้ ด้วยว่ามีโปรแกรมเอไอ (โปรแกรมอัจฉริยะ) ฝังอยู่ที่ตัว แค่ออกคำสั่งด้วยคำพูด มูมู่ก็สามารถทำตามคำสั่งได้ทุกอย่าง โดย ดร.นิลลี่จะเป็นแค่ผู้ช่วยผ่าตัด เพื่อดูว่ามีอะไรผิดพลาดที่ต้องการคนเข้าไปแก้ไขหรือไม่
มูมู่ ทำความสะอาดแผล ปูผ้า และใช้มือที่มีอุปกรณ์ทำการตัดต่อเส้นเอ็นให้ตุ๊ดตู่ พอเสร็จ หมอนิลลี่ก็เช็คความเรียบร้อย พร้อมบอกว่า "เก่งมากมูมู่ ผ่าตัดคนไข้รายแรกสำเร็จอย่างสวยงาม บันทึกประวัติคนไข้" เนื่องจากในตัวมูมู่ สามารถบันทึกประวัติคนไข้ได้ด้วย แค่สั่งและเมื่อต้องการดูประวัติก็จะแสดงออกที่ดวงตาของมูมู่ หลังจากนั้นทั้ง 2 ก็พาตุ๊ดตู่ออกมาจากห้องผ่าตัดเล็ก
"เสร็จเรียบร้อยดีค่ะ ต่อเส้นเอ็นสำเร็จ แต่ต้องกินยาฆ่าเชื้อต่อพร้อมกับยาแก้ปวดเมื่อปวด แผลห้ามโดนน้ำ เดี๋ยวหมอนัดมาดูแผลอาทิตย์ละครั้ง ครบ 14 วันถ้าแผลดีก็ตัดไหมได้ แล้วต้องทำกายภาพต่อ"
ครบ 14 วัน พ่อพาตุ๊ดตู่มาตามหมอนิลลี่นัด "ไหนดูแผลกัน มูมู่เตรียมห้อง"
"มูมู่ เปิดแผล ตรวจดูว่าแผลเป็นไง ถ้าดีให้ตัดไหมเลย"
มูมู่สแกนที่แผลประมวลประวัติภาพเอ็กซเรย์ ภาพการผ่าตัดเล็กต่าง ๆ เห็นแผลดี ก็ทำการตัดไหมเรียบร้อย พร้อมทำการตรวจการขยับของนิ้วโป้งมือขวา แล้วส่งผลการตรวจให้หมอนิลลี่อ่าน "แผลดี หายแล้ว ดีมาก มูมู่"
"หายแล้วนะ แต่อย่าพึ่งซน ต้องมาทำการฝึกขยับนิ้วกับมูมู่ต่ออีกนะ เพราะนิ้วยังขยับไม่สุด จนกว่าจะหายดี" หมอหันมาคุยกับตุ๊ดตู่ ซึ่งตอนนี้นั้นเห็นหมอเป็นไอดอลไปเลย
"ได้ครับ หมอ"
แล้วทั้ง 3 ก็ออกจากห้องผ่าตัดเล็ก ตุ๊ดตู่ยิ้มอย่างดีใจ ตะโกนบอกพ่อ "หายแล้วครับ แต่ต้องมาหามูมู่ ทำการฝึกขยับนิ้วต่ออีก 2 อาทิตย์ ครับ พ่อ โตขึ้นผมอยากเป็นหมอเหมือนพี่นิลลี่"
แล้วพ่อและตุ๊ดตู่ก็กลับบ้าน หลังจากนั้นตุ๊ดตู่ก็มาทำกายภาพโดยมูมู่สอนการขยับนิ้วทุกวัน จนกระทั่งหายเป็นปกติ ตุ๊ดตู่ได้เอาอาหารที่แม่ทำมามอบให้หมอนิลลี่กับมูมู่ในวันสุดท้ายที่มาทำกายภาพด้วย พร้อมบอกว่า
"พี่หมอ ผมขอมาช่วยพี่หมอตรวจคนไข้ทุกวันได้ไหมครับ"
"ได้สิ แต่อย่าซนนะ"
และแล้วมิตรภาพเล็ก ๆ ของตุ๊ดตู่กับดร.นิลลี่และมูมู่ก็เกิดขึ้น